บทที่ 563.1 กลับลงใต้เดินทางขึ้นเหนือ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หวงไฉ่เจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตมายืนอยู่ข้างกายหลี่หลิ่วบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขา ยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉินปล่อยหมัดนี้ออกไป ยอดเขาสิงโตของเราก็มีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ แล้ว”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มให้หวงไฉ่อย่างที่หาได้ยาก “หวงไฉ่ เจ้าไม่ต้องจงใจเรียกเขาว่าอาจารย์เฉิน ตนเองไม่กระดากปาก ท่านเฉินฟังแล้วกลับจะกระดากหู”

หวงไฉ่รู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองดีจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับ

มีอยู่ชาติหนึ่ง หลี่หลิ่วเก็บเด็กข้างทางมาได้คนหนึ่ง บอกให้เขาโขกหัวง่ายๆ สามครั้งก็ถือว่ารับเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ภายหลังสองอาจารย์และศิษย์ก็ได้บุกเบิกสำนักอยู่บนยอดเขาสิงโตด้วยกัน หลังจากที่หลี่หลิ่วลาจากโลกนี้ไป ตอนนั้นหวงไฉ่ที่เพิ่งเป็นเซียนดินโอสถทองหนุ่มจึงต้องกลายเป็นเสาหลัก ยอดเขาสิงโตสามารถยืนหยัดไม่ล้มลงอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆได้ เด็กที่ปีนั้นผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ มีเพียงศีรษะอย่างเดียวที่โต มองดูแล้วน่าสนใจผู้นั้น สุดท้ายก็ได้กลายเป็นก่อกำเนิดใหญ่ผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งอุตรกุรุทวีป

หลี่เอ้อร์พลันเอ่ยขึ้นว่า “ชุดคลุมอาคมสี่ชิ้นบนร่างของเขา นอกจากชิ้นด้านในสุดที่ถือว่าดีแล้ว ที่เหลืออีกสามชิ้นก็ไม่ค่อยต้านรับหมัดได้สักเท่าไร ความเสียหายค่อนข้างมาก”

ยังดีที่ก่อนจะถ่อเรือกลับมายังท่าเรือ ยังไม่ลืมถอดชุดคลุมอาคมที่กลายเป็นภาระพวกนั้นออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ด้านนอกสุดนั่น ไม่อย่างนั้นเดินขึ้นสู่ที่สูงไปปล่อยหมัดอย่างผึ่งผายเช่นนี้ อีกไม่นานคนครึ่งอุตรกุรุทวีปก็คงได้ยินว่ายอดเขาสิงโตมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ชอบแต่งกายเหมือนสตรีแน่ๆ

ส่วนข้อที่ว่าสรุปแล้วหมัดที่ต่อยให้ทะเลเมฆสีทองแหลกสลาย ทิ้งโชคชะตาบู๊เข้มข้นส่วนนี้ไว้ที่อุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอัน จะสร้างผลกระทบอันยาวไกลแบบใดบ้าง ก่อนหน้านี้พอหลี่เอ้อร์รู้ถึงการตัดสินใจของเฉินผิงอันก็ไม่ได้จงใจพูดเรื่องวงในบางอย่างกับเขาอีก เพราะไม่มีความจำเป็น พูดไปแล้วกลับกลายจะทำให้เสียเรื่อง บางทีอาจทำให้ปณิธานหมัดในการปล่อยหมัดของเฉินผิงอันเกิดสิ่งสกปรกปลอมปน พูดถึงแค่พวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าขอบเขตสิบกลุ่มน้อยในอุตรกุรุทวีปที่จิตสามารถรับสัมผัสได้นั้น ก็มีแต่จะรู้สึกยินดี เพราะไม่ว่านิสัยใจคอของปรมาจารย์เหล่านี้จะเป็นอย่างไร คุณธรรมจะสูงหรือต่ำ ก็ยังต้องเกิดความเคารพยำเกรงในตัวของคนหนุ่มที่อยู่บนยอดเขาสิงโตในวันนี้หลายส่วน ศาลบู๊น้อยใหญ่ในพื้นที่ของหนึ่งทวีปก็จะซาบซึ้งในบุญคุณของคนผู้นี้ ไม่พูดถึงคนอื่น ลำพังเพียงแค่โจวมี่อริยะลัทธิขงจื๊อที่หวงไฉ่แห่งยอดเขาสิงโตคุ้นเคยดีที่สุดก็ย่อมมองเฉินผิงอันสูงขึ้นอีกหน่อย รู้สึกถูกชะตากับเขามากขึ้น

