ตอนที่มู่ฮูหยินกล่าว ท่าทางสุขุมเรียบเฉยทำให้ดูมั่นใจและแข็งแกร่งหาใดเปรียบ
นางคือองค์หญิงแห่งดินแดนต้าซี จักรพรรดินีแห่งเผ่าปีศาจ และนางยังเป็นนักปราชญ์มานานหลายปี
เทียนไห่ตายบนยอดเขาสุสานเทียนซู อิ๋นกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ติดตามซูหลีไปยังดินแดนเซิ่งกวงที่ห่างไกล ในห้านักปราชญ์เหลือแค่นางกับจักรพรรดิขาวเท่านั้น
นางกับจักรพรรดิขาวเป็นสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าจักรพรรดิขาวจะกักตนบำเพ็ญเพียร และนางต้องสู้กับเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ตามลำพัง แต่นางก็ไม่แน่ว่าจะแพ้
นี่ยังไม่นับว่าที่แห่งนี้อยู่ริมแม่น้ำแดง มียอดฝีมือเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในเมืองไป๋ตี้ แค่นางออกคำสั่งก็จะพุ่งออกมาราวกับเกลียวคลื่น
“จักรพรรดินีเข้าใจผิดแล้ว”
เปี๋ยยั่งหงกล่าว “เราไม่เคยคิดเกินเลยว่าจะฆ่าท่านได้ เราแค่หวังว่าจะเอาตัวมู่จิ่วซือไปสอบถามเท่านั้น”
ใบหน้าเล็กของมู่จิ่วซือซีดขาวลงเมื่อได้ยิน ไม่กล้าตอบ
มู่ฮูหยินยิ้ม “พวกเจ้าสองคนคิดจะเอาตัวน้องสาวข้าไป และถามว่าคำพูดสุดท้ายของคุณชายเปี๋ยคืออะไร แล้วจะทำอะไรต่อไป”
อู๋ฉยงปี้ไม่อาจสะกดความรู้สึกอีกต่อไปตอนที่ตะโกน “หากนางไม่สามารถอธิบาย นางเฒ่าคนนี้จะฉีกนางเป็นชิ้นๆ!”
รอยยิ้มมู่ฮูหยินจางไปเมื่อนางมองไปที่เปี๋ยยั่งหง “เจ้าคิดว่าข้าจะเห็นด้วยหรือ”
เปี๋ยยั่งหงตอบ “ท่านควรเข้าใจดีว่าข้ามีความสามารถที่จะรั้งท่านไว้ระยะเวลาหนึ่ง แค่นั้นก็พอให้ภรรยาข้าทำสิ่งที่นางต้องการทำให้สำเร็จได้แล้ว”
มู่ฮูหยินมองเขาอย่างใจเย็นอยู่นานจากนั้นก็พลันหัวเราะขึ้น
ภูเขาและเมฆสะท้อนเสียงหัวเราะที่ไร้ความปีติแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่แยแส
“ข้าคิดว่าท่านเปี๋ยเข้าใจผิดแล้ว”
เสียงหัวเราะของมู่ฮูหยินจางลงยามที่นางกล่าว “ข้าไม่เคยคิดที่จะปกป้องเสี่ยวซือ”
สายตาของเปี๋ยยั่งหงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “จักรพรรดินีหมายความว่าอย่างไร”
“ทุกคนพูดว่าข้าถูกพระปิตุลาขับออกจากดินแดนต้าซี เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่คนมากมายอย่างเช่นเทียนไห่กับอิ๋นคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับข้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นความต้องการของข้าเองที่จะจากมาและทักษะทั้งหมดของข้าเป็นพระปิตุลาสอนให้ สำหรับข้าพระปิตุลาเป็นทั้งบิดาและอาจารย์ เป็นคนที่ข้าเคารพที่สุด”
มู่ฮูหยินกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าฆ่าเขา ดังนั้นข้าย่อมต้องล้างแค้นและฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด ไม่คิดที่จะทำอะไรอีกแล้ว”
เปี๋ยยั่งหงเงียบไป
ด้วยความแข็งแกร่งของเขากับอู๋ฉยงปี้แม้ว่าจะยากที่สังหารมู่ฮูหยินหรือจะกักขังเอาไว้แต่อีกฝ่ายก็ไม่อาจเช่นกัน
