บทที่ 1805 แสลงหูเป็นพิเศษ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พอมาถึงวังสวรรค์ องครักษ์ก็หยุดอยู่นอกวัง ชิงหยวนจุนเข้ามาในวังคนเดียว มีนางในรอต้อนรับอยู่ตรงประตูและพาเขาเข้ามา นางในนำทางตรงไปยังอุทยานสายัณห์

ตรงมุมหนึ่งในสวน เสียงฉินดังสูงดังแผ่วรื่นหู ประมุขชิงที่อยู่บนตึกศาลากำลังเอามือไขว้หลังพิงระเบียง ซ่างกวนชิงยืนเงียบอยู่ข้างๆ รอบด้านไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง สนมและนางในหลายคนที่คอยปรนนิบัติก่อนหน้านี้ถอยออกไปก่อนที่ชิงหยวนจุนจะมาถึง

ประมุขชิงมองลงเบื้องล่าง ดวงตาเล็กเรียวจ้องสตรีที่ดีดฉินอยู่ข้างหลัง นางสวมชุดชมพูสวยเย้ายวน ขณะที่นิ้วเรียวทั้งสิบบรรเลงเพลง นางก็เงยหน้ามองขึ้นมาข้างบนอย่างออดอ้อนเสน่หาเป็นระยะ

“ดีดฉินได้ไม่เลว” ประมุขชิงเอ่ยวิจารณ์เสียงเรียบ

“ทักษะการดีดฉินของสนมฉินเรียกได้ว่าในวังหลังไม่มีใครเทียบเทียม” ซ่างกวนชิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หากสนมที่ดีดฉินอยู่ข้างล่างรู้ว่าซ่างกวนชิงชมนางเช่นนี้ เกรงว่าต้องซาบซึ้งใจจนสติแตก ต้องทราบไว้ว่าคำพูดของผู้การใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าว่าบาทมักจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่าตอนที่เจ้าโอ้อวดเสน่ห์เสียอีก

“สนมฉิน?” ประมุขชิงทำสีหน้าครุ่นคิด ไม่น่าเชื่อว่าจะนึกไม่ออกว่าท่ามกลางสนมของตัวเองจะมีคนชื่อนี้อยู่ด้วย เขาเพียงนึกอยากฟังเสียงขึ้นมา จึงให้ซ่างกวนชิงเรียกคนมา ตอนนี้พอได้เห็นหน้าตาและทักษะการเล่นฉินของผู้หญิงคนนี้พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ “แซ่ฉินนี้คือแซ่เดิมของนางหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่ขอรับ เปลี่ยนก่อนจะเข้าวัง คงหวังจะดึงดูดความสนใจของฝ่าบาท” ซ่างกวนชิงตอบ

“ทักษะฉินข้างนางในวังหลังไร้ผู้ใดเทียบเทียมจริงเหรอ?” ประมุขชิงถามขณะจ้องสังเกตข้างล่าง

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย “เป็นเรื่องจริงขอรับ พรสวรรค์บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่ฝึกแล้วจะทำสำเร็จได้ สนมฉินมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ขอรับ เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่นางเข้าวังเช่นกัน”

ประมุขชิงหันกลับมา “เจ้ารับผลประโยชน์จากอีกฝ่ายมาเท่าไร? ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยนางพูดเช่นนี้”

ซ่างกวนชิงเก้อเขินเล็กน้อย เพราะเขารับผลประโยชน์มาจากอีกฝ่ายแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่บังเอิญเรียกสนมฉินมาดีดฉินพอดีหรอก และยิ่งไม่ช่วยพูดให้ด้วย เขาตอบด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “นางมอบของหายากให้บ่าวจริงๆ ขอรับ”

ประมุขชิงเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวนางอีกครั้ง “ตระกูลไหนส่งเข้าวัง”

“ตระกูลอิ๋งส่งมาบรรณาการขอรับ ตอนเข้าวังก็เริ่มมีอายุแล้ว” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงจ้องความงามของผู้หญิงคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาย้ายไปมาตรงหน้าอกอิ่มเอิบขาวดุจหิมะของนาง แล้วหยุดบนสิบนิ้วที่ขยับขึ้นลงอย่างงดงาม สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาตั้งใจฟังเสียงบรรเลงฉินอันสง่างามครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเอื่อยว่า “ในเมื่อนี่คือน้ำใจที่ผู้การใหญ่อย่างเจ้าติดไว้ คืนนี้ข้าจะไปค้างกับสนมฉินก็แล้วกัน”

นี่ก็คือข้อดีของการมีคนข้างกายราชันสวรรค์ช่วยพูดให้ วังหลังมีสนมแสนสวยนับไม่ถ้วน แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสชุ่มชื่นหยาดน้ำฝน พอซ่างกวนชิงแนะนำนิดหน่อย เรื่องราวก็สำเร็จลุล่วงแล้ว ได้ผลยิ่งกว่าสนมฉินพยายามแนะนำตัวเองตั้งหมื่นเท่า

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้าเอ่ยรับ

ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะถามอีกว่า “อีกฝ่ายส่งของหายากอะไรมาให้?”

