มู่ฮูหยินรู้ดีว่าเปี๋ยยั่งหงคิดอะไรและกล่าว “พวกเจ้าไม่มีใครมีโอกาสทำเช่นนั้นหรอก”
เปี๋ยยั่งหงไม่พูดอะไรอีก เขาสะบัดแขนขวา แขนเสื้อบินผ่านอากาศ
คลื่นพลังปราณมากมายราวกับพุ่งเข้าหามู่ฮูหยินราวสายฟ้า
ยากที่จะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา ลูกศรเล็กๆ ทำจากหยกเขียวพุ่งออกไปในทางตรงกันข้าม บินไปทางแม่น้ำแดงอย่างเงียบเชียบ
หากลูกศรหยกสามารถทะลวงผ่านเมฆและหนีไปตามสายลม มันก็จะจบลงห่างไปแปดหมื่นลี้ บอกข่าวต่อยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ในจิงตูและแดนใต้
ส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาติดอยู่กับลูกศรนี้ คำพูดไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาบรรจุข้อมูลเอาไว้แล้ว
แต่ตอนที่ศรหยกสัมผัสกับแสงที่ลอดผ่านเมฆมา ท้องฟ้าก็พลันหม่นมัวลงราวกับราตรีมาเยือนเร็วกว่าที่ควร
ชุดดำโบกมือ เปลี่ยนไปเป็นความมืดมิดที่กันศรหยกในขณะที่บดบังพื้นที่จากดวงตาสวรรค์
อู๋ฉยงปี้กรีดร้อง แส้หางม้าของนางเปลี่ยนเป็นความปั่นป่วนนับไม่ถ้วนในอากาศ ล้อมร่างของนางไว้ในปราณแห่งการดับสูญและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นทะเลบัวขนาดใหญ่
ลึกเข้าไปในทะเลบัว มีดอกไม้เบ่งบาน ส่ายไหวในสายลม ลอยอยู่บนผิวน้ำ มันลอยไปช้าๆ อย่างไรก็ตาม อันที่จริงแล้วมันกำลังเคลื่อนตัวไปในแนวขวาง
มู่ฮูหยินโบกแขนเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย สั่งสายลมบนท้องฟ้าสูง
ลมนี้มาจากทะเลตะวันตก ความชุ่มชื้นมีความเย็นแทรกซึม มันหั่นทะเลเมฆเป็นเศษเสี้ยวราวกับดาบคม
เมฆขาวนำไม่ถ้วนตกลงมาเหมือนกับฝูงแกะ ร่วงลงสู่ป่าดิบชื้น ปราณในบรรยากาศแข็งไปในทันทีราวกับว่ามันกลายเป็นของเหนียวหนืด
อู๋ฉยงปี้คำรามเมื่อนางรู้สึกว่าดอกบัวจากปราณแท้ของนางเชื่องช้าลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะไม่ถูกทำลาย ก็ไม่อาจจากไปได้
เปี๋ยยั่งหงยังคงสุขุม ไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด
ศรหยกไม่ใช่การลงมือที่แท้จริงของเปี๋ยยั่งหง ยิ่งไม่ใช่อันที่แข็งแกร่งที่สุด
เขาใช้ศรหยกเพื่อล่อความสนใจของชุดดำและอู๋ฉยงปี้ก็ใช้ทะเลบัวเพื่อดึงความสนใจของมู่ฮูหยิน มอบเวลาให้เขาได้ลงมือ
มือของผู้บำเพ็ญเพียรมักใช้ถือกระบี่หรือกำวัชระ หรือแบออกเป็นฝ่ามือ ทว่าท่าที่เรียบง่ายที่สุดก็คือกำเป็นหมัด
หมัดของเปี๋ยยั่งหงพุ่งเข้าใส่ชุดดำที่ใต้ต้นไม้ราวกับสายฟ้า
หลังจากเขาได้ประสบกับหมัดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ระหว่างการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเปี๋ยยั่งหงก็คือหมัด
เขากับชุดดำยังอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง แต่เส้นทางมืดมัวพลันก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา
ต้นไม้ไร้ชื่อบนหน้าผาสั่นสะท้านเมื่อหมัดที่ก่อตัวจากประกายดาวเดินทางผ่านเส้นทางนั้นมาด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ ด้วยความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนจะสามารถผ่าภูเขาตัดทะเล มันพุ่งเข้าใส่หน้าของชุดดำ ก่อนที่มันจะกระทบพลังของมันก็ทำให้เสื้อของชุดดำพลิ้วไหว
ชุดดำถูกรบกวนเล็กน้อยทำให้แสงตะวันส่องลงมาอีกครั้ง สามารถมองเห็นคางสีเขียวเหมือนคนป่วยและดวงตาที่เป็นประกายราวกับดวงดาวเย็นเยียบ
ชุดดำเห็นหมัดของเปี๋ยยั่งหง ดวงตาเขาก็เป็นประกายชื่นชมและระแวดระวัง
ไม่ว่าในฐานะกุนซือเผ่ามารหรือตัวตนอื่น เขาก็ได้พบกับยอดฝีมือตัวจริงมากมายและตัวเขาก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือเช่นกัน
หมัดของเปี๋ยยั่งหงยังสามารถที่จะข่มขวัญเขาได้ และเขารู้ว่าตัวเองต้องรับมือมันอย่างจริงจัง
ถาดเหล็กมืดหม่นจนดูเหมือนจะไร้แสงอย่างสิ้นเชิงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ตูม!