เว้นเสียแต่ว่านางมีผู้ช่วย
แต่ใครจะช่วยนางได้
คนชุดน้ำเงินตายไปแล้ว แผนร้ายของดินแดนต้าซีถูกเปิดโปงแล้ว
เขากับอู๋ฉยงปี้ต่างก็เป็นมรสุมของเผ่ามนุษย์และมาเพื่อล้างแค้นให้ลูกชาย แม้แต่ซางสิงโจวก็ไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งในเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาอย่างรวดเร็วจนมั่นใจว่าเมืองไป๋ตี้ไม่มีเวลาพอที่จะวางกับดักได้
ลมทะเลพัดมาจากที่ห่างไกลอย่างไม่รู้จบ ทำให้เมฆบนท้องฟ้าและระหว่างภูเขาบิดเบี้ยวแต่ไม่สลายไป
รูที่เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ทะลวงผ่านเมฆค่อยๆ หดลง และแสงตะวันก็หายไปทำให้หน้าผามืดมัวลง
ต้นไม้ตั้งอยู่บนหน้าผา เล็กมากเมื่อเทียบกับต้นไม้ใหญ่ที่มังกรดำน้อยถูกขังเอาไว้
ต้นไม้มีเงา
ในแสงสลัวเลือนราง ต้นไม้นี้ควรมีเงาที่จางมาก ทว่ามันก็กลับมืดขึ้นกว่าเดิม
ดอกไม้แดงที่ลอยอยู่ข้างนิ้วก้อยของเขาสัมผัสบางอย่างได้ มันส่งเสียงโหยหวนผ่านอากาศเล็งไปที่ต้นไม้อย่างระแวดระวัง
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่มู่ฮูหยินและกล่าว “ความทะเยอทะยานและกล้าหาญของจักรพรรดินีช่างน่ากลัวจริงๆ”
“พระปิตุลายืนกรานจะสังหารเฉินฉางเซิงเพื่อสร้างความแตกแยกภายในราชวงศ์ต้าโจว แต่ข้ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายและมีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลว”
มู่ฮูหยินสรุปอย่างใจเย็น “เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าย่อมต้องมีแผนสำรองเอาไว้”
เปี๋ยยั่งหงถอนหายใจ
เขาได้เตรียมลูกไม้เอาไว้นับไม่ถ้วนใช้เจตจำนงสวรรค์เป็นเวลานานเพื่อทำการคาดการณ์ แต่ต้องประหลาดใจที่ก็ยังไม่อาจเหนือไปกว่ามู่ฮูหยิน
เขากล่าวกับอู๋ฉยงปี้ “ในอีกสักครู่ หากข้าเปิดทางได้ ให้เจ้ารีบไป แล้วข้าจะตามไป”
ใจของอู๋ฉยงปี้หนาวเย็นขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เกิดอะไรขึ้น
ไม่ว่ามู่ฮูหยินจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาร่วมมือกันก็ยังพอที่จะสู้ได้สักยกหนึ่ง ทำไมเขาถึงได้มองแง่ร้ายนัก พูดถึงความพ่ายแพ้ก่อนที่จะเริ่มสู้ด้วยซ้ำ
หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมพวกเขาต้องเดินทางไกลขนาดนี้มาถึงเมืองไป๋ตี้ด้วย
อู๋ฉยงปี้เป็นคนหยาบคายใจร้อนแต่นางก็ยังเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ แค่คิดนิดเดียวก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ต้นไม้ริมหน้าผาเช่นกัน
เงาที่เกิดจากต้นไม้มืดดำขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นสีหมึก หรือบางทีอาจเป็นม่านสีดำ
สายลมจากทะเลตะวันตกพัดใบไม้สั่นไหว เปลี่ยนเงาบนพื้นให้ดูเหมือนกับกำลังพัดแขนเสื้ออยู่
มันเป็นแขนเสื้อจริงๆ
ชุดคลุมนั้นสีดำ
กำลังสั่นพลิ้วในสายลม
คนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ ทั้งร่างถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำ
อู๋ฉยงปี้หน้าซีดไป
เปี๋ยยั่งหงหน้าเคร่งเครียดไป สีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุดที่ทั้งสองเคยพบเจอมาในชีวิต
พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูน่ากลัวที่สุดนับตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
ภูเขาเงียบงันอย่างมาก ไม่มีแม้แต่เสียงลม
ชุดคลุมดำพลิ้วไปตามสายลมให้ความรู้สึกชั่วร้ายผิดปกติ
เมื่อเห็นกุนซือเผ่ามารในตำนาน มู่จิ่วซือก็รู้สึกหวาดกลัวอย่ามากและซ่อนตัวห่างไป
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่มู่ฮูหยินและกล่าว “เจ้ากล้าร่วมมือกับเผ่ามารเลยหรือ จักรพรรดิขาวรู้หรือไม่ ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจรู้หรือไม่”
มู่ฮูหยินตอบอย่างใจเย็น “เจ้าเป็นคนแรกที่เห็น”
เปี๋ยยั่งหงกล่าว “เจ้าเคยคิดว่าหากมีคนพบเรื่องนี้ เจ้าไม่อาจเป็นจักรพรรดินีได้อีกต่อไป”
มู่ฮูหยินตอบ “ไม่ต้องให้เจ้ามาห่วงเรื่องของเมืองไป๋ตี้หรอก”
เปี๋ยยั่งหงกล่าว “เจ้าบอกว่าเจ้ามั่นใจว่าจะไม่มีคนอื่นได้รู้เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
ยากที่เขากับอู๋ฉยงปี้จะฆ่าหรือล้มมู่ฮูหยินได้ ทว่าในเวลาเดียวกันก็ยากที่มู่ฮูหยินจะฆ่าพวกเขาสองคนเช่นกัน
แม้ว่ามู่ฮูหยินจะเป็นนักปราชญ์ แม้ว่านางจะเชิญกุนซือเผ่ามารที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุดมาช่วยนางในวันนี้
การฆ่ายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่าย
บนที่ราบสูงของสถานศึกษาหนานซี คนชุดน้ำเงินตายก็พราะสถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเกินไป เขาเปลี่ยนจากคนวางกับดักเป็นติดกับดัก ส่งผลให้เขาถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว
แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น เปี๋ยยั่งหงและหวังผ้อก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยในการฆ่าเขา
มู่ฮูหยินทรงพลังจริงๆ และชุดดำก็น่ากลัวแต่เปี๋ยยั่งหงก็ได้หยั่งรู้จากประสบการณ์ระหว่างการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าขึ้น
เขามั่นใจว่าเขาสามารถต้านทานพวกเขาได้ระยะเวลาหนึ่ง
เขาแค่ต้องใช้เวลาสักครู่หรือช่องว่างเล็กๆ เพื่อส่งคำเตือนออกไปภายนอก
เผ่าปีศาจทำงานร่วมกับเผ่ามาร ข่าวนี้ย่อมทำให้ทั่วโลกตกตะลึง
ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างราชสำนักต้าโจวกับนิกายหลวงจะตึงเครียดเพียงใด ดุเดือดแค่ไหน พวกเขาก็ยังไม่จุดยืนร่วมกันในเรื่องนี้ คัดค้านอย่างหนักแน่น
ยอดฝีมือทั้งหมดจะเร่งรุดมา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำตระกูลใหญ่ เจ้าสำนักกระบี่หลีซานหรือหวังผ้อ
แม้แต่ปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจวก็อาจลงมือด้วยตัวเอง