บทที่ 1060 ความเปลี่ยนแปลงของเมืองไป๋หยุน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,060 ความเปลี่ยนแปลงของเมืองไป๋หยุน

ติงซานฉือกับหลินเป่ยเฉินหันมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นพร้อมกัน

หลินเป่ยเฉินพบเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสีขาวผมสีเทานางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความตื่นกลัวเล็กน้อย แต่คล้ายกับนางลังเลใจอะไรบางอย่าง จึงเว้นระยะห่างจากลูกศิษย์และอาจารย์คู่นี้อยู่พอสมควร

“เจ้าคือ…”

ติงซานฉือต้องใช้เวลาสำรวจมองอีกฝ่ายอยู่นานทีเดียว กว่าที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “หรือว่าเจ้าคือศิษย์น้องอิ๋นซาน?”

หญิงวัยกลางคนตัวสั่นเทิ้ม “ท่านคือศิษย์พี่ติงจริง ๆ หรือ? ท่าน… ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว”

ติงซานฉือรีบเดินเข้าไปหาพร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์น้องอิ๋น เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า… ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้?”

ตอนที่พวกเขาร่ำเรียนวิชากระบี่อยู่ด้วยกันในเมืองไป๋หยุน ติงซานฉือมีศิษย์พี่และศิษย์น้องอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 23 คน นอกจากไป๋ไห่ชินที่เสียชีวิตไปแล้ว คนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนแต่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งสิ้น

อิ๋นซานเป็นหนึ่งในศิษย์น้องเหล่านั้น

อิ๋นซานในความทรงจำของชายชรามีดวงตากลมโตและมีฟันขาวสะอาด บุคลิกใสซื่อไร้เดียงสา มีความสามารถทางด้านกระบี่เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป นางจึงเป็นที่รักของอาจารย์และศิษย์พี่จำนวนมาก

อิ๋นซานเคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นถึงนกยักษ์ที่ออกหากินอยู่บนกำแพงเมืองฝั่งตะวันออก นางเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถควบคุมมันไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ได้สำเร็จ จึงเป็นที่คาดหมายกันว่าอิ๋นซานจะต้องมีอนาคตสดใสรอคอยอยู่แน่นอน

แต่บัดนี้เล่า?

นางกลายเป็นเพียงหญิงวัยกลางคนหน้าตาอมทุกข์ ผมสีเทายุ่งเหยิงไม่ได้รับการดูแล

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับนาง?

“ศิษย์พี่ติง ข้า… เรื่องมันยาวนัก”

อิ๋นซานยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “บัดนี้ถือว่าเมืองไป๋หยุนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว แต่ท่าเทียบเรือขาดคนดูแล บัดนี้ ที่นี่ถูกควบคุมโดยผู้คนจากสำนักเพลิงสายฟ้า…”

“สำนักเพลิงสายฟ้า?”

ติงซานฉืออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันสำนักที่ท่านอาจารย์เคยไปอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”

บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยุนมีนามว่าฉู่เทียนกัว เขามาจากครอบครัวยากจน ช่วงวัยหนุ่มร่อนเร่พเนจรไปทั่วเพื่อสั่งสมประสบการณ์กระบี่ ดังนั้น ฉู่เทียนกัวจึงได้เข้าร่วมกับสำนักกระบี่จำนวนมาก หลังจากล้มลุกคลุกคลานอยู่นานปี ในที่สุด เขาก็ประสบความสำเร็จบรรลุเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสุดยอด…

สำนักเพลิงสายฟ้าก็คือหนึ่งในสำนักกระบี่ที่ฉู่เทียนกัวเคยไปอยู่ด้วยนั่นเอง

และฉู่เทียนกัวก็ทำให้สำนักเพลิงสายฟ้าแห่งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นในชั่วพริบตา

ในแผ่นดินตงเต้า สำนักเพลิงสายฟ้าถูกยกให้เป็นหนึ่งในสำนักกระบี่ที่ดีที่สุด

ด้วยเหตุนี้ สำนักเพลิงสายฟ้าจึงมีความข้องเกี่ยวกับเมืองไป๋หยุนมาตั้งแต่แรก

อิ๋นซานยิ้มอย่างฝืดฝืน ก่อนกล่าวว่า “เมื่อก่อนท่าเทียบเรือเคยเป็นพวกเราดูแล แต่บัดนี้…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หญิงวัยกลางคนก็นึกอะไรได้บางอย่าง นางหันไปมองกลุ่มลูกศิษย์จากสำนักเพลิงสายฟ้าที่ยืนอยู่ด้านข้าง ในแววตาของหญิงวัยกลางคนปรากฏความตื่นกลัว สุดท้าย อิ๋นซานก็ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ท่านไม่อยู่ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในเมืองไป๋หยุนมากมาย ข้านึกว่าฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายเสียแล้ว… ศิษย์พี่ ท่านกลับมาครั้งนี้ คงมาเข้าร่วมการประลองกระบี่กระมัง?”

