ภายในมิติที่ถูกซ่อน นักบุญเร้นลับ โบทิส หรี่ตาลงเล็กน้อยเนื่องจากจดจำได้ว่านั่นคือ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’
ฉากตรงหน้าทำให้มันเลิกคลางแคลงข้อมูลจากนักบุญมืดทันที
มันรู้จักสมุดบันทึกเล่มนี้ดี และทราบว่าเป็นสมบัติวิเศษที่ตระกูลอับราฮัมหวงแหนมาก เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ และผลข้างเคียงก็น้อยมากจนแทบไม่ต้องกังวล
หึหึ… ในตอนที่ยังอยู่ลำดับกลาง เราปรารถนาสมุดเล่มนี้เหนือสิ่งอื่นใด แต่ตระกูลอับราฮัมกลับไม่เชื่อใจและไม่แยแสความต้องการของเรา… พวกมันได้รับบทเรียนแล้วหรือ? อา… ผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่เป็นทายาทของตระกูลอับราฮัมโดยตรง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องดิ้นรนตระเวนหาวัตถุต้องสาปของวิญญาณอาฆาตโบราณด้วยตัวเอง… โบทิสพึมพำด้วยสีหน้าที่เริ่มเคร่งขรึม แต่ยังคงแฝงความตื่นเต้น
ตรวจสอบสภาพแวดล้อมสักพัก มันบรรจงสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ
โบทิสลากกล่องเครื่องประดับสามชั้นออกจากกระเป๋าที่ดูคล้ายเชื่อมต่อกับมิติอันกว้างใหญ่
กล่องใบดังกล่าวมีขนาดไม่เล็ก ยากจะถือด้วยมือข้างเดียว ผิวกล่องมีสีเงินทึบสลักลวดลายซับซ้อนและเลี่ยมด้วยอัญมณีราคาแพงอย่างทับทิม มรกต ไพลิน และเพชร ทำให้ดูหรูหราอลังการ
ขณะถือ ‘กล่องอัญมณี’ ไว้ในมือ โบทิสเผยสีหน้าหวาดกลัวเจือตื่นตระหนก ประหนึ่งกำลังย่างกรายเข้าไปใน ‘นรก’ หรือได้ยินเสียงเพรียกจากเทพมาร
…
ชุมนุมลับดำเนินไปตามปรกติ ฟอร์สเก็บ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ และหันมาจดจ่ออยู่กับบทสนทนาของผู้ร่วมงาน คล้ายกับกำลังมองหาคำตอบของบางสิ่ง
ระหว่างนั้นก็ประกาศความต้องการของตัวเองเป็นระยะโดยแลกเปลี่ยนกับทองปอนด์และวัตถุวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ตรงใจ
จนกระทั่งชุมนุมลับใกล้สิ้นสุดลง เจ้าของงานเริ่มจัดระเบียบให้ผู้ร่วมงานทยอยกลับด้วยทางออกที่แตกต่างกัน
เพียงไม่นานก็เหลือแค่ฟอร์สและผู้วิเศษอีกกลุ่มเล็กภายในห้อง
เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้จัดงาน ฟอร์สยืนขึ้นและพยายามข่มใจไม่ให้ยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เดินไปที่ประตูด้านข้าง
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวตระหนักว่าร่างกายของตนกำลังแข็งทื่อ หมุนคอได้ยากลำบาก คล้ายกับของเล่นที่ข้อต่อชำรุด
จากมุมสายตา หญิงสาวพบว่าผนังสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินทึบ ประหนึ่งประกอบจากโลหะเม็ดเล็กจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ผิวหนังของผู้ร่วมชุมนุมที่เหลือและเจ้าของงานพลันสูญเสียความเต่งตึงที่มนุษย์ควรมี ดวงตากลายเป็นเหม่อลอย ร่างกายขยับแข็งทื่อราวกับตุ๊กตาตัวใหญ่
ภายในมิติที่ถูกซ่อน นักบุญเร้นลับ โบทิสเปิดกล่องอัญมณีชั้นบนสุดค้างไว้ได้สักพักแล้ว ด้านในกล่องมิได้หรูหราเหมือนภายนอก แต่เป็นฉากของห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ภายในห้องเล็กๆ ดังกล่าว เก้าอี้และโต๊ะยาวถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ มีตุ๊กตาขนาดเท่าฝ่ามือสองสามตัวกำลังนั่งหรือยืน ราวกับพยายามจำลองสถานการณ์จริงของโลกภายนอก
จากบรรดาตุ๊กตา มีตัวหนึ่งสวมชุดคลุมศีรษะ เผยให้เห็นคางโค้งมนที่งดงามและริมฝีปากแดงฉ่ำ ไม่ใช่นอกจากฟอร์ส
ตัวเธอ ผู้ร่วมชุมนุม และเจ้าของงาน รวมถึงห้องทั้งห้อง ถูกเปลี่ยนให้เป็นของเล่นและจับยัดเข้าไปในชั้นบนสุดของกล่องอัญมณีอย่างเงียบเชียบ!