หลี่หลิ่วนึกถึงการแต่งกายอันเฉิดฉันของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ก็กลั้นขำ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะช่วยท่านเฉินซ่อมแซมชุดคลุมอาคมเอง”

หลี่เอ้อร์หัวเราะร่า

หลี่หลิ่วพูดอย่างระอาใจ “ท่านพ่อ คิดเหลวไหลอะไรอยู่น่ะ?”

หลี่เอ้อร์ตอบ “ไม่ได้คิดเหลวไหล แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวลงจากภูเขาไปจะมีเหล้ากินก็เลยอารมณ์ดี”

เฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่บินชูอีสืออู่มาทีละก้าวอย่างโงนเงน สุดท้ายก็พลิ้วกายลงบนพื้น

หลี่เอ้อร์กล่าว “พักรักษาตัวอยู่บนภูเขาสักห้าวันก่อน รอให้เจ้าสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตร่างทองได้แล้ว ข้าค่อยช่วยเปิดเส้นเอ็นและกระดูก ขัดเกลาจิตวิญญาณให้เจ้า ทุกครั้งที่ฝ่าทะลุหนึ่งขอบเขต ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายที่ตัวผู้ฝึกยุทธเองไม่อาจจินตนาการได้ถึง ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนจะค่อนข้างมั่นคงกว่า”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านอาหลี่ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ข้ามึนหัวตัวลายไปหมด แค่คิดถึงการฝึกหมัดก็ง่วงแล้ว ขอข้าหายใจหายคอสักหน่อยเถอะนะ”

หลี่เอ้อร์ยิ้มพลางโบกมือ

เฉินผิงอันหันไปกุมหมัดคารวะหวงไฉ่เจ้าภูเขาท่านนั้น เอ่ยขออภัยว่า “ไม่เคยมีโอกาสได้ขอบคุณเจ้าขุนเขาหวงเลย”

หวงไฉ่ส่ายหน้า “คุณชายเฉินไม่ต้องเกรงใจ ยอดเขาสิงโตของพวกเราชื่อเสียงกระฉ่อนก็เพราะได้รับใบบุญจากท่าน คุณชายเฉินเชิญพักรักษาตัวได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก ขอตัวลาจากไป

หลี่เอ้อร์เองก็รีบลงจากภูเขา

หลี่หลิ่วยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยว่า “ชื่อเสียงกระฉ่อน? นี่มันคำกล่าวในทางลบไม่ใช่หรือ? หวงไฉ่ ปีนั้นข้าก็บอกให้เจ้าอ่านตำราให้มาก นี่เจ้าเอาแต่ฝึกตนงั้นหรือ? ได้ยินมาว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับโจวมี่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอวี๋ฝู คุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร?”

