ตอนที่ 1101: การบุกรุกของร้อยเผ่าพันธุ์ (1)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1101: การบุกรุกของร้อยเผ่าพันธุ์ (1)

ผู้อาวุโสเอลฟ์ได้หายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์เพราะวิญญาณของเขาได้กระจายหายไปหมดแล้ว ตอนแรกเขาน่าจะมีร่างกายคงเหลือไว้ แต่เขากลายเป็นเถ้าถ่านเนื่องจากเขาร่ายทักษะลับ

“ท่านทวด…”

“นายท่าน…”

เอลฟ์ในโถงทั้งหมดโศกเศร้า เพราะความเสียใจท่วมท้นในตัวของพวกเขา

ผู้อาวุโสเยนสันยืนนิ่งไว้อาลัยให้กับเอลฟ์นานขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนที่จะสลัดเอาอารมณ์ทิ้งออกไป เขาพูดอย่างเย็นชา “ตระกูลผู้พิทักษ์มีขนสัตว์อสูรทั้งหมด 6 อัน และพวกมันก็อยู่ในครอบครองของนิกายเฉินเซียว นิกายโพเทียน นิกายหยางจิ สำนักดาบทรราช สำนักธูปสวรรค์ และตระกูลโม่หยวน พวกเราจะแยกออกไป 8 กลุ่ม สองกลุ่มจะต้องไปเอาขนสัตว์อสูร 2 ชิ้นที่ยังไม่มีเจ้าของ ในขณะที่อีกทั้งหกกลุ่มจะไปโจมตีตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งหกตระกูล จำไว้ว่าให้เอาวัตถุต้องห้ามไปเพื่อรับมือกับยุทธภัณฑ์จักรพรรดิของตระกูลผู้พิทักษ์ด้วย”

“เมืองทหารรับจ้างมีการป้องกันจากจิตวิญญาณม่านพลัง ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งมาก เมื่อพวกเราได้ขนสัตว์อสูรทั้งหกมาจากตระกูลผู้พิทักษ์แล้ว พวกเราจะร่วมมือกันในการใช้วัตถุต้องห้ามเพื่อที่จะทำลายการป้องกันของจิตวิญญาณม่านพลัง”

..

ในอาณาจักรขนาดปานกลางของทวีปเทียนหยวน ชายวัยกลางคนในชุดทหารรับจ้างกำลังนั่งดื่มอยู่ตนเดียวที่โต๊ะ รูปร่างลักษณะของเขานั้นธรรมดา ประเภทที่คงจะไม่มีใครสนใจ ถ้าเขาไม่ถูกโยนเข้าไปกลางฝูงคน อย่างไรก็ตาม เขาเปล่งรัศมีพลังแห่งการมีอยู่ที่ดุร้ายออกมา และกันไม่ให้นักดื่มที่เป็นทหารรับจ้างคนอื่นเข้ามาใกล้เขา

แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นเพียงเซียนปฐพี แต่เขาก็ถือเป็นจอมยุทธที่หาได้ยากในเมืองขนาดกลาง ไม่มีใครอยากไปยั่วโมโหเขาเอาง่ายง่าย

ทันใดนั้นเอง แหวนมิติที่อยู่บนนิ้วของชายคนนี้ก็เปล่งประกายแสงสีขาวแสบตาออกมา ขนนกขนาดเท่าฝ่ามือบินและพุ่งขึ้นไปสูงบนท้องฟ้า และเปล่งประกายไปด้วยพลังงานที่มหาศาล มันพริ้วไปกับสายลมและสยายออกกว้างสิบเมตร พลังแห่งการมีอยู่ที่ลึกซึ้งของความจริงในธรรมชาติได้เปล่งประกายออกมาจากขนสัตว์อสูร มันดูเหมือนความลึกลับของธรรมชาติ แต่มันก็ซับซ้อนและยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้

ขนสัตว์อสูรสีขาวนั้นซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ เจี้ยนเฉินแค่เปิดเผยความลับธรรมดาที่เป็นความลึกลับของธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในมันได้เท่านั้น และทำให้เขากลายเป็นเซียนผู้คุมกฎได้ ในตอนนี้ ขนสัตว์อสูรได้ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว และทำให้ความลับที่อยู่ในมันทั้งหมดตื่นขึ้นมา

