ราชันเร้นลับ 1196 : ลูกเป็ดขี้เหร่

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ด้านในชั้นบนสุดของกล่องวันวานที่ถูกเปิดค้างไว้มีโต๊ะยาว เก้าอี้ ฟอร์ส และตุ๊กตาอีกจำนวนหนึ่ง บ้างแน่นิ่ง บ้างเคลื่อนไหวซ้ำๆ ตามกลไก

ได้เห็นฉากตรงหน้า เส้นขนทั่วร่างโบทิสพลันลุกตั้งชั้น มันรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่าตนกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่ง

ขณะเตรียมใช้พลังกับสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ในมือตัวเอง โบทิสเหลือบเห็นสตรีในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วงข้างรถม้าฟักทอง ทำการเลื่อนมือขวาขึ้นมาป้องปากในท่ากำหลวม

แตรเขาสัตว์โบราณสีเข้มพลันควบแน่นในฝ่ามือหญิงสาว บรรยากาศรอบตัวหนักแน่นและทรงพลังขึ้นมาทันที

‘แตรเวทมนตร์’ แตรแห่งการทำลายล้าง!

รูม่านตาโบทิสเบิกกว้างทันที มันไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับกล่องวันวานอีกต่อไป รีบจับคว้าด้านหน้าด้วยมือขวา จากนั้นก็ยกสิ่งที่คล้ายกับฉากกั้นล่องหนขึ้น

ห้วงมิติที่มันยืนถูกบิดเบือนอีกครั้ง ร่างโบทิสหายไปและเข้าสู่ภาวะซ่อนเร้น

วู—!

แตรเขาสัตว์ในมือแคทลียาส่งเสียงแผ่วเบา เกิดเสียงสะท้อนภายในห้องโดยไม่เล็ดลอดออกไปด้านนอก

ท่ามกลางคลื่นเสียงที่ดังซ้อนทับ เงาดำแตกกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย พื้นห้องแตกร้าวเป็นทางยาว ห้วงมิติซ่อนเร้นของโบทิสมีสภาพคล้ายกับถูกค้อนยักษ์กระแทกใส่ พื้นผิวเต็มไปด้วยรอยแตกที่ถักสานเข้าด้วยกัน

อีกด้านหนึ่ง อัศวินร่างใหญ่ในชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีดำพุ่งตัวออกจากเงามืด ในมือถือดาบยักษ์ที่ยาวและกว้าง เบ้าตาส่องแสงสีแดงเข้ม

นักบุญมือ คิสม่า

วู—!

แคทลียาเป่าแตรอีกครั้ง ทุกสิ่งภายในห้องถูกแช่แข็งทันทีและมีบางสิ่งคล้ายอำพันสีเหลืองปกคลุม

‘อำพัน’ แตกละเอียดอย่างเงียบงัน เช่นเดียวกันกับอัศวินเกราะดำ มันล้มลงพื้นจนร่างกายแตกกระจายกลายเป็นเศษแก้ว

มิติซ่อนเร้นที่บิดเบี้ยวเริ่มกลับสู่ความจริง

แต่นักบุญเร้นลับ โบทิส ฉวยโอกาสระหว่างรอยต่อการเป่าแตรทั้งสองครั้ง เสกบานประตูยามายาจำนวนมากขึ้นรอบตัว

บ้างเป็นประตูคู่ที่เปิดอ้าอย่างต้อนรับ บ้างปิดสนิทและลุ่มลึก บ้างปกคลุมไปด้วยลวดลายซับซ้อน และบ้างถูกเจาะตรงกลาง เผยให้เห็นความมืดมิดไร้ขอบเขตด้านใน

บานประตูมายาเหล่านี้มีจำนวนมหาศาล เรียงรายเบียดเสียดซ้อนทับ แทบจะห่อหุ้มนักบุญเร้นลับ โบทิสไว้ด้านใน

โบทิสไม่มัวคิดมาก และไม่มีเวลาให้คิดนานกว่านี้ มันรีบเปิดประตูมายาบานสีเทาอมฟ้าซึ่งมีรูกุญแจทองเหลืองเจ็ดรู จากนั้นก็รีบโยนกล่องวันวานที่กำลังจะเปิดชั้นกลางด้วยตัวเองเข้าไปด้านใน