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย “วางอยู่ด้านในตำหนักดาราจักรแล้วขอรับ” คนที่ส่งของให้เขามีไม่น้อย แต่เขาก็ไม่กล้าฮุบไว้คนเดียวอยู่ดี ทุกอย่างล้วนวางไว้ให้ประมุขชิงดูผ่านตาก่อน ถ้าประมุขชิงไม่เอาเขาถึงจะเก็บไว้เป็นของตัวเองได้

สนมฉินหยุดขยับนิ้วบรรเลง ลุกขึ้นคำนับมาทางด้านบนเพื่อขอตัวออกไ ก่อนจะไปก็ไม่ลืมส่งสายตาซาบซึ้งใจให้ซ่างกวนชิง ส่วนกู่ฉินที่ทิ้งไว้ก็ถูกนางในที่ติดตามเก็บออกไปพร้อมกันแล้ว

“เสด็จพ่อ!” ชิงหยวนจุนมาถึงแล้วทำความเคารพ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ ให้ซ่างกวนชิง นับว่าทักทายแล้วเช่นกัน

ลูกน้องคนสนิทของบิดาพวกนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินเช่นกัน คนที่สามารถเข้าพบและพูดคุยกับบิดาได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่คนที่เขาจะไปล่วงเกินได้เลยจริงๆ ถ้าพวกเขาพูดอะไรสักสองสามประโยคในช่วงเวลาสำคัญ ก็สามารถเปลี่ยนชะตาของเขาได้เลย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นต่อให้เป็นโพ่จวินที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกลียดที่สุด แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กำชับให้ลูกชายแสดงความเป็นมิตรอยู่ดี นางสามารถแตกหักกับโพ่จวินได้ แต่ลูกชายนางกลับทำไม่ได้

การสร้างเส้นสายนั้นต้องใช้เงิน เงินภาษีในวังก็มีการคำนวณไว้แล้ว ประมุขชิงย่อมมีวิธีการอบรุมลูกชาย ไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายใช้จ่ายมือเติบ คนเบื้องล่างเองก็ไม่กล้าเข้าใกล้ชิงหยวนจุนเกินไปนัก เพราะกลัวประมุขชิงจะคิดมาก อีกทั้งเมื่อก่อนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้ขาดเงิน เพราะไม่มีที่ให้ใช้เงิน แต่หลังจากมีลูกชายคนนี้แล้ว นางจึงมีที่ให้ใช้จ่ายเงินไม่น้อยเพื่ออนคตของลูกชาย แน่นอนว่านางสามารถเอ่ยปากขอจากตระกูลเซี่ยโห้วได้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดเงินให้นางใช้แน่นอน แต่ถ้าจะให้ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเอ่ยปากขอเงินจากครอบครัวก็กระไรอยู่…จะยิ่งทำให้ขาดความมั่นใจได้ง่าย โชคดีที่หลังจากสนับสนุนเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังเช่นกัน นำทรัพย์สินมาแสดงความกตัญญูก็ฟุ่มเฟือยหรูหรามาก ให้การสนับสนุนทางการเงินที่ใหญ่มากแก่นาง ดังนั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงชอบอวิ๋นจือชิวมาก ก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่อวิ๋นจือชิวมาก็จะนำเงินมาให้นาง ใครจะไม่ชอบได้ล่ะ?

แน่นอนว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยื่นหมูยื่นแมวเช่นกัน มีคนนำเรื่องที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเฝ้าน้ำพุวังเวงไปวิจารณ์ว่าเป็นเสือนอนกิน แนะนำให้ประกาศยกเลิก ควบคุมดูแลภาษีที่เก็บได้ หลังจากเหมียวอี้ได้ข่าวจากผังก้วนก็แจ้งต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่ห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีแล้ว จูงมือลูกชายไปหาประมุขชิงด้วยกัน ไปฟ้องว่ามีคนรังแกพวกนางสองแม่ลูก ภายนอกดูเหมือนพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต๋อ แต่ที่จริงแล้วพุ่งเป้าไปที่พวกนางสองแม่ลูก ขอให้ประมุขชิงทวงความยุติธรรมให้ เมื่อเห็นลูกชายหน้านิ่งไม่พูดอะไร กับเรื่องน้ำพุวังเวงนี้ ประมุขชิงก็กดดันลงไปให้สิ้นเรื่องเช่นกัน