ขณะเดียวกัน ห้องด้านนอกเหลือเพียงผนังสีเทา ปราศจากสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง
นักบุญเร้นลับ โบทิสยกมุมปากเล็กน้อย มือขวาออกแรงกดปิดผากล่องอัญมณี
เพียงลมหายใจเดียว มันประสบความสำเร็จในการควบคุมเป้าหมายอย่างน่าทึ่ง!
กล่องอัญมณีสามชั้นสีเงินทึบใบนี้คือสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ที่มันขโมยมาจากตระกูลอับราฮัม
เนื่องจากไม่เคยตกอยู่ในมือของโบสถ์หลัก และข้อมูลก็แทบไม่เคยรั่วไหล จึงไม่มีเลขรหัสของสมบัติปิดผนึก
เท่าที่โบทิสทราบ กล่องอัญมณีใบนี้เกิดจากเทวทูตตระกูลอับราฮัมในยุคสมัยที่สี่ เทวทูตตนดังกล่าวชอบท่องไปในอวกาศท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกลับมาหาครอบครัวเพื่อพักผ่อน เทวทูตรายนี้เกิดร่วงหล่นอย่างเงียบงันภายในวังส่วนตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด คล้ายกับได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดในชีวิต
สัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์ ตัวตนที่เคยถูกขนานนามให้เป็น ‘เทพรับใช้’ ในยุคสมัยที่สองกลับเสียชีวิตลงอย่างน่าประหลาดโดยไม่มีมูลเหตุ
ตะกอนพลังที่หลงเหลือได้ผสานเข้ากับศพและกลายเป็น ‘กล่องอัญมณี’ ซึ่งมีลักษณะแปลกไปจากสมบัติปิดผนึกทั่วไป ในเวลาดังกล่าว มิสเตอร์ประตู เบเทล อับราฮัมไม่เพียงจะไม่ทำลายทิ้งเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นตะกอนพลัง แต่ยังมอบชื่อที่ค่อนข้างประหลาดให้มัน:
“กล่องวันวาน”
ชั้นบนสุดของกล่องวันวานมีพลังในการสับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่กำหนดกับภายในกล่อง โบทิสอาศัยพลังดังกล่าวเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย
ชั้นกลางของกล่องวันวานนั้นมีสถานที่ต่างๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ เมื่อทำการปลดปล่อย ผู้ถือและสิ่งมีชีวิตในรัศมีจะถูกย้ายไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที สามารถใช้ท่องอวกาศและสำรวจจักรวาลได้เหมือนกับที่เทวทูตของตระกูลอับราฮัมเคยทำ
สำหรับชั้นล่างสุดของกล่องวันวาน นักบุญเร้นลับ โบทิส รู้แต่ไม่กล้าคิด คล้ายกับที่มันไม่กล้าแตะต้องสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้บ่อยนัก
แกร่ก หลังจากปิดผากล่องวันวาน โบทิสเหยียดแขนไปดึงกระจกเงาที่ฝังอยู่ในวังวนโปร่งใสกลับมา
หากจอมเวทลึกลับต้องการออกจากมิติซ่อนเร้นของตน มันต้องผ่านประตูพิเศษหรือไม่ก็สลายมิติซ่อนเร้นทิ้งไป
โบทิสเลือกอย่างหลังเพราะสะดวกและรวดเร็วที่สุด
เมื่อเงาดำเลือนหาย มิติซ่อนเร้นสลายตัวและขนาดของห้องกลับเป็นปรกติอีกครั้ง
โบทิสไม่มัวแช่อยู่นาน รีบเปลี่ยนร่างกายให้โปร่งใส
มันถือกล่องวันวานสีเงินทึบเลี่ยมอัญมณีเดินทางผ่านโลกที่มีสีสันฉูดฉาดซ้อนทับ เพียงไม่นานก็เทเลพอร์ตมาถึงปลายทาง จากนั้นไม่กี่วินาที โบทิสเดินออกจากความว่างเปล่าและเตรียมเข้าไปในซากสมรภูมิเทพผ่าน ‘หุบเหวน้ำตก’ ที่กั้นแบ่งทะเล
ผ่านไปสักพัก โบทิสเริ่มชะลอความเร็ว
ดวงตาของมันหรี่ลงพร้อมกับเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ด้านในส่องประกายระยิบระยับ
ประหนึ่งกระจกตากำลังสะท้อนภาพอวกาศอันกว้างใหญ่
ละอองดาวจำนวนมากหมุนวนอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนให้ห้วงมิติบริเวณก้นหุบเหวเกิดพร่ามัว ทันใดนั้นเอง ทุกสิ่งที่โบทิสกำลังเห็นพลันถูกบีบอัดจนกลายเป็นเปลวไฟสีส้มสั่นไหว
เปลวไฟดังกล่าวขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ บนหัวไม้ขีด
ใช่แล้ว ทุกสิ่งที่นักบุญเร้นลับ โบทิส ได้เผชิญหลังจาก ‘สลายมิติซ่อนเร้น’ ล้วนเป็นภาพลวงตา ตัวจริงกำลังยืนนิ่งเท้าติดพื้น!