นี่คือพลัง ‘เนรเทศ’ ของจอมเวทลึกลับ สามารถโยนสิ่งที่กำลังควบคุมเข้าไปในห้วงมิติปลายทางอันปั่นป่วน ประตูมายาแต่ละบานหมายถึงปลายทางที่แตกต่างกันไป มีทั้งอันตรายและโอกาสรอดผสมปนเป

การเนรเทศด้วยพลังดังกล่าวจะไม่ส่งผลถาวร ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของโบทิส มันสามารถตัดขาดกล่องวันวานจากโลกแห่งความจริงได้เพียงยี่สิบวินาที และเมื่อครบกำหนด สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ก็จะถูกส่งกลับมายังข้างกายโบทิสผ่านประตูมายาบานเดิม

แต่เมื่อถึงเวลานั้น ‘การทรยศ’ ที่เกิดจากอิทธิพลของพลังศัตรูก็คงเลือนหายไปแล้ว

ในฐานะครึ่งเทพเส้นทางผู้ฝึกหัด โบทิสเคยเดินทางไปยังหลากหลายสถานที่ เคยพบเห็นหลายสิ่ง และเคยบันทึกพลังพิเศษหลายชนิด การตัดสินใจของมันจึงเกิดขึ้นอย่างฉับไวและแม่นยำ

ขณะเดียวกัน เศษอัศวินดำที่แตกกระจัดกระจายเต็มพื้นเริ่มดีดดิ้นและเรียงตัวใหม่ พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อแผ่นบางปกคลุมไปทั่วทุกซอกมุมห้อง

ในฐานะลัทธินอกรีตที่ต้องคอยซ่อนตัวในเงามืดของโลกความจริง ชุมนุมแสงเหนือเต็มไปด้วยคนบ้า แต่กระนั้น สันดานพื้นฐานของพวกมันกลับค่อนข้างระมัดระวังตัว หากยังไม่บรรลุเป้าหมายใหญ่ พวกมันจะไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งจนไปดึงดูดสายตาหน่วยพิเศษของทางการ

แต่แน่นอน หากกำลังเผชิญวิกฤติเลวร้ายถึงขีดสุด พวกมันก็ไม่ลังเลเลยที่จะเปิดเผยตัวตนอันน่าสะพรึง

นอกจากนั้น นักบุญมืด คิสม่ายังหวังจะสกัดกั้นการมาถึงของกำลังเสริมศัตรู เป็นการแบ่งสนามรบออกเป็นหลายส่วน

เมื่อชั้นของเลือดเนื้อทยอยงอกเงยขึ้นจากพื้นห้อง ผนัง และเพดาน เงาดำที่บิดเบี้ยวและสั่นไหวร่างหนึ่งโผล่ขึ้นจากมุมห้อง

นี่คือหนึ่งในดวงวิญญาณที่นักบุญมืด คิสม่า ต้อนแกะ

แวมไพร์ทรงพลังจากดินแดนเทพทอดทิ้ง ตะกอนพลังของมันสอดคล้องกับ ‘ราชาหมอผี’ ลำดับสี่ แห่งเส้นทางจันทรา

หากคนเลี้ยงแกะทำการ ‘ต้อนแกะ’ ครึ่งเทพเข้าไป พวกมันสามารถปล่อยครึ่งเทพซึ่งมีร่างวิญญาณแข็งแกร่งออกมา ‘กินหญ้า’ ภายนอกได้อย่างอิสระ เพียงแต่จะไม่สามารถปล่อยได้มากกว่าครั้งละหนึ่งดวง เว้นเสียแต่คนเลี้ยงแกะจะพัฒนาไปเป็นลำดับ 3 ‘นักบุญสามหน้า’

ฉวยโอกาสที่แตรเขาสัตว์ของครึ่งเทพสตรีข้างรถม้าฟักทองกำลังเลือนหาย เงาดำที่เป็นราชาหมอผีใช้แขนกระชากดวงตาสีแดงของตัวเองออกมาจากเบ้าหนึ่งข้าง

ดวงตาดังกล่าวส่องประกายสีแดงเข้มข้น มอบความสว่างไปทั่วห้องในคราวเดียว ประหนึ่งพระจันทร์แดงกำลังเสด็จเยือนที่นี่

กระจกตาของมันกำลังสะท้อนภาพสตรีในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง

ทันทีหลังจากนั้น เงาดำที่เป็นราชาหมอผีขยับแขนข้างที่ถือดวงตาและทำการฉาบ ‘ดวงจันทร์’ ด้วยความมืดมิด

ความมืดอันเข้มข้นปรากฏขึ้นรอบตัวแคทลียา ส่งผลให้เธอมิอาจขยับเขยื้อนร่างกายจนดูคล้ายกับถูกแช่แข็ง

ได้เห็นฉากตรงหน้า นักบุญเร้นลับ โบทิสขยับขาหนึ่งก้าวเพื่อไปโผล่ด้านหลังศัตรู

โบทิส ‘บลิงค์’ อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนกระทั่งรอบตัวแคทลียามีโบทิสถึงแปดร่าง!

