เดินตามเงาร่างของหวังเป่าเล่อเข้าไปในประตูใหญ่ของร้านค้า หลังจากถูกกลืนโดยปากที่ดูอึมครึมนี้แล้ว ตรงหน้าของเขาก็มืดลงเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปในร้านคล้ายเดินทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง
ร้านค้าแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่เจ็ดแปดตัว เนื่องจากเป็นวันเทศกาลจึงไม่มีลูกค้าอยู่ สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาของหวังเป่าเล่อมีเพียงพนักงาน ผู้จัดการร้าน กับพ่อครัวเท่านั้น
ผู้จัดการร้านเป็นสตรี ร่างกายไม่ได้ผอมโซ แต่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่งตัวค่อนข้างยั่วยวน เสื้อผ้าเปิดเผยมาก ทั่วร่างแผ่เสน่ห์ยั่วเย้าของหญิงสาวโตเต็มวัยออกมา
ตอนนี้นางนั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนเก้าอี้ข้างๆ แววตามีประกายสีแดง เลียริมฝีปาก เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อเดินเข้ามา นางก็หัวเราะตื่นเต้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
“โอ้ คิดไม่ถึงว่าในเทศกาลสวาปามจะมีลูกค้าน้อยตัวหอมขนาดนี้มาหา”
ข้างกายผู้จัดการร้านสาวมีคนแคระผู้หนึ่ง หน้าตาของคนแคระผู้นี้อัปลักษณ์พิลึก แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้กลมกลิ้งเหมือนเจ้าอ้วนน้อยนอกประตู แต่รูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดน่ากลัวและเจตนาร้ายที่แผ่ออกมาก็เพียงพอจะทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นเขาครั้งแรกก็รู้สึกตกใจได้แล้ว
และยังมีชายฉกรรจ์ร่างท้วมมือถือมีดทำครัวเปื้อนเลือดยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตาของชายผู้นี้เล็กมาก ถึงขั้นที่หากไม่มองให้ดีๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นดวงตาของเขาเลย
มีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงดังออกมาจากปากของเขาเท่านั้น คล้ายใกล้จะข่มกลั้นตัวเองไม่ได้แล้ว ยามมองมาที่หวังเป่าเล่อ ลำคอของเขาก็เคลื่อนไหวบีบรัดอย่างเห็นได้ชัด
หวังเป่าเล่อมองผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแปลกประหลาดทั้งสามคนตรงหน้า ในใจสงบนิ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มราบเรียบออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา
“วันนี้ร้านปิดหรือ ทำไมไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยล่ะ และข้ายังอยากถามอีกสักข้อ ที่นี่พวกเจ้าขาดเจ้าของหรือเปล่า”
“เจ้าของหรือ” ผู้จัดการร้านหญิงหัวเราะลั่น
“ลูกค้าน้อยช่างน่าสนใจจริงๆ วันนี้เป็นวันซื้อ ย่อมไม่เปิดร้านให้คนนอก แต่กลิ่นหอมบนตัวเจ้าที่พวยพุ่งมาเช่นนี้ช่างเป็นวัตถุดิบชั้นดีเชียวล่ะ ยกเว้นให้เจ้าสักครั้งแล้วกัน” ผู้จัดการร้านพูดพลางเตะคนแคระข้างๆ ไปทีหนึ่ง
“นิ่งทำอะไรอยู่ ยังไม่เอาวัตถุดิบไปเก็บไว้ในห้องเก็บของอีก จำไว้ว่าห้ามทำเสียหาย ให้ราคาเต็มครบสมบูรณ์ไว้จะดีกว่า”