และภาพลวงตาทั้งหมดเกิดจากไม้ขีดไฟที่กำลังลุกไหม้
ไม้ขีดดังกล่าวถูกถือด้วยมือที่มีผิวพรรณละเอียด เจ้าของมือเป็นสตรีในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วงเธอกำลังนั่งบนรถม้าฟักทองคันใหญ่ที่ทะลุผ่านกำแพงห้องเข้ามาครึ่งหนึ่ง
สัตว์ที่กำลังลากจูงห้องโดยสารคือหนูสีเทากลุ่มหนึ่ง
ไม่ใช่ใครนอกจากพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากปรกติ
นี่คือผลลัพธ์จากพลัง ‘ซินเดอเรลล่า’ !
พลังสำคัญของ ‘ปราชญ์พิศวง’ ลำดับสี่ แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับก็คือ ‘สำแดงความรู้’ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำวลี ‘ความรู้คือพลัง’ ได้อย่างเห็นภาพชัดเจน
กล่าวคือ จอมเวทพิศวงสามารถนำความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับของตนมาสร้างเป็นเวทมนตร์หรือคาถา ยิ่งเป็นความรู้ที่ไม่ค่อยมีคนทราบ เวทมนตร์ก็จะยิ่งทรงพลัง
ในทางกลับกัน หากนำความรู้หรือตำนานที่ทุกคนทราบอย่างแพร่หลายมาใช้งาน เวทมนตร์หรือคาถาก็แทบจะไร้ประสิทธิภาพ
แม้แคทลียาจะไม่เข้าใจว่าทำไมนิทานปรัมปราที่จักรพรรดิโรซายล์เล่าให้แบร์นาแดตฟังถึงมีพลังมหาศาลนัก แต่เธอก็ไม่รังเกียจที่จะเลียนแบบและนำบางส่วนมาใช้งาน
การจำแลงกายชั่วคราวเกิดจากเวทมนตร์ ‘ซินเดอเรลล่า’ ส่วนพลังที่สร้างภาพลวงตาหลอกโบทิสจนอีกฝ่ายไม่สามารถเทเลพอร์ตคือเวทมนตร์ ‘หนูน้อยไม้ขีดไฟ’
ขณะโบทิสสลัดหลุดจากภาพลวงตา ซินเดอเรลล่าผู้นั่งบนรถม้าฟักทองบรรจงก้าวลงจากห้องโดยสาร จากนั้นก็กางแขนออกเพื่อเสกไม้กางเขนยักษ์ขึ้นด้านหลังตน
แคทลียาทำท่าทางคล้ายกับกำลังแบกวัตถุมายาดังกล่าวไว้บนหลัง
ภายในห้องว่าง เทียนไขเล็มเล็กจำนวนมากพลันสว่างไสว เผยให้เห็นโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ
รอบโต๊ะมีร่างที่พร่ามัวจำนวนสามร่างกำลังถือก้อนเนื้อและกัดกินไม่หยุดพัก
คล้ายกับร่างทั้งสามสัมผัสถึงการจ้องมอง พวกมันบรรจงหันหน้ามาทางโบทิสโดยพร้อมเพรียง ฉากดังกล่าวทำให้หัวใจนักบุญเร้นลับเต้นระรัวอย่างไร้เหตุผล ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนาวเย็นไปถึงส่วนลึกของดวงวิญญาณ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกัด เคี้ยว และกลืนอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาฆาตและหิวโหยโดยไม่เก็บซ่อน
เปลือกตาโบทิสกระตุกแผ่วเบา มันรีบก้มหน้าจ้องกล่องวันวานในมือ
กล่องลึกลับสีเงินทึบอยู่ในสภาพเปิดอ้ามาสักพักโดยที่มันไม่ทันรู้ตัว!
เวทมนตร์ที่แคทลียาเพิ่งใช้มีชื่อว่า ‘งานเลี้ยงแห่งการทรยศ’ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาลที่ได้ฟังจากชุมนุมทาโรต์ ผลลัพธ์คือการทำให้เป้าหมายลงมือ ‘ทรยศ’!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังชนิดนี้คือไพ่ตายอันยอดเยี่ยมสำหรับกระตุ้นให้สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ทำการทรยศผู้ถือ
แต่หากไม่ใช่เพราะมีพรจากเดอะฟูลคอยคุ้มครองทุกครั้งที่เธอเฝ้าจับตามองการชุมนุม แคทลียาคงไม่กล้าใช้เวทมนตร์ชนิดนี้
ในวินาทีที่ ‘ตัวเอก’ ทั้งสามของงานเลี้ยงแห่งการทรยศตระหนักถึง ชะตากรรมเดียวของเธอคือการตายเยี่ยงสุนัขข้างถนนอย่างมิอาจขัดขืน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปราชญ์พิศวงคือตัวตนที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยง พลังส่วนใหญ่มาจากการเสี่ยงเดินบนขอบเหว เสี่ยงแอบฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง และเสี่ยงแอบมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง
หรือกล่าวได้ว่า ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตผู้สามารถสร้างเวทมนตร์จากนิยายปรัมปราที่บิดาเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว คือปราชญ์พิศวงที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมาชนิดที่ไม่มีใครในรุ่นเดียวกันเทียบได้
…………………