เมื่อติงซานฉือเห็นสีหน้าของศิษย์น้อง ในใจก็เริ่มเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมา

เขาไม่ได้ถามอะไรออกไป ทำได้เพียงพยักหน้าและกล่าวว่า “ย่อมต้องมาเพื่อเข้าร่วมการประลองกระบี่ ตำแหน่งที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ ข้าไม่สามารถปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนนอกเด็ดขาด”

“แต่ว่า…”

ดูเหมือนอิ๋นซานอยากจะโน้มน้าวให้ชายชราเปลี่ยนใจ

ติงซานฉือขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ศิษย์น้อง ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาที่นี่แล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย เจ้าพาข้าไปพบกับศิษย์พี่และศิษย์น้องคนอื่น ๆ ก่อนดีกว่า”

อิ๋นซานถอนหายใจด้วยความเศร้า พยักหน้าตอบรับว่า “แต่ว่าพวกเขา…”

หญิงวัยกลางคนหันไปมองทางกลุ่มลูกศิษย์ของสำนักเพลิงสายฟ้าอีกครั้ง

ติงซานฉือหันมาหาหลินเป่ยเฉินและออกคำสั่งว่า “ไปจ่ายค่าผ่านทาง”

“รับทราบขอรับ ท่านอาจารย์”

หลินเป่ยเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขานำศิลาบูชาออกมา 10 ก้อน เดินตรงเข้าไปหากลุ่มลูกศิษย์สำนักเพลิงสายฟ้า

“โอ๊ะ นี่มัน…”

กลุ่มลูกศิษย์สำนักเพลิงสายฟ้าหันมองหน้ากันด้วยความลังเลใจ

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินระเบิดพลังลมปราณสลายการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์รู้แล้วว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับยอดฝีมือตัวจริง และอย่างน้อย ๆ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ต้องมีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับ 1 เป็นอย่างต่ำ

เพราะฉะนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์จึงไม่กล้าเก็บค่าผ่านทางอีกแล้ว

“ทำตัวเชื่อฟังหน่อยเถอะ รับไปซะ”

หลินเป่ยเฉินยัดศิลาบูชาทั้ง 10 ก้อนใส่มือของหัวหน้ากลุ่มลูกศิษย์จากสำนักเพลิงสายฟ้า ก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ และหัวเราะร่า “ฮ่า ๆๆ ประเสริฐ ข้าจะจำหน้าของเจ้าเอาไว้ให้ดี”

พี่ใหญ่ของกลุ่มชายฉกรรจ์ถือศิลาบูชาอยู่ในมือ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าศิลาบูชามีความร้อนไม่ต่างจากไฟ

จนกระทั่งพวกของหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปจากสายตา กลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเกราะแดงจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“คนพวกนั้นเป็นใครกันนะ?”

“ช่วงนี้มีคนนอกเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมการประลองกระบี่ ก็คงเป็นคนจากสำนักใดสำนักหนึ่งกระมัง”

“เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุเพียง 16 – 17 ปีเท่านั้น เขาจะมีพลังถึงขั้นเซียนเชียวหรือ?”

“มีพลังขั้นเซียนแล้วจะอย่างไร สำนักเพลิงสายฟ้าของเราก็มีขั้นเซียนอยู่เช่นกัน เจ้าอย่าลืมสิว่าในเมืองไป๋หยุนแห่งนี้ พวกเรามีผู้อาวุโสจิงเล่ยขั้นเซียนระดับห้าคอยดูแล แล้วเจ้ายังจะต้องกลัวเด็กหนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้อยู่อีกหรือ?”

“จริงด้วยขอรับพี่ใหญ่ เด็กคนนี้กำแหงมากเกินไป ดูเหมือนเขาจะเป็นลูกศิษย์ของคนที่เคยอยู่ในเมืองไป๋หยุน นี่พวกมันคงคิดว่าตนเองเป็นคนใหญ่คนโตเสียเต็มประดา พวกเราจะปล่อยให้ลอยนวลไปไม่ได้ กลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสจิงเล่ยทราบดีกว่าขอรับ”

ยิ่งทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากเท่านั้น

บรรดาลูกศิษย์จากสำนักเพลิงสายฟ้ากลับมามีความดุดันก้าวร้าวอีกครั้ง พวกเขาต่างคิดด้วยความขุ่นเคืองใจว่าหากพวกของหลินเป่ยเฉินกล้ากลับมาอีก ตนเองจะไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด

หลังจากปรึกษาหารือกันสักครู่ ลูกพี่ใหญ่ก็เดินนำทุกคนไปรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสรับทราบ

เขตสุสานเฉิงเป่ย

ภูเขาเหนี่ยวหมิงเงียบสงบกว่าที่เคย

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”

ติงซานฉือมองป้ายหน้าหลุมศพที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้าด้วยความตะลึงลาน

ชื่อที่อยู่บนป้ายหลุมศพล