นี่ไม่ใช่การสร้างร่างแยก แต่เป็นการ ‘บลิงค์’ ด้วยความเร็วสูงจนเกิดภาพตกค้างในตำแหน่งเดิม และภาพจะยังค้างไปอีกสักระยะ

โบทิสทั้งแปดร่างบ้างปล่อยพายุสายฟ้า บ้างควบแน่นหอกเพลิงสีขาวโชติช่วง บ้างห่อหุ้มร่างกายด้วยชุดเกราะสีดำและถือดาบใหญ่ที่ดูราวกับจะตัดขาดได้ทุกสิ่ง

ร่างที่แตกต่างกันและมีพลังไม่เหมือนกัน ต่างลงมือโจมตีหรือสะกดเหยื่อโดยพร้อมเพรียง และเป้าหมายคือแคทลียาเพียงคนเดียว

ทุกการกระทำของมันแทบจะไร้รอยต่อ จนกระทั่งร่างของโบทิส ‘บลิงค์’ ไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องและกลายเป็นสีโปร่งใส ราวกับกำลังจะเลือนหายไป

โบทิสไม่มีความคิดที่จะสังหารศัตรู เพราะที่นี่คือเบ็คลันด์ หากความวุ่นวายจากการต่อสู้รุนแรงเกินกว่าจะควบคุมและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง มันอาจต้องเผชิญหน้ากับเทวทูตของหน่วยพิเศษทางการ

การที่มันลงมือตอบโต้หนึ่งยกก่อนจะเทเลพอร์ตหนี เป็นเพราะต้องการสะกดศัตรูให้อยู่ในสถานะตั้งรับจนไม่สามารถขัดขวางการหลบหนีของตนและนักบุญมืด นี่เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

แต่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ภายในห้องหนึ่งด้านบนหอพักทรุดโทรม จัดจ์เมนต์ ซิลสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่ปรกติผ่าน ‘เสียงของจิตใจ’ ซึ่งเป็นพลังของมิสจัสติส

แม้จะกังวลอยู่หลายส่วน แต่เธอมิได้สูญเสียความเยือกเย็น ซิลลงมือตามแผนที่วางไว้โดยการกระโดดลงจากหน้าต่าง ม้วนตัวกลางอากาศและเปล่งเสียงพร้อมกับเล็งมือไปยังตำแหน่งเป้าหมาย:

“ที่นี่ห้ามเทเลพอร์ต!”

หลังจากลงมือเสร็จ หญิงสาวรีบออกห่างจากหอพักทรุดโทรมทันทีเพื่อไม่ให้ครึ่งเทพพวกพ้องเป็นห่วงเธอ

ด้วยการแทรกแซงดังกล่าว นักบุญเร้นลับ โบทิส เข้าสู่โลกวิญญาณล้มเหลว เส้นทางของมันถูกขวางไว้ด้วยประตูขึ้นสนิมหนึ่งบาน

สำหรับโบทิส ประตูลวงตาระดับนี้ไม่เพียงพอที่จะหยุดมัน แค่ใช้พลัง ‘เปิดประตู’ ของผู้ฝึกหัดและผ่านเข้าไปได้โดยตรง

แต่ทันใดนั้นมันสัมผัสได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปรกติเกิดขึ้นกับครึ่งเทพสตรีนิรนามผู้สวมชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง!

กลุ่มแสงสีเงินสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาแคทลียา พวกมันบรรจงเรียงร้อยจนกลายเป็นงูยักษ์ลึกลับ

นี่คือ ‘โชคชั่วคราว’ ซึ่งเกิดจากความรู้ที่ได้รับจากการวิเคราะห์เลือด ‘อสรพิษแห่งชะตา’ หนึ่งหยด

ไม่ว่าจะเป็นพายุสายฟ้าอันน่าสะพรึง หอกเพลิงโชติช่วง หรือการฟันของอัศวินเกราะดำ ทั้งหมดล้วนล้มเหลวโดยบังเอิญ ประหนึ่งแคทลียากำลังยืนใจกลางตาพายุ ไม่ว่าลมพายุจะกรรโชกสักเพียงใดก็ไม่มีทางโดนตัวเธอ