ไม่เพียงแต่มิติรอบ ๆ จะสั่นไหวอย่างรุนแรง ในขณะที่ความจริงที่ลึกซึ้งของธรรมชาติเปล่งรัศมีออกมาจากขนสัตว์อสูร แต่คลื่นที่แปลกแปลกยังกระเพื่อมไปทั่วทั้งทวีป และจอมยุทธที่สุดยอดทุกคนของทวีปก็สัมผัสถึงมันได้

ตระกูลโบราณตั้งอยู่ในภูเขาเก่าแก่ ก็มีขนสัตว์อสูรยาวสิบเมตรลอยขึ้นมากลางอากาศเช่นกัน มันเปล่งรัศมีความจริงของธรรมชาติออกมาด้วย ซึ่งมันลึกซึ้งกว่าความลึกลับของธรรมชาติเสียอีก และบวกกับคลื่นที่แปลกแปลกที่กระเพื่อมขยายไปทั่วทั้งทวีปอีกด้วย

ข้าง ๆ ขนสัตว์อสูรมีเซียนราชาลอยอยู่กลางอากาศ เขาเปล่งรัศมีพลังแห่งการมีอยู่ปกคุลมไปทั่ว เขาต้องการที่จะเก็บขนสัตว์อสูรให้เข้าที่ แต่เขาก็ตกใจ พลังงานที่มองไม่เห็นที่ไหลออกมาจากขนสัตว์อสูรนั้นกลายเป็นเขตแดนที่แยกตัวออกไม่ให้เขาเข้าใกล้ได้แม้เขาจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

“อะไรคือที่มาของขนสัตว์อสูรแปลกแปลกนี่กันนะ ? มันซ่อนความลับอะไรไว้ ? ” เซียนราชาคำรามออกมา ในขณะที่เขารู้สึกตื่นตระหนกในใจ ขนสัตว์อสูรทำให้เกิดความปั่นป่วนมาก และเขาก็กังวลว่ามันอาจจะไปเป็นที่สนใจของจอมยุทธคนอื่น

ในอารามจิตพิสุทธิ์ของตระกูลผู้พิทักษ์–

หัวหน้าอาราม วูเฉินซีจ้องไปไกลด้วยสายตาที่มั่นคงของนาง ในขณะที่นางพึมพำออก “ร้อยเผ่าพันธุ์ได้ร่ายทักษะลับอีกครั้งจริงจริงเพื่อที่จะตามหาขนของพยัคฆ์ปีกเทวะ เฮ้อ มันยากมากที่พวกเขาจะรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมด 18 ชิ้นเข้าด้วยกัน และพวกเขาทำไปทำไมกันนะ ? “

ผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังทำสมาธิฝึกฝนอยู่ในตระกูลเจียงหยางก็ลืมตาเปิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เขาหายไปจากห้องทันที และปรากฎขึ้นอีกครั้งที่โถงประชุมของโถงศักดิ์สิทธิ์

“สมบัติที่ท้าทายสวรรค์ต้องปรากฎขึ้นบนทวีปเทียนหยวนแน่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเกิดความปั่นป่วนเยี่ยงนี้ ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงของธรรมชาติที่เหนือยิ่งไปกว่าความลึกลับของธรรมชาติที่ข้าเข้าใจเสียอีก จูริ เจิ้งหัว พวกเจ้าทั้งสองอาจจะต้องออกไปดู มันไม่สำคัญว่าสมบัตินั่นมันคืออะไร พวกเจ้าต้องเอามันกลับมา” เจียงหยาง ชิง หยุนสั่งออกไปอย่างเคร่งเครียด

Changyang Qing Jueri and Changyang Yuan Zhenghua nodded and left the protector clan together.

เจียงหยาง ฉิง จูริ และเจียงหยาง หยวน เช็งหัวพยักหน้าและออกจากตระกูลผู้พิทักษ์ไปพร้อมกัน

ผู้อาวุโสสูงสุดในนิกายหยางจิได้มารวมตัวกัน ยิหยางซีนั่งอยู่สูงด้านหน้าในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด “เจ้าก็ต้องสัมผัสมันได้เหมือนกัน คลื่นแปลกแปลกที่กระเพื่อมขยายไปทั่วทั้งทวีป และข้าก็สัมผัสได้ลาง ๆ ถึงความจริงของธรรมชาติที่ลึกซึ้งอยู่ในนั้นด้วย มันยากที่จะเข้าใจมันได้แม้จะเป็นข้าก็ตาม”

