ในที่สุด โดเรียนหยุดด้านข้างจดหมาย
มันโน้มตัวลงพร้อมกับเหยียดแขนขวา จับขอบกระดาษและหยิบขึ้นฝ่ามือสั่นเทา
คราวนี้โดเรียนตั้งใจมาก บรรจงอ่านทีละคำ ออกอาการสะดุดบ้างเล็กน้อยด้วยความสับสน ประหลาดใจ และเจ็บปวด
จดหมายจากฟอร์สมีเนื้อหาไม่มากนัก ใช้เวลาเพียงสามนาทีก็อ่านจบสองรอบ จากนั้นก็เงียบงันเป็นเวลานาน
แสงแดดจากนอกหน้าต่างส่องเข้ามาปกคลุมโต๊ะทำงานที่พลิกหงาย
ริมฝีปากของโดเรียน เกรย์ อับราฮัมขยับขึ้นลง แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงเล็ดลอด
มันรีบเสียดสีกระดาษที่อยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งมือขวา จุดไฟสีแดงเข้มให้ลุกท่วมจดหมาย
จัดการทั้งหมดเสร็จ โดเรียนเก็บข้าวของ แปลงโฉม เดินออกจากบ้านเช่าเพื่อย้ายไปที่อยู่และใช้ตัวตนที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อย มันนั่งลงริมโต๊ะทำงานพลางจ้องไปยังเครื่องประดับทองเหลือง ไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
จนกระทั่งแสงอาทิตย์อ่อนแรงลง โดเรียนขยับเปลือกตาพลางถอนหายใจแผ่ว
มันคลี่กระดาษจดหมายออก หยิบปากกาขึ้นมาเขียนสลับกับคิด
“…ผมดีใจมากที่ได้เห็นคุณย่อยโอสถนักบันทึกเสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่เดือน… สิ่งนี้หมายความว่าคุณอาจก้าวไปถึงระดับครึ่งเทพได้…”
“…สิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการสวมบทบาทเป็นนักท่องเที่ยว อย่างน้อยก็เท่าที่ผมทราบ… แต่ผู้วิเศษทุกคนมีบุคลิกแตกต่างกัน การสวมบทบาทย่อมมีบางจุดที่ไม่เหมือนกันและไม่ควรเลียนแบบ… ผมไม่ได้หมายความว่าการสวมบทบาทของผู้อื่นนั้นผิด แต่ประเด็นสำคัญก็คือ บางสิ่งอาจสร้างความขัดแย้งภายในใจคุณอย่างรุนแรงจนส่งผลเสีย… ในบางครั้ง การปรับเปลี่ยนวิธีสวมบทบาทให้เหมาะสมกับตัวเองอาจทำให้ย่อยโอสถได้ช้าลง แต่นั่นจะเป็นประโยชน์มากกว่า มั่นคงมากกว่า… คุณต้องจำไว้ว่าเทคนิคสวมบทบาทเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เจ้าชีวิต…”
“…ผมตั้งตารอวันที่คุณย่อยโอสถนักท่องเที่ยวเสร็จสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะเตรียมวัตถุดิบและของขวัญที่เกี่ยวข้องไว้ให้…”
“…ผมค่อนข้างสนใจประเด็นเกี่ยวกับคำสาปตระกูลอับราฮัมที่สุภาพบุรุษคนดังกล่าวเอ่ยถึง… คุณคงสังเกตเห็นมานานแล้วว่าผมพยายามค้นคว้าเรื่องนี้อย่างหนัก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่คอยไถ่ถามเป็นประจำ…”
“…หวังว่าคุณจะได้รับข้อมูลในประเด็นนี้มากขึ้น…”
หลังจากเขียนตอบ โดเรียน·เกรย์·อับราฮัมหลับตาลงและพับกระดาษ
…
มกราคมปี 1351 ปีใหม่ของเบ็คลันด์รอบนี้หนาวเย็นกว่าปรกติหลายเท่า