หมัดเปี๋ยยั่งหงกระแทกใส่ถาดเหล็ก
ถาดเหล็กเสียหายอย่างมากอยู่แล้วและตอนนี้ก็ถูกโจมตีอย่างเต็มกำลังจากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อีก มันร้าวและโค้งงอ
ร่างของชุดดำส่ายไหวจากนั้นก็ถอยไปสองก้าว
เสียงดังพึ่บ ต้นไม้ด้านหลังเขาแหลกลง เศษเสี้ยวของมันปลิวไปตามสายลม
หน้าผาห่างไปด้านหลังสามสิบกว่าลี้ ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำแดง เกิดรอยแยกลึกหลายสิบรอยในทันที
ก้อนหินกลิ้งไปตามหน้าผาที่แยกออกและตกลงในแม่น้ำ ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่น่าตกใจ
กำลังที่แท้จริงของยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถแยกภูเขาตัดแม่น้ำได้จริงๆ!
กระนั้นเปี๋ยยั่งหงก็ระแวดระวังมากขึ้นไปอีก
มีการคาดเดามากมายเกี่ยวกับกุนซือเผ่ามารชุดดำที่ลึกลับ
ในฐานะยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ เขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทุกคนรู้ว่าชุดดำเป็นยอดฝีมือที่สามารถจัดอยู่ในตำนานแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน
ไม่ว่าจะในยุคของจักรพรรดิไท่จงกับหวังจื่อเช่อหรือในยุคนี้ มีแค่ซูหลีที่เคยประมือกับชุดดำ
นอกจากนี้ในตอนนั้นซูหลีก็เน้นไปที่การหลบหนีมากกว่าจึงไม่อาจที่จะประเมินความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของชุดดำได้อย่างถูกต้อง
ในวันนี้เองตอนที่เปี๋ยยั่งหงต่อยหมัดออกไปเขาจึงวัดได้บ้าง
เปี๋ยยั่งหงไม่ใช่คนที่เย่อหยิ่งแต่เขาก็รู้ดีว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขานั้นสูงมากในหมู่ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ หมัดของเขาก็บรรจุกำลังไว้ถึงเก้าส่วน
ชุดดำกลับสามารถรับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ถาดเหล็กนั่นน่าจะเป็นของวิเศษแต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของชุดดำก็ยังน่าเกรงขามอยู่ดี
แต่มันก็ไม่สำคัญ
เพราะหมัดนี้ไม่ใช่การลงมือที่แข็งแกร่งที่สุดของเปี๋ยยั่งหง ไม่ใช่การลงมือที่แท้จริงของเขา
เขาเข้าใจดีว่าสิ่งสำคัญในการต่อสู้วันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขากับภรรยาเป็นฝ่ายชนะแต่เป็นเรื่องที่พวกเขาจะส่งข่าวถึงยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ได้หรือไม่
ศรหยก ทะเลบัวและหมัดนี้ล้วนเป็นตัวล่อ
ตอนที่เขาต่อยหมัด ด้ายบนนิ้วก้อยของเขาก็ขาดออกอย่างเงียบเชียบ
ดอกไม้แดงดอกน้อยได้ไปถึงท้องฟ้าแล้ว
ไม่ว่าชุดดำหรือมู่ฮูหยินก็ไม่อาจหยุดมันไม่ให้จากไปได้
ดอกไม้แดงพุ่งผ่านท้องฟ้า วาดเส้นสีแดงบางๆ บนท้องฟ้าคราม
เมฆขาวลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างสงบ
หากมีคนสังเกตเมฆนี้ตั้งแต่แรกก็จะตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ทะลวงผ่านเมฆมา ชุดดำเผยตัวหรือลมจากทะเลตะวันตกพัดกระพือ รูปร่างของเมฆขาวก็ไม่เคยเปลี่ยนหรือสั่นไหว
เมื่อเมฆนี้หนาแน่นเช่นนี้ ก็ควรจะมืดกว่านี้ แต่มันกลับยังรักษาความขาวบริสุทธิ์บนท้องฟ้าครามได้อย่างเหนือจริง
ดอกไม้แดงบินเข้าสู่ก้อนเมฆแล้วหายไป
มันไม่ได้บินออกมาจากเมฆขาวและหายไปในฟ้าครามห่างไกล มันแค่หายไปเลย
เปี๋ยยั่งหงไม่ได้สังเกตเห็นเมฆขาวนี้ตั้งแต่แรก ตอนนี้เองที่เขาพลันสัมผัสบางอย่างได้และเงยหน้าขึ้น
หน้าผาเงียบงัน
ไม่ว่าเขา อู๋ฉยงปี้ มู่ฮูหยินหรือชุดดำลงมืออีก
เมฆขาวเริ่มลอยและค่อยๆ แยกออก
ช่องว่างปรากฏขึ้นที่ใจกลางเมฆ มองจากพื้นมันดูเหมือนกับดวงตา
ดวงตานี้มองลงมาที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในต้าลู่
ลำแสงพุ่งออกมาจากช่องว่างนั้น
มันเป็นลำแสงสีทอง บรรจุไว้ด้วยรังสีที่เหนือจินตนาการ เป็นแสงที่ศักดิ์สิทธิ์สุงส่งอย่างที่สุด
แต่แสงนี้ก็อันตรายอย่างที่สุด ดูเหมือนจะสามารถบดขยี้ทุกสิ่ง ทำลายได้ทุกอย่าง
เปี๋ยยั่งหงพอจะรู้คำตอบอยู่บ้าง เขาพึมพำด้วยความตกใจอย่างล้ำลึก “พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้โลกนี้ดับสูญหรือ”