“คำถามคือของชิ้นนี้มันคืออะไรกันถึงทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดนี้ ? ” ผู้อาวุโสสูงสุดถามออกมาอย่างสงสัย

“มันไม่สำคัญหรอกว่ามันคืออะไร พวกเราต้องไปดู ถ้ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก พวกเราต้องใช้ทุกอย่างที่พวกเรามีเพื่อเอามันมาเป็นของพวกเรา”

“ถ้างั้นให้เทียนจูซีและข้าไปดูเอง…” ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองออกไปจากนิกายหยางจิทันที

ในเวลาเดียวกัน กุยไฮ่ ยี่เต่าที่นั่งอยู่บนสุดของยุทธภัณฑ์จักรพรรดิในเขตต้องห้ามของสำนักดาบทรราชก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ สายตาของเขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกโลก และให้ความรู้สึกที่หยั่งไม่ถึงออกมา

“นี่เป็นคลื่นพลังงานดั้งเดิม แต่ว่าน่าเสียดายที่มันเป็นแค่พลังแห่งการมีอยู่และไม่ใช่ของจริง ไม่อย่างนั้น ข้าก็จะสามารถใช้มันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของข้าได้” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ กุยไฮ่ ยี่เต่าก็หยุดทันที สายตาของเขาเป็นประกายและเขาก็พูดออกมาเสียงทุ้ม “ไม่ ดูเหมือนมันจะมีอะไรมากมายกว่านั้นด้านใน”

กุยไฮ่ ยี่เต่าสัมผัสมันอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นสักพัก เขาก็เคร่งเครียดมาก เขาพึมพำ “ความแข็งแกร่งของข้าอาจจะไม่ได้เยี่ยมเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็หลอกข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอก มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในขนสัตว์อสูรนั่นที่ข้าไม่สามารถตรวจจับได้ ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเหนือกว่าข้าตอนที่ข้าสมบูรณ์ เขาอาจจะอยู่ในระดับเทพเจ้าแล้วก็ได้ มีเพียงคนที่ทรงพลังขนาดนั้นที่สามารถฆ่าคนของเทพเจ้าแห่งสงครามได้”

“ขนของพยัคฆ์ปีกเทวะเป็นสิ่งของที่ยุ่งยาก เมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันแล้ว เจ้าอาจจะไปทำให้คนของเทพเจ้าแห่งสงครามโกรธเอา เทพเจ้าแห่งสงครามเป็นคนที่อาศัยอยู่ในจุดสูงสุดและมีศักยภาพที่จะกลายเป็นจอมคนได้ พวกเขาไม่ใช่คนที่นักผจญภัยธรรมดาธรรมดาอย่างข้าจะไปยั่วยุได้” กุยไฮ่ ยี่เต่าพึมพำกับตัวเองในขณะที่ดวงตาเขาฉายแววหวาดกลัวออกมา

ความปั่นป่วนจากขนสัตว์อสูรทั้งสองดึงดูดความสนใจของตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ นอกเหนือไปจากอารามจิตพิสุทธิ์และสำนักดาบทรราช จอมยุทธจากทั้งแปดตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งหมดก็เคลื่อนไหวเพื่อที่จะไปเอาสมบัติที่ล้ำค่านี้

ตระกูลใหญ่บางตระกูลและองค์กรบางองค์กรพร้อมกับตระกูลโบราณและจอมยุทธที่ซ่อนอยู่ในที่ห่างไกลก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนไหวไปที่ขนสัตว์อสูรทั้งสองจากส่วนต่าง ๆ ของทวีป

ชายวัยกลางคนพร้อมขนสัตว์อสูรไม่สามารถทนนั่งดื่มได้อีกต่อไปในเมืองขนาดกลาง เขากระโจนออกจากโรงเตี๊ยมทันทีและจ้องไปที่ขนสัตว์อสูรยาวสิบเมตรด้วยความตกใจ ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในขณะที่เขาพึมพำออกมา “สมบัติ สมบัติ มันเป็นสมบัติจริง ๆ ข้าจะรวยแล้ว”