หวงไฉ่กล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าไม่ชอบอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างข้ากับเจ้าขุนเขาโจวคบหากันก็ไม่เคยพูดคุยเรื่องบทกลอนบทกวีอะไร”

หลี่หลิ่วส่ายหน้า “ตอนเด็กหัวโตเสียเปล่า”

หวงไฉ่อึ้งตะลึง ลูบศีรษะของตัวเองแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กเคยมีเรื่องแบบนั้นจริงๆ ยามนั้นตนหน้าเหลืองผอมตอบ เดินขอทานไปตามถนนยามที่หิมะปลิวปราย จากนั้นก็ได้เจอกับอาจารย์ที่เดินมาช้าๆ ท่ามกลางหิมะใหญ่

หวงไฉ่จดจำภาพเหตุการณ์นั้นได้อย่างแจ่มชัดชั่วชีวิต เพียงแต่ว่ากาลเวลาต่อมา ตนมีเรื่องราวมากมายให้ต้องทำ จึงเริ่มจะลืมเลือนไปบ้าง

หลี่หลิ่วหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่คอยเฝ้าพิทักษ์สมบัติอย่างยอดเขาสิงโตไว้อย่างยากลำบาก ยอดเขาสิงโตก็เป็นแค่หนึ่งในถ้ำสถิตที่นางทิ้งเอาไว้ ถึงขั้นไม่มีความสำคัญเท่าตำหนักวารีหนานซวินของถ้ำสวรรค์วังมังกรด้วยซ้ำ การที่นางเลือกให้ครอบครัวสามคนมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็เพียงแค่เพราะหลี่หลิ่วชอบเมืองเล็กที่เงียบสงบตรงตีนเขา หากท่านแม่ได้เปิดร้านอยู่ในตลาดแห่งนั้นก็จะไม่รู้สึกแปลกที่แปลกถิ่นมากเกินไป อันที่จริงนี่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับยอดเขาสิงโตและหวงไฉ่เลย

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เวลานี้พอได้เห็นว่าเด็กหัวโตที่ผอมราวกับลิงในตอนนั้นจู่ๆ กลายมาเป็นผู้เฒ่าผมขาวแก่ชรา หลี่หลิ่วก็รู้สึกเสียใจนิดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณสมบัติของหวงไฉ่ไม่ถือว่าดีนัก นิสัยก็ดื้อรั้นเกินไป บนเส้นทางของการฝึกตน เขาผ่านการเข่นฆ่ามามากมาย การดูแลศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีปไม่ใช่เรื่องผ่อนคลาย หวงไฉ่ที่เดิมทีมีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ในประวัติศาสตร์ต้องเผชิญหน้ากับการถามกระบี่ การลอบโจมตีของผู้ฝึกกระบี่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังปกป้องศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโตไม่ให้ถูกทำลาย ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ทำให้มีโรคร้ายมากมายทิ้งไว้ การซ่อมแซมจวนลมปราณหลังผ่านศึกใหญ่มาไม่ได้ช่วยอะไร ชีวิตนี้จึงได้แต่ติดค้างอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น

อันที่จริงครั้งแรกที่หลี่หลิ่วย้อนกลับมายังยอดเขาแห่งนี้ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเด็กคนนี้ ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโตที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ จะนับเป็นอะไรได้? ต่อให้พังครืนลงมา กลายเป็นซากปรัก หวงไฉ่ไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ แล้วอย่างไร? ไม่ได้ทุ่มเทความคิดจิตใจมากมายไปอบรมปลูกฝังลูกศิษย์ ไม่เผาผลาญแรงกายแรงใจและทรัพยากรไปช่วยแตกกิ่งก้านสาขาให้กับยอดเขาสิงโต แต่เลือกจะตั้งใจฝึกตนอยู่กับตัวเอง คิดเพียงแค่เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตอย่างเดียว เมื่อเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้รับของรางวัลเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งจากนางหลี่หลิ่ว

ไม่ใช่หลี่หลิ่วไม่รู้ถึงความตั้งใจของหวงไฉ่ ในความเป็นจริงแล้วนางรู้ชัดเจนดีทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนหลี่หลิ่วไม่คิดจะสนใจก็เท่านั้น