คนแคระผู้นั้นแสยะยิ้ม ประกายชั่วร้ายในแววตาพลันปะทุขึ้นมา คนทั้งคนกลายเป็นเงาวาบทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ พร้อมกันนั้น ชายฉกรรจ์ก็ร้องคำรามลั่น แล้วก้าวเท้าก้าวใหญ่พุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกัน หลังจากหวังเป่าเล่อก้าวเข้ามาในร้าน ความโลภในดวงตาของเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ด้านนอกก็ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป เขาเลียริมฝีปาก มองกลุ่มคนที่จ้องมารอบๆ หัวเราะแสยะไปทีหนึ่ง ก่อนก้าวไปยังประตูใหญ่ หนึ่งก้าวเข้าร้าน จากนั้นประตูร้านก็ปิดลงช้าๆ
ฝูงชนรอบด้านพากันก้มหน้าลง รีบเร่งเดินหนีไปไกล
แต่ในชั่วห้าถึงหกอึดใจที่เจ้าอ้วนน้อยก้าวเข้าไปในประตู ฝูงชนยังไม่ทันได้เดินหนีไปถึงไหน จู่ๆ ประตูร้านที่ปิดลงก็มีเสียงดังปึงปังออกมา คล้ายมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ในนั้นและพยายามเปิดประตูหนี
ฝูงชนรอบๆ ที่ยังไปไหนได้ไม่ไกลได้ยินเสียงแล้วก็หันกลับมามอง คนเข้าเมืองจากภายนอกเผยความหวาดกลัวออกมาในแววตา พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้ภายในร้าน เจ้าหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าไปผู้นั้นคงกำลังเจอกับการปฏิบัติอย่างย่ำแย่ไร้ใดเทียมแน่
แม้ว่าตอนนี้จะต่อสู้เพื่อพังประตูออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้พังประตูได้จริงๆ ก็ถูกลากกลับไปใหม่
เรื่องเป็นเช่นที่พวกเขาคาดเอาไว้จริงๆ ชั่วขณะต่อมา แม้ประตูใหญ่ส่งเสียงดังลั่น จนรอยแยกถูกฝืนเปิดออก พร้อมมีร่างร่างหนึ่งดิ้นรนคลานออกมาจากข้างใน
แต่…หลังจากมองเห็นคนที่คลานออกมาชัดๆ ฝูงชนรอบๆ ที่ยังไม่ไปไหนและมองดูอยู่ก็ล้วนเบิกตาโพลง สีหน้าไม่อยากเชื่อและตกตะลึงปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
การคาดเดาของพวกเขาทั้งถูก และก็ผิดเช่นกัน ส่วนที่ถูกคือต่อให้พังประตูออกมาก็จะถูกดึงกลับไปจริงๆ ส่วนเรื่องที่ผิด…อยู่ที่คน
ตอนนี้ผู้ที่ดิ้นรนคลานออกมาข้างนอกจากในรอยแยกของประตูไม่ใช่ชายหนุ่มผู้นั้นที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้ แต่เป็น…เจ้าอ้วนน้อยที่เมื่อครู่ยังยิ้มเยาะนั่นเอง
ขณะนี้ใบหน้าของเจ้าอ้วนน้อยเต็มไปด้วยเลือด ความกระหยิ่มใจหายไปนานแล้ว รอยยิ้มเยาะก็ลบไปอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาคือความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความหวาดกลัวนี้คล้ายจะเหนือกว่าความปรารถนา มันแจ่มชัดอยู่บนหน้าของเจ้าอ้วนน้อยเป็นพิเศษ
ราวกับว่าโลกหลังประตูบานนั้นมีความน่าสะพรึงกลัวอยู่ ทำให้ทั้งหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือการพยายามคลานออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พุ่งออกมาเต็มกำลัง
แต่…พริบตาที่เจ้าอ้วนน้อยคลานออกมาจากรอยแยกประตูใหญ่ได้ครึ่งร่าง มือขาวสะอาดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากข้างในแล้วคว้าผมของเจ้าอ้วนน้อยไว้ ก่อนดึงกลับเข้าไปในประตูใหญ่ช้าๆ
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!!” เจ้าอ้วนน้อยกรีดร้องอนาถ ความกลัวในแววตาระเบิดจนถึงที่สุด สองมือพยายามจับพื้น คิดจะหยุดร่างกายเพื่อต้านกับมือที่คว้าผมของตนข้างนั้นให้ได้
แต่ความต่างระหว่างสองฝ่ายมีมากเกินไป ขณะที่เกิดเสียงสวบสาบ พื้นก็ถูกสองมือของเจ้าอ้วนน้อยจิกจนเกิดรอยลึก แต่ร่างกายของเขายังถูกมือข้างนั้นลากกลับไปอย่างแรง
เสียงดังปึง ประตูปิดลง ในนั้นไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก
ภาพนี้ทำให้ฝูงชนรอบๆ หนังศีรษะชาหนึบ รู้สึกแค่ความน่าสะพรึงข้างในร้านค้านั้นเหนือกว่าที่จินตนาการ แต่ละคนรีบเร่งความเร็วเดินจากไปทันที ไม่ช้าบริเวณโดยรอบก็ว่างเปล่า
และตอนนี้เอง เมื่อฝูงชนจากไปอย่างรีบเร่งพร้อมกับที่คนบ้าคลั่งทั่วทั้งเมืองตามหนวดสีทองจนใกล้จะจบสิ้นแล้ว ภายในร้านค้าที่ไม่มีใครให้ความสนใจแห่งนี้ หวังเป่าเล่อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้ามีโจ๊กหนึ่งชาม เขาหยิบช้อนมาตักกินช้าๆ
ด้านหน้าของเขาคือคนแคระที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีชั่วร้าย ทว่าตอนนี้ตาหายไปข้างหนึ่ง แขนขาดไปครึ่งท่อน ขาหักสองข้าง ร่างกายสั่นระริก กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่
ท่าทางกระโดดโลดเต้นช่างเหมือนกับตัวตลกในคณะละครสัตว์ ขณะที่กระโดดอยู่ เลือดก็สาดกระเซ็นไม่หยุด เนื่องจากขาหักทั้งสองข้าง ดังนั้นทุกครั้งที่กระโดดก็ทำให้เขาเจ็บปวดจนถึงขีดสุด หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่แล้วเห็นภาพนี้ จะต้องตะลึงลานเป็นแน่
ส่วนชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เนื้อไขมันทั่วร่างสั่นเทิ้ม สองมือตบเข้าที่ลำคอของตนไม่หยุด ส่งเสียงร้องเหมือนตีกลองออกมา คล้ายเป็นดนตรีประกอบ
แต่บนคอของเขามีรอยแผลขนาดใหญ่หนึ่งรอย ทุกครั้งที่ตบลงไปล้วนทำให้บาดแผลฉีกขาดมากขึ้น ทำให้ขณะที่สีหน้าของชายฉกรรจ์ขาวซีด พลังชีวิตของเขาก็ไหลหายไปอย่างรวดเร็วด้วย
และยังมีผู้จัดการร้านหญิงผู้นั้น ความเย้ายวนคึกคักไม่มีอยู่บนตัวของนางแม้แต่นิดอีกต่อไป ตอนนี้นางนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ด้านหน้าคือเจ้าอ้วนน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ทั้งสองตัวสั่นเทิ้ม กำลังตบบ้องหูของอีกฝ่ายเต็มแรง
เจ้าหนึ่งที ข้าหนึ่งที เสียงตบเพี๊ยะๆ ดังอยู่ในร้านค้า คล้ายสอดประสานไปกับเสียงตีกลองของชายฉกรรจ์ผู้นั้น
เพราะว่าต้องใช้กำลัง ดังนั้นตอนนี้หน้าทั้งคู่จึงไม่เหลือเค้าเดิมเสียส่วนใหญ่ แม้แต่ลำคอก็ยังหัก น่าอนาถถึงที่สุด
แต่พวกเขาทั้งสี่กลับไม่กล้าดิ้นรนแม้แต่น้อย บางคราวยามมองไปที่หวังเป่าเล่อผู้กินโจ๊กอย่างนิ่งสงบ สีหน้าก็มีความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับกำลังมองดูภูตผีปีศาจ
ผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็วางช้อนลง พึงพอใจกับรสชาติของโจ๊กชามนี้อย่างยิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าอยากถามหน่อย ตอนนี้ร้านแห่งนี้ยังขาดเจ้าของอยู่หรือไม่”
ทั้งสี่คนพยักหน้าหัวแทบหลุด
………………………