ณ ห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งในเขตตะวันตก เทียนไขจำนวนหนึ่งกำลังไหววูบ มอบความสว่างให้กับแท่นบูชา เก้าอี้ และโต๊ะกลม
บริเวณสุดขอบแสงสว่าง ในจุดที่มืดสนิท ร่างหนึ่งสั่นไหวและยืดออก ลักษณะบางเฉียบคล้ายกับเงาดำมีชีวิต
ทันใดนั้น ร่างดังกล่าวเปล่งเสียงต่ำ
“มาถึงเร็วกว่าที่คิด”
ด้านข้างเทียนไข ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็วในจุดที่สว่างที่สุด
เพศชาย แต่งกายในเสื้อคลุมสีดำ ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ดวงตาลุ่มลึกคล้ายกับซ่อนวัตถุมากมายไว้ด้านใน
ไม่ใช่ใครนอกจากนักบุญเร้นลับ โบทิส หนึ่งในห้านักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือ
โบทิสยิ้มและพูด
“สำหรับฉัน ระยะทางไม่ใช่ปัญหา”
มันดึงเก้าอี้ออกมานั่งและหันไปพูดกับเงาดำ
“ตรวจสอบละเอียดแล้วหรือ? ไม่มีอะไรผิดปรกติแน่นะ?”
เงาดำที่เกือบจะกลืนไปกับความมืด ตอบเสียงต่ำ
“ไม่มีอะไรผิดปรกติ”
“จริงหรือ?” โบทิสถามตามความเคยชิน “คิสม่า นี่ไม่ใช่กับดักแน่หรือ”
นักบุญมืดแห่งชุมนุมแสงเหนือ คิสม่า ส่ายหน้าและกล่าว
“เป้าหมายระมัดระวังตัวมาก ไม่ใช่การจงใจเปิดเผยแน่… หากไม่ใช่เพราะเธอต้องการซื้อวัตถุต้องสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณ เราคงไม่เอะใจว่าเธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอับราฮัม”
นักบุญเร้นลับ โบทิส ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“วัตถุต้องสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณ… หนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถนักบันทึก… ฉันจำได้ว่าตระกูลอับราฮัมมีสมองของอัสมานเก็บไว้… หึหึ พวกมันไม่อยากมอบตะกอนพลังของนักบันทึกโดยตรง เพราะหวังว่าจะได้ทดสอบอีกฝ่ายไปในตัว… สมกับเป็นพวกตระกูลอับราฮัม หรือสรุปให้เข้าใจง่าย พวกมันไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น”
นักบุญมืด คิสม่า กล่าวต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดโบทิส
“หรือต่อให้เธอจะประกาศซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถนักบันทึก แต่นั่นก็ยังไม่มากพอจะทำให้เราเกิดความสงสัย เพราะใช่ว่าสาวกทุกคนของเราจะมีความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับระดับนั้น… แต่สิ่งทำให้เราเริ่มเอะใจคือการตั้งคำถามถึงผู้ฝึกหัดและอับราฮัม… เธอระมัดระวังตัวเองมาก ชุมนุมลับที่ประกาศซื้อวัตถุดิบหลักและตั้งคำถามเป็นคนละชุมนุม และในบางครั้งเธอก็จ้างให้สมาชิกคนอื่นในชุมนุมช่วยถามแทน… หากไม่ใช่เพราะพวกเรามีคนในทุกแวดวงและนำข้อมูลมาประกอบกัน ก็คงไม่มีทางสังเกตเห็น”
นักบุญมืด โบทิส พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตั้งคำถาม
“แล้วทำไมนายไม่ลงมือเอง?”
ภายในความมืด เงาดำลอยตัวพร้อมกับตอบเชื่องช้า
“สถานการณ์ในเบ็คลันด์กำลังตึงเครียด เหยี่ยวราตรี ทูตพิพากษา และจิตแห่งจักรกล กำลังดำเนินแผนกวาดล้างครั้งใหญ่ องค์กรของเราถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด… หากจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายก็คงไม่เป็นไร แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ตัวฉันที่ไม่ได้ต้อนแกะ ‘จอมเวทลึกลับ’ เข้าไปอาจหลบหนีไม่ทัน… นอกจากนั้น เจ้าคือคนที่สนใจตระกูลอับราฮัมมากที่สุดไม่ใช่หรือ?”
โบทิสยิ้มและกล่าว
“ฉันไม่ได้สนใจ… แค่อยากให้พวกมันตายไปให้หมด… เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง สิ่งสำคัญคือการถอนรากถอนโคนเสี้ยมหนามให้สิ้นซาก นี่คือปรัชญาในการดำรงชีวิตของฉัน”
ขณะกล่าว นักบุญเร้นลับหยิบลูกบอลแก้วออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ
ลูกแก้วดังกล่าวมิได้โปร่งใสหรือโปร่งแสง แต่ดูเหมือนค่ำคืนอันมืดมิด
อาศัยการลูบไล้ของโบทิสและการขยับปาก แสงสว่างเจือจางปรากฏขึ้นภายในลูกบอลพิสดาร
คล้ายกับหมู่ดาวที่บรรจงหมุนวน ในที่สุดพวกมันก็ก่อตัวเป็นฉากอันซับซ้อน
“อยู่ในขอบเขตที่รับได้…” โบทิสชำเลืองไปทางลูกบอลแก้วในมือขวาก่อนจะพยักหน้า
จากนั้นก็มองไปที่ ‘เงาดำ’
“ขอรายละเอียด”
หลังจากทราบว่าคืนนี้จะมีชุมนุมลับที่เป้าหมายอาจปรากฏตัว นักบุญเร้นลับ โบทิส ลุกขึ้นพูดกับนักบุญมืด คิสม่า
“ฉันต้องเตรียมความพร้อม”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันหงายมือขวาพร้อมกับยกขึ้นแผ่วเบา ตามด้วยกำมือแน่น
ห้วงมิติโดยรอบพลันบิดเบี้ยวและหายไป
เทียนไข แสงไฟ โต๊ะกลม และเก้าอี้ที่เคยตั้งอยู่ล้วนอันตรธานหาย เหลือเพียงกระเบื้องและเพดาน
ผ่านไปสักพัก เมื่อเงาเริ่มขยับ ทุกสิ่งก็กลับเป็นปรกติ
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับนักบุญเร้นลับ โบทิส แต่ร่างของนักบุญมืด คิสม่า ถึงคราวโผล่ออกจากความมืด
มันจ้องไปทางโบทิสพลางกล่าวเสียงลุ่มลึก
“ความหวาดระแวงของนายมันเกินขอบเขต”
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่ ฉันอยากสะสางปัญหาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น” โบทิสตอบพลางยิ้ม “นายจะซ่อนอยู่ในเงาของฉันและตามมาช่วยสนับสนุนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลงมือ ถ้าพบความผิดปรกติให้รีบหนีทันที”
“…ตกลง” นักบุญมืด คิสม่า ย่างกรายออกจากความมืด
ใบหน้าของมันทั้งอ่อนเยาว์และมีเสน่ห์ แต่คล้ายกับมีม่านสีดำแผ่นบางปกคลุมใบหน้า
หลังจากเข้าใกล้โบทิส เสียง ‘เคี้ยว’ ‘แทะ’ และ ‘ย่อย’ ดังขึ้นอย่างล่องลอย คิสม่าแผ่ความอาฆาตและหิวกระหายโดยไม่ปิดบัง
ฉากดังกล่าวทำให้แม้แต่ครึ่งเทพก็ยังสั่นสะท้าน
ดวงตานักบุญมืดแน่นิ่งสักพักก่อนจะหันไปสังเกตสีหน้าตกตะลึงของโบทิส
โบทิสขดมุมปากพลางเผยรอยยิ้มเจือความชั่วร้าย
ไม่กี่วินาทีถัดมา หนึ่งในพวกมันใช้เทเลพอร์ต ส่วนอีกคนใช้พลังผสานเงามืด พากันออกจากบ้านโดยพร้อมเพรียง
…
ณ รอยต่อระหว่างเขตตะวันออกและย่านสะพานเบ็คลันด์ ภายในหอพักทรุดโทรมหลังหนึ่งซึ่งห้องชั้นหนึ่งเชื่อมติดกันบางส่วน
เมื่อโบทิสเดินออกจากโลกวิญญาณ ยังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงกว่าชุมนุมลับจะเริ่มขึ้น จึงยังไม่มีใครมาถึง
มันมองไปรอบตัวก่อนจะเดินไปยังบริเวณเก้าอี้และโต๊ะยาวซึ่งอยู่ในสภาพรก
ตรวจสอบสภาพแวดล้อมสักพัก โบทิสเดินไปที่มุมห้องพร้อมกับดึงมือขวาในลักษณะคล้ายกับดึงผ้าม่าน
ห้วงมิติรอบตัวถูกปกคลุมด้วยเงามืดที่บิดเบี้ยวสักพักก่อนจะหายไป
เนื่องจากแถวนั้นไม่มีอะไรวางอยู่แต่แรก แถมยังไม่มีวัตถุสำหรับเปรียบเทียบอย่างชัดเจน จึงไม่มีใครตระหนักว่าห้วงมิติในจุดดังกล่าวหายไปบางส่วน อย่างมากก็สัมผัสได้ว่าระยะห่างระหว่างตัวเองกับกำแพงสั้นลงเล็กน้อย แต่ถึงจะตรวจสอบอย่างละเอียดก็คงไม่พบความผิดปรกติ
นี่คือพลัง ‘ซ่อนมิติ’ ของจอมเวทลึกลับ!
พวกมันสามารถใช้พลังดังกล่าวเพื่อแบ่งมิติออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งจะถูกซ่อนและต้องผ่านเข้าออกด้วยประตูพิเศษเท่านั้น
ในจุดที่ถูกตัดแบ่งและซุกซ่อน สภาพห้องยังเป็นปรกติทุกประการ บนพื้นมีกระเบื้อง บนฟ้ามีเพดาน และมีแมลงสาบคลานไปมา
แมลงสาบตัวดังกล่าววิ่งไปจนสุดทางจนกระทั่งถูกกีดขวางด้วยความมืดที่มองไม่เห็น
นักบุญเร้นลับ โบทิส มองไปรอบตัวจนกระทั่งหยุดสายตาที่วังวนโปร่งใสกลางอากาศ
นั่นคือ ‘ประตู’
ทุก ‘มิติ’ ที่ถูกซ่อนจะต้องมีประตูสำหรับเข้าออกเสมอ
โบทิสครุ่นคิดสักพักก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ หยิบกระจกบานหนึ่งออกมาวางไว้ในตำแหน่ง ‘ประตู’
กระจกบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะสะท้อนภาพของโลกภายนอก
เก้าอี้และโต๊ะยาวกำลังถูกวางอย่างระเกะระกะ
โบทิสคิดจะใช้กระจกบานดังกล่าวเพื่อตรวจสอบบรรยากาศภายในชุมนุมลับ
จากวินาทีกลายเป็นนาที ผู้วิเศษที่ปกปิดตัวตนด้วยวิธีการต่างๆ ทยอยเดินทางมาถึง
ในหมู่พวกมันมีบุคคลสวมชุดคลุมศีรษะที่เลือกนั่งตรงมุมหน้าต่างตามความเคยชิน บุคคลดังกล่าวหยิบสมุดเล่มเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาพลิกอ่านอย่างสบายใจ คล้ายกับกำลังทบทวนสิ่งที่จะถาม หรือไม่ก็กำลังตรวจสอบความพร้อมของตัวเอง
ด้านหลังเธอมีกระจกเงาธรรมดาแขวนอยู่บนผนัง
………………………