ขนสัตว์อสูรปลิวไสวอยู่หลายร้อยเมตรไปในสายลมในขณะที่คลื่นพลังงานที่น่ากลัวก็ทำให้ทุกคนในเมืองแตกตื่น มันใดนั้นเอง ทหารรับจ้างและพ่อค้ากลุ่มใหญ่ก็ก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยมของพวกเขาและจ้องไปที่ท้องฟ้าด้วยความตกใจ

“อ้าก ! ” เสียงคำรามยาวดังมาแต่ไกล ในขณะที่เซียนปฐพีพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและเปล่งประกายไปด้วยพลังเซียนเจิดจ้า เขาต้องการที่จะเอาขนสัตว์อสูรมา

ทหารรับจ้างที่ครอบครองขนสัตว์อสูรในตอนแรกก็ตกอยู่ในความเกรี้ยวโกรธหลังจากที่เขาได้เห็นแบบนี้ เขาคำรามออกมาอย่างมีโทสะ “นี่มันของข้า! อย่าขโมยมันไปนะ ! ” หลังจากนั้น เขาก็เอาอาวุธเซียนออกมา พลังเซียนพุ่งพวยออกมาจากร่างของเขา ในขณะที่เขาพุ่งไปที่เซียนปฐพี เขาต้องการที่จะขวางไม่ให้คนนั้นเอาขนสัตว์อสูรไปได้

ทั้งสองเริ่มต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่มีเซียนสวรรค์ในเมืองขนาดกลาง แต่ก็พอมีเซียนปฐพีอยู่บ้างเล็กน้อย นอกเหนือไปจากพวกเขาทั้งสอง ในขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี เซียนปฐพีอีกสี่คนก็กระโจนสูงขึ้นมากลางอากาศ พวกเขาพุ่งไปที่ท้องฟ้าและเปล่งประกายไปด้วยพลังงานมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ขนสัตว์อสูรก็บินอยู่ในระดับที่สูงเกินไป มันสูงหลายร้อยเมตร และมันก็ไม่มีอะไรรอบ ๆ ที่สูงพอที่พวกเขาจะใช้กระโจนขึ้นไปได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกระโจนสูงขึ้นไปขนาดนั้นได้ด้วยความแข็งแกร่งของเซียนปฐพีของพวกเขาเอง ดังนั้น ทั้งสี่คนจึงตกลงมาอย่างไร้พลังในตอนที่พวกเขาขึ้นไปได้สูงร้อยเมตร

เซียนปฐพีไม่อยากที่จะยอมแพ้ ไม่มีใครต้องการที่จะละเลยสมบัติที่พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่ามีค่ามากเพียงแค่มองปราดเดียว พวกเขาทั้งหมดคำรามออกมาและใช้ทุกอย่างที่พวกเขามีในการกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถทำความสูงได้สองร้อยเมตรมากที่สุด และยังคงห่างจากระดับของขนสัตว์อสูรอยู่

“บ้าเอ้ย ทำไมมันถึงได้ลอยอยู่สูงนักนะ ! ? ” เซียนปฐพีสบถออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดายมาก

ในตอนนี้ มิติบนท้องฟ้าก็ปั่นป่วนอย่างหนัก จู่ ๆ ประตูมิติก็ปรากฎขึ้นมาและชายชราในนชุดขาวสองคนก็ก้าวออกมา

“พวกเขาสามารถฉีกมิติและเปิดประตูมิติได้ ! พวกเขาเป็นเซียนราชา ! ” เซียนปฐพีที่มีความรู้ร้องออกมา การปรากฎตัวของชายชราทั้งสองเป็นที่สนใจของทุกคน

ทุกคนในเมืองตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าเซียนราชา ความเงียบสงัดปกคุลมไปทั้งเมือง ในขณะที่สายตาของทุกคนก็มองไปที่ชายชราทั้งสองเป็นจุดเดียว สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและอยากรู้มาก

เซียนราชาเป็นการมีอยู่ที่สูงสุดของทวีปเทียนหยวน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีจำนวนน้อยเท่านั้นในทวีปเทียนหยวน มันยังยากมากที่คนธรรมดาจะไปพบเซียนราชาเข้าสักคนในรอบพันปี จอมยุทธพวกนี้เหมือนเทพเจ้าสำหรับเหล่าทหารรับจ้างและพ่อค้าที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขายืนอยู่จุดที่สูงมาก และพวกเขามีเกียรติและศักดิ์สิทธิ์