“องค์ชาย!” ซ่างกวนชิงทักทายกลับด้วยความเคารพ

ประมุขชิงหันตัวมาจากระเบียง เดินมาถึงหัวโต๊ะแล้วนั่งลง เขามองประเมินลูกชายศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แม่ลูกชายคนนี้จะได้รับผลกระทบทางสายเลือดจากตระกูลเซี่ยโห้วแรงมาก ไม่นับว่าหน้าตาดี แต่ก็ไม่อัปลักษณ์เช่นกัน คิ้วและดวงตาคล้ายประมุขชิงอยู่หลายส่วน กอปรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทุ่มเทความคิดในการอบรมสั่งสอนลูกชายมากจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยอากัปกิริยาและบุคลิกประจำตัวก็ยังเหมาะสมมาก ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจ

เขากวักมือบอกใบ้ให้ชิงหยวนจุนนั่งลงที่ม้านั่งตัวถัดไป เสร็จแล้วถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “พิธีศพของเซี่ยโห้วท่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ย่อมจัดอย่างสมเกียรติ แต่ครั้งนี้เสด็จแม่เหมือนจะสะเทือนใจไปหน่อย เศร้าโศกเสียใจจริงๆขอรับ” ชิงหยวนจุนตอบ

ประมุขชิงพยักหน้า “อย่างไรเสียเสด็จแม่ของเจ้าก็เติบโตจากตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วท่าก็คือเสาหลักของตระกูล ทั้งยังรักใคร่ห่วงใยเสด็จแม่เจ้ามากด้วย เลี่ยงความเสียใจได้ยาก เจ้าในฐานะที่เป็นลูกชาย เดี๋ยวกลับไปก็ปลอบใจเสด็จแม่เจ้ามากๆ หน่อยแล้วกัน”

บางทีประมุขชิงเองอาจไม่รู้ตัว หลังจากมีลูกชายคนนี้แล้ว ท่าทีของประมุขชิงที่มีต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เปลี่ยนไปบ้างโดยไม่รู้ตัว อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่าโปรดปรานรักใคร่ แต่สายใยครอบครัวระหว่างกันก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เริ่มมีบ้างแล้วไม่มากก็น้อย

ในจุดนี้คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่ซ่างกวนชิงที่เป็นขุนนางคนสนิทนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน

ชิงหยวนจุนที่นั่งตัวตรงเรียบร้อยพยักหน้าเงียบๆ

จู่ๆ ประมุขชิงก็หัวเราะเสียงเบา “ได้ยินว่าครั้งนี้เจอหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ทั้งยังคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วย”

ชิงหยวนจุนแอบตกใจเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าบิดาจะรู้แม้กระทั่งเรื่องภายในของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนั้นหลบเลี่ยงองครักษ์แล้วแท้ๆ เขาพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ เสด็จแม่หวังให้ลูกเรียนรู้จากหนิวโหย่วเต๋อให้มากๆ หน่อย”

“อ้อ!” ประมุขชิงถามด้วยรอยยิ้มอีก “แล้วเจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้ยังบอกได้ไม่ชัดเจนขอรับ เพียงแต่รู้สึกว่าเขาค่อนข้างน่าสนใจ” ชิงหยวนจุนตอบ

“ค่อนข้างน่าสนใจเหรอ?” ประมุขชิงเริ่มสนใจแล้ว “คุยอะไรกับเขาไปบ้างล่ะ”

“คุยกันไม่น้อยเลยขอรับ…” ชิงหยวนจุนเล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้ฟังโดยละเอียด ไม่ได้ปิดบังใดๆ

ที่จริงก็เป็นหยางชิ่งที่บอกให้เหมียวอี้เสนอแผนการให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งแต่แรก ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เตือนชิงหยวนจุนเมื่อนานมากแล้ว ว่าอย่าปิดบังประมุขชิงไม่ว่าเรื่องอะไร โดยเฉพาะที่วังสวรรค์ สองแม่ลูกมีกำลังอ่อนแอไร้การปกป้อง น่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังสายตาประมุขชิงได้ ผลที่ตามมาหลังจากปิดบังประมุขชิงนั้นร้ายแรงมาก ครั้งสองครั้งยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหลายครั้งจะทำให้ประมุขชิงไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นต่อให้ทำอะไรผิดแล้วบอกประมุขชิงไปตรงๆ ก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงไม่หลอกลวงประมุขชิง ประมุขชิงก็ย่อมแบกรับให้ชิงหยวนจุนอยู่แล้ว ถ้าพูดจาบางมุม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สามารถปิดบังประมุขชิงได้ แต่ชิงหยวนจุนทำอย่างนี้ไม่ได้