ทว่านาทีนี้ หลี่หลิ่วกลับรู้สึกเสียใจ

มองอาจารย์ที่ไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของเขา อาจารย์ที่เคยอยู่ในเนื้อหนังมังสาอีกแบบหนึ่งมักจะอยู่สูงส่งห่างไกลเสมอ เงียบขรึมพูดน้อยคล้ายกำลังคิดเรื่องใหญ่ที่เขาหวงไฉ่ไม่มีทางเข้าใจ

หวงไฉ่ไม่กล้ามองสบตาอาจารย์ เขาทอดสายตามองไปไกล พูดเสียงสั่นคล้ายพึมพำกับตัวเอง “ชีวิตนี้ได้กลับมาพบเจอกับอาจารย์อีกครั้ง ศิษย์ดีใจมากจริงๆ”

หลี่หลิ่วอืมรับหนึ่งที “อาจารย์ไม่ได้ดีใจเท่าเจ้า แต่ก็ยังดีใจ”

อาจารย์และลูกศิษย์พากันเงียบงันไปนาน

ก่อนที่หลี่หลิ่วจะเอ่ยเนิบช้าว่า “วันหน้าเจ้าไม่ต้องสนใจตราผนึกภูเขาสายน้ำของถ้ำสถิตแห่งนั้นอีก ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโต ถ้ำสถิตนั่นก็ไม่ใช่ที่ฝึกตนของข้านานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงในเรื่องนี้อีก หากยอดเขาสิงโตมีต้นกล้าดีๆ รอให้ท่านเฉินออกไปจากภูเขาเมื่อไหร่ เจ้าก็ให้พวกเขาเข้าไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ด้านใน ตำราเต๋าสามเล่มที่ข้าเคยมอบให้เจ้าในอดีต เจ้าสามารถถ่ายทอดไปให้ลูกศิษย์แต่ละคนโดยดูจากคุณสมบัติและนิสัยใจคอของพวกเขา ไม่ต้องเอาแต่ยึดติดกับกฎระเบียบมากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่ได้ไม่อนุญาตให้เจ้าถ่ายทอดวิชาน้ำบรรพกาลทั้งสามวิชานั้น หากเจ้าไม่คร่ำครึเกินควรอยู่อย่างนี้ ป่านนี้ยอดเขาสิงโตก็คงมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนที่สองปรากฏขึ้นนานแล้ว”

หวงไฉ่ตบศีรษะตัวเอง “เป็นอย่างที่อาจารย์พูดไว้จริงๆ อุตส่าห์มีหัวโตๆ เสียเปล่า”

หลี่หลิ่วหัวเราะ

หวงไฉ่เองก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกสุขสงบ สีหน้าอิ่มเอมใจ ยืนมองขุนเขาสายน้ำบนโลกมนุษย์ร่วมกับอาจารย์ที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งอยู่เช่นนั้น

……

ห้าวันผ่านไป หลี่เอ้อร์ขึ้นเขามาอีกครั้ง การป้อนหมัดครั้งนี้ต้องการให้เฉินผิงอันใช้แค่สถานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองมาประลองฝีมือกับเขา แต่ไม่อนุญาตให้ใช้โครงท่าหมัดหรือกระบวนท่าหมัดใดๆ แม้แต่วี่แววว่าจะใช้ก็ห้ามมี หากเขาหลี่เอ้อร์ค้นพบเบาะแสแม้แต่น้อย เฉินผิงอันก็ต้องกินหมัดของขอบเขตเก้ายอดเขาไปเต็มๆ สิ่งที่เรียกร้องมีเพียงว่าเฉินผิงอันต้องออกหมัดให้ไว หากช้าแม้เพียงนิด ก็จะผิดต่อขอบเขตร่างทองที่ได้มาไม่ง่ายนี้ แล้วก็ยิ่งต้องกินหมัด สุดท้ายหลี่เอ้อร์ลากเฉินผิงอันไปที่เรือลำเล็ก ครั้งนี้หลี่เอ้อร์เป็นคนถ่อเรือกลับท่าเรือด้วยตัวเอง บอกว่ายังขาดแรงไฟอยู่อีกเล็กน้อย อีกห้าวันค่อยมาขัดเกลากันใหม่ เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีครั้งนี้อย่างที่หาได้ยาก บอกว่าไม่ได้จริงๆ เขาต้องออกเดินทางต่อแล้ว ในเมื่อหลิวจิ่งหลงฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็จะต้องเจอกับการถามกระบี่ครั้งแรก เขาจำเป็นต้องไปดูที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเสียหน่อย แล้วค่อยไปเยี่ยมเยือนฮว่อหลงเจินเหรินที่ยอดเขาพาตี้ ไปพบกับสหายสนิทอีกหนึ่งคน แล้วยังต้องไปที่ถนนถ้ำเซียนของเมืองหนึ่งในแคว้นชิงเฮาเพื่อพบกับหลี่ซีเซิ่ง แล้วก็ยังต้องเดินทางลงใต้กลับไปที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย

หลี่เอ้อร์จึงไม่ได้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจ

ยามเช้าตรู่ คนทั้งสองเดินเร็วๆ ลงเขาไปด้วยกัน หลี่เอ้อร์ถามอย่างสงสัยว่า “ในเมื่อรีบร้อนอยากจะกลับไปภูเขาห้อยหัวตามสัญญาขนาดนี้ เหตุใดไม่เดินทางออกจากอุตรกุรุทวีปไปเลย? ยังจะไปที่แจกันสมบัติทวีปอีกทำไม ภูเขาลั่วพั่วไม่มีขาสักหน่อย ยังมีจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อที่คนหนึ่งดูแลในคนหนึ่งดูแลนอกคอยช่วยเหลือ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องเป็นกังวล หากพลาดชายหาดโครงกระดูกไป เรือข้ามทวีปที่แจกันสมบัติทวีปก็แค่ที่นครมังกรเฒ่าเท่านั้น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ ไม่รู้สึกว่ายุ่งยากบ้างหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กลับไปดูที่บ้านสักหน่อย จะวางใจได้อย่างไร”

หลี่เอ้อร์จึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ช่วยเฉินผิงอันป้อนหมัด เขาพูดมากจริงๆ เหนื่อยกว่าการออกหมัดเสียอีก

พอไปถึงร้านผ้าที่ตีนเขา หลี่หลิ่วกำลังช่วยงานอยู่ในร้าน กิจการค่อนข้างซบเซา เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด สุดท้ายก็อดไม่ไหวเปิดปากว่า “แม่นางหลี่ รู้หรือไม่ว่าทำไมเวลาเจ้าขายผ้าอยู่ในร้าน กิจการถึงไม่ค่อยดีนัก?”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ

สตรีวัยกลางคน หญิงสาวอายุน้อยของตลาดในเมืองเล็กแห่งนี้ล้วนไม่ยินดีจะพบหน้านาง ต่อให้นางจะยอมฝืนใจพูดโอ้อวดถึงสรรพคุณของเนื้อผ้าจนมีดอกไม้ผุดร่วงลงมา ทว่าขอแค่นางยังยืนอยู่ในร้าน สตรีชาวบ้านพวกนั้นก็ยังอดรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไม่ได้ ซื้อผ้ามาเพิ่มความงามให้ตัวเองสักส่วนสองส่วนแล้วอย่างไร ขอแค่เห็นนางหลี่หลิ่วก็ยังหมดอาลัยตายอยากอยู่ดี

หลี่หลิ่วชอบมาอยู่ในร้านก็เพราะอยากจะอยู่กับท่านแม่ให้นานหน่อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สามารถให้เทพธิดาคนสองคนบนยอดเขาสิงโตที่หน้าไม่งดงามมากนัก เลือกช่วงเวลาที่บนถนนมีคนคึกคักมาซื้อผ้าแพรต่วนที่นี่สองครั้ง ครั้งแรกซื้อให้น้อย ครั้งที่สองซื้อให้มากหน่อย จำไว้ว่าตอนที่มาให้สวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าแพรที่ซื้อไปจากที่นี่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้แม่นางหลี่เหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงใจค้าขายแล้ว แล้วก็จะมีเวลาพูดคุยอยู่กับท่านอาหลิ่วในเรือนด้านหลังได้มากกว่าเดิม”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “จะลองทำตามแผนการอันแยบยลที่ท่านเฉินถ่ายทอดให้ดู”

ก่อนหน้านี้สตรีออกเรือนแล้วเห็นสีหน้าของเฉินผิงอัน ตอนที่ยกน้ำชามาให้ ประโยคแรกที่เปิดปากถามคือป่วยหรือ?

เฉินผิงอันรีบยิ้มส่ายหน้าบอกว่าเปล่า เพียงแค่โดนลมเย็นเล็กน้อย ท่านอาหลิ่วไม่ต้องเป็นกังวล

สตรีจึงบอกวิธีบ้านๆ ในการดูแลรักษาร่างกายของบ้านเกิดให้เขาฟัง ย้ำกับเฉินผิงอันว่าอย่าไม่ใส่ใจเด็ดขาด

บนโต๊ะอาหารวันนี้มีคนนั่งอยู่สี่คน

พอท่านอาหลิ่วได้ยินว่าหลังกินข้าวเสร็จ วันนี้เฉินผิงอันก็จะออกไปจากเมืองเล็ก ก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ทว่าตอนนี้พอสตรีได้ยินว่าเฉินผิงอันยินดีช่วยเขียนจดหมายแทนนางแล้วส่งไปที่สำนักศึกษาต้าสุย สตรีก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน

หลี่หลิ่วหันหน้าไปมองหลี่เอ้อร์ หลี่เอ้อร์เพียงแค่ยิ้ม จิบเหล้าอย่างเอร็ดอร่อย

ในห้องของหลี่ไหว เฉินผิงอันหยิบเอากระดาษ พู่กันและหมึกออกมา สตรีนั่งอยู่ด้านข้าง หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับสตรี หลี่หลิ่วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านอาหลิ่ว ท่านพูด ข้าเขียน พวกเราเขียนเรื่องยิบย่อยในชีวิตประจำวันมากๆ หน่อย หลี่ไหวอ่านแล้วจะได้สบายใจ”

สตรีมองคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าคนนี้ อยู่ดีๆ นางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา พูดเสียงเบาว่า “ผิงอัน หากท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ายังอยู่ก็คงดีสินะ อาหลิ่วไม่มีความรู้อะไร เป็นเพียงแค่สตรีที่เก่งแต่ปาก แต่จะดีจะชั่วก็เป็นแม่คน ข้ากล้าพูดเลยว่าไม่ว่าพ่อแม่คนใดในใต้หล้านี้ หากมีลูกชายอย่างเจ้า ต้องไม่มีใครที่ไม่ดีใจแน่นอน”

เฉินผิงอันหลุบสายตาลงต่ำ สีหน้านิ่งสงบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คลี่ยิ้มพูดเสียงแผ่ว “ท่านอาหลิ่ว ข้าก็อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ แต่ตอนนั้นอายุน้อย ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็รู้สึกเสียใจมาโดยตลอด”

สตรีรู้สึกผิดอย่างมาก พูดเรื่องไหนไม่พูด นางดันมาพูดเรื่องที่ชวนให้คนเสียใจเช่นนี้เสียได้ จึงรีบเอ่ยว่า “ผิงอัน อาจะพูดไปเรื่อยๆ แล้วกันนะ เขียนได้ก็เขียน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เขียนลงไปในกระดาษไม่ได้ เจ้าก็ข้ามไปเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กระดาษมีเยอะ ท่านอาพูดได้เยอะๆ เลย จดหมายทางบ้านเขียนให้ยาวสักหน่อย ถือเป็นนิมิตหมายอันดี”