การโจมตีและการสะกดทุกชนิดที่พุ่งตรงเข้าหาเธอล้วน ‘ขัดขวางกันเอง’ จนมิอาจบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ แถมยังช่วยให้เธอเป็นอิสระจากพันธนาการของ ‘ตรวนความมืด’ ได้ง่ายขึ้น

เพียงพริบตา แคทลียาโน้มตัวเล็กน้อยพร้อมกับเสกให้ ‘ขน’ มายาสีขาวงอกเงยบนแผ่นหลัง พวกมันไม่ใช่ปีกเทวทูต แต่เป็นปีกของ ‘หงส์’

‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ กลายเป็นหงส์แสนสง่างาม

สำหรับคำถามที่ว่า ‘หงส์’ เกี่ยวข้องกับผู้วิเศษลำดับสี่ เส้นทางผู้ส่องความลับอย่างไร คำตอบนั้นไม่ซับซ้อน:

ร่างสัตว์ในตำนาน!

ลูกเป็ดขี้เหร่ที่โตไปเป็นหงส์!

นี่คือเวทมนตร์ทรงพลังซึ่งช่วยให้ปราชญ์พิศวงสามารถเผยร่างสัตว์ในตำนานได้อย่างปลอดภัยวันละหนึ่งครั้ง ครั้งละสิบวินาที

ผิวกายแคทลียาทยอยปริแตกทีละจุด โดยในจุดที่ปริแตก เลือดเนื้อด้านในรวมตัวกันกลายเป็นลูกตาสีดำและขาว

ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนกวาดมองไปยังทุกทิศโดยรอบอย่างเย็นชา คล้ายกับพวกมันกำลังแผ่มวลความรู้มหาศาลให้แทรกซึมไปในอากาศ ทุกสิ่งที่ถูกกระแสความรู้เหล่านี้ชอนไชจะแปรเปลี่ยนเป็นความมืดสีดำที่พร่ามัว ดูคล้ายภาพวาดนามธรรมซึ่งขาดความสมจริง

เมื่อได้เห็นกลุ่มก้อนดวงตาสีดำเข้ม นักบุญเร้นลับ โบทิส และนักบุญมืด คิสม่าพลันวิงเวียนศีรษะเนื่องจากถูกพายุแห่งความรู้บุกรุกจิตใจ

ชั้นเลือดเนื้อที่กำลังปกคลุมทุกซอกมุมห้องพลันสั่นสะเทือนแผ่วเบา บ้างร่วงหล่นและบ้างยุบพองอย่างน่าขยะแขยง

ทันใดนั้น กระแสออร่าหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านกำแพงเลือดเนื้อและพรั่งพรูเข้ามาในห้องชั้นหนึ่งของหอพักทรุดโทรม

นักบุญเร้นลับ โบทิส และนักบุญมืด คิสม่า ต่างพากันตกตะลึงเนื่องจากร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของพวกมันอยู่ในสถานะที่มิอาจควบคุม

นี่คือ ‘มังกรข่มขวัญ’ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพจนมีชื่อใหม่ว่า ‘ช่วงชิงจิตใจ’ !

ฉวยโอกาสดังกลาว ร่างที่เต็มไปด้วยดวงตาและรอยปริแตกแปรเปลี่ยนเป็นก้อนพลังงานสีดำ จากนั้นก็ควบแน่นกลายเป็นหอกยาวหนึ่งเล่ม

เป็นหอกทรงโบราณ ตั้งแต่ด้ามจนถึงส่วนปลายมีรอยเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนเป็นทางยาว

คมหอกแผ่บรรยากาศทำลายล้างและความกระหายเลือดที่ทรงพลัง ประหนึ่งเคยทำให้สิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่บางตนต้องเจ็บปวด

ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ หอกที่น่าสะพรึงพุ่งตรงไปยังนักบุญเร้นลับ โบทิสซึ่งกำลังยืนนิ่ง

สุ้มเสียงทั้งหมด รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยส่วนใหญ่ภายในห้องพลันอันตรธานหาย แม้แต่พลัง ‘มังกรข่มขวัญ’ ก็สลายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก มีเพียงปลายหอกเปื้อนเลือดที่กำลังลดระยะห่างจากร่างของโบทิสเข้าไปทุกที

หอกลองกินุส!

…………………………