เช่นเดียวกัน หลังจากได้เห็นเรื่องที่เหมียวอี้เดิมพันกับกลุ่มขุนนางในงานเลี้ยงวันเกิด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองว่าเหมียวอี้เป็นมันสมองของนางแล้ว ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็จะแอบติดต่อขอความเห็นจากเหมียวอี้ตลอด และเหมียวอี้ก็รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของวังสวรรค์ชัดเจนผ่านซี่ยโห้วเฉิงอวี่เช่นกัน ขุนนางใหญ่คนอื่นต้องส่งสาวงามเข้าวังถึงจะบรรลุเป้าหมาย แต่เหมียวอี้นั้นทำสำเร็จแล้ว

หลังจากรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวภายในวังสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจในความเจ้าแผนการของหยางชิ่งอีกครั้ง เพราะสนใจตัวหมากอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งนานแล้ว วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ตระกูลเซี่ยโห้วและประมุขชิงได้ชัดเจน ให้เขาฉวยโอกาสกัดเอาไว้แต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าบุ่มบ่ามลงมือกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วและประมุขชิงได้อย่างไร ตอนนี้ได้เก็บเกี่ยวประโยชน์มากมายจริงๆ ด้วย

พอได้ยินว่าชิงหยวนจุนถามเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเอ่ยปากตอบได้ยากไม่หยุด ประมุขชิงก็กลั้นขำไม่ไหว “สุดท้ายเขาบอกความจริงเจ้าหรือเปล่า?”

“เปล่าขอรับ สิ่งที่ลูกวิจารณ์กลับไปต่อหน้าเขาก็คือ ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องชั่วอะไร แต่เขาไม่เคยยอมรับเลย” ชิงหยวนจุนตอบ

“ฮ่าๆ! พูดไม่ผิด วิจารณ์ได้ลึกซึ้ง” ประมุขชิงหัวเราะลั่น ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันก็หัวเราะแห้งเช่นกัน

รอจนกระทั่งชิงหยวนจุนพูดเรื่องที่เหมียวอี้บอกว่าปัสสาวะลงกระโถสเดียวกับประมุขชิงไม่ได้ ประมุขชิงก็หัวเราะไม่ออกทันที สีหน้าขรึมลงแล้ว

ซ่างกวนชิงก็ตำหนิเช่นกัน “เจ้าเด็กกำเริบเสิบสาน!”

สองพ่อลูกคุยกันพักหนึ่ง หลังจากถามลูกชายถึงสถานการณ์ช่วงนี้แล้ว ประมุขชิงก็ให้ชิงหยวนจุนถอยออกไป จากนั้นก็บอกซ่างกวนชิงว่า “เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้า!”

ซ่างกวนชิงรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร เตรียมจะหาจุดอ่อนภายในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แม้จะทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ แต่คาดว่าต้องสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย

ผ่านไปไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เข้ามาตามคำสั่งแล้ว

หลังจากเขาทำความเคารพ ประมุขชิงก็ไม่เปลืองคำพูด ถามตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ทางจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบครุ่นคิดถึงเจตนาของคำพูดนี้ ชำเลืองมองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แต่มองไม่ออกถึงคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ จึงรายงานตามความจริง “โดยรวมไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ เพียงแต่ได้รับรายงานมาจากสายลับ ว่าหนิวโหย่วเต๋อบอกเองว่าไปพบเหนียงเหนียงและองค์ชายที่จวนท่านปู่สวรรค์ หลังจากหนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้วก็พูดบางอย่างที่ล่วงเกินเบื้องบน เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน ถ้าหาหลักฐานเจอเมื่อไร เกรงว่าสายลับจะถูกเปิดโปงตัวตน”

“คำพูดล่วงเกินเบื้องบน?” ประมุขชิงหรี่ตา “พูดอะไรไปบ้าง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “บอกว่าองค์ชายพูดจาไม่ค่อยไว้หน้า แต่กลับสั่งคนข้างกายไว้แล้ว ว่าต่อไปเมื่อพบองค์ชายจะต้องเคารพนอบน้อม บอกว่าตัวเองตัวเองถูกบีบให้ทรยศฝ่าบาท ต่อให้ถวายความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะได้รับความไว้วางใจ บอกว่าฝ่าบาทไม่ควรค่าให้เขาถวายความจงรักภักดี บอกว่าหลังจากผ่านเรื่องในอดีตมาหลายครั้ง ก็พบว่าไม่มีขุนนางใหญ่คนไหนสามารถเป็นทางหนีทีไล่ที่พึ่งพาได้สักคน ตอนนี้เขาผูกติดตัวเองกับตำหนักนารีสวรรค์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปทั้งใต้หล้านี้เขาทำได้เพียงถวายความจงรักภักดีต่อองค์ชายผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาพูดประมาณนี้ขอรับ”

ประมุขชิงสีหน้าขรึมเครียดลง ประโยค ‘ฝ่าบาทไม่ควรค่าให้เขาถวายความจงรักภักดี’ เรียกได้ว่าแสลงหูเขาเป็นพิเศษ

………………