มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1022

ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงเล็กน้อย คนผู้นี้ขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ตอนปลายได้ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา กฎเวลาดั้งเดิมนี้เขาก็ได้รับการฝึกฝนมาจนถึงแดนสำเร็จน้อย ความสามารถของหลัวซิวไม่อาจเทียบได้

กฎเวลาดั้งเดิมของเขาบัดนี้อยู่ในขอบเขตของความเชี่ยวชาญเบื้องต้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พลังความแข็งแกร่งอันแท้จริงของหลัวซิวไม่อาจตัดสินได้โดยการใช้ขอบเขตของกฎเวลาดั้งเดิม สองระดับความเป็นตายนี้เป็นพลังเทพดั้งเดิม ซึ่งนับได้ว่าเป็นระดับของเทพมาร

“บูม!”

ตราแห่งความเป็นตายระเบิดเข้าไปในหลุมดำนั้น พลังแห่งกฎเวลาดั้งเดิมก็สลายไปในทันที หลุมดำพังทลายลง ตราประทับที่ฝ่ามือก็ระเบิดออก

“อ๊าก !……..”

มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดาราส่งเสียงร้องดังออกมา แม้ว่าเขาจะต่อสู้ดิ้นรนเช่นไร ถึงกระนั้นก็ยังทิ้งคราบเลือดไว้ ร่างของเขาถูกโจมตีเสียจนกระเด็นลอยออกไปและตกลงไปที่ตีนเขายู่หลิง

“จงกลับไปบอกเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักดารานภาของเจ้า หากยังมีใครกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าให้รกหูรกตาอีก ข้าจะไม่เมตตาอีกต่อไป” น้ำเสียงของหลัวซิวราวกับฟ้าร้องดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขายู่หลิง

เทวีหานยู่เป็นเทพซึ่งเจ้าของที่แห่งนี้ คิ้วของนางก็อดที่จะขมวดเข้าหากันไม่ได้ เนื่องจากผู้ที่เดินทางมาในวันนี้ล้วนแต่เป็นสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีต่อนาง

ลู่เมิ่งเหยามีท่าทางแสดงออกที่ซับซ้อนเช่นกัน ในขณะเดียวกันนางก็ได้ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่นในใจ เมื่อคิดย้อนกลับไปนางคิดว่านางกับหลัวซิวไม่ได้มาจากโลกเดียวกัน ดังนั้นนางจึงมิได้ไปหาเขา

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความจริงก็ปรากฏขึ้นเป็นไปตามที่นางคิด ทั้งสองไม่ได้มาจากโลกเดียวกันจริงๆ แต่ที่ต่างจากสิ่งที่นางเคยคิดก็คือ ณ บัดนี้หลัวซิวอยู่ในที่สูงส่งมากจนนางทำได้เพียงมองขึ้นไป ไม่อาจเอื้อมมือไปสัมผัสได้ตลอดชีวิต

งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ด้านหน้าของแขกแต่ละคนมีโต๊ะหยกตั้งไว้ ซึ่งมากไปด้วยอาหารอันโอชะรวมทั้งสุราชั้นดี

ในโลกปัจจุบันนี้ ชื่อเสียงของหลัวซิวอาจกล่าวได้ว่าเจิดจ้าดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องนภา ความสามารถและศักยภาพของเขามีมากกว่าผู้ใดในรุ่นเดียวกัน

กองกำลังจำนวนมากต้องการเอาชนะหรือผูกมิตรกับเขา แต่เนื่องจากความสัมพันธ์อันไม่สู้ดีของเขากับตำหนักดารานภา พวกเขาส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงนั่งรอดูเรื่องราวต่อไป

หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลัวซิวจึงได้กล่าวลาและจากไป เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่สองสาวงามที่ไม่มีผู้ใดเปรียบปานเดินตามเขาออกไป

ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่บนเขายู่หลิง จ้องมองไปยังทิศทางที่เขากำลังจากไปราวกับว่าเขายังคงมองเห็นแผ่นหลังของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ในใจของนางบางคราก็ได้ปรากฏฉากที่นางอยู่ในเมืองชิงหยุนขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายทศวรรษ ความทรงจำเหล่านี้ก็ค่อยๆ เลือนราง……

“เจ้าโง่ เจ้ากับเขามิใช่ผู้ที่มาจากโลกเดียวกันอีกต่อไปแล้ว”

เทวีหานยู่ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง นางคือเทวีที่ได้รับสมญานามว่าบริสุทธิ์สะอาดที่สุดในโลกา ว่ากันว่าผู้มีอำนาจในแดนมหาจักรพรรดิมากมายล้วนชื่นชมนาง

“ท่านอาจารย์ ข้ารู้ดี ในครานั้นข้าสับสนไปเอง” ลู่เมิ่งเหยาหัวเราะเยาะตัวเองขึ้น

เหยียนซีโรว่ซึ่งอยู่ห่างจากเขายู่หลิงหลายพันลี้ บัดนี้กำลังเดินอยู่ข้างกายหลัวซิวได้กล่าวขึ้นทันทีว่า “เฮียหลัว แม่นางลู่ผู้นั้น ท่านรู้จักกันดีหรือ?”

ก่อนที่หลัวซิวจะตอบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า “น้องโรว่เอ๋อร์อาจไม่รู้อะไร ก่อนที่ข้าจะรู้จักหลัวซิว เขาและแม่นางลู่ก็ได้รู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว”

เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตของหลัวซิวโดยละเอียด ดังนั้นจึงกลายเป็นการสนทนาของพวกเขาระหว่างทาง โดยมีเหยียนซีโรว่เป็นผู้ฟัง

ส่วนหลัวซิวเหมือนเช่นผู้ที่สัญจรผ่านไปมา นั่งฟังคนอื่นเล่าประวัติชีวิตของตน ซึ่งให้ความรู้สึกอันแตกต่างออกไป

อดีตก็เหมือนกับควัน ชีวิตไม่อาจย้อนคืนกลับไปได้ มีสิ่งใดให้น่าจดจำ ?

ทันใดนั้น ร่างของหลัวซิวก็หยุดชะงัก โซ่ตรวนทะลุทะลวงในทันที ผลการฝึกฝนเทพจิตของเขาได้เข้าสู่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ก่อนหน้านี้เขาได้ร่วมมือกับเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเพื่อสังหารเทพมารอสูรวานรฟ้าและเทพปีศาจเดือดคงคาช่องจิตของเทพมารทั้งสองนี้ถูกเขาขังไว้ในห้วงจักรหยั่งรู้เพื่อขัดเกลานิสัยจนกระทั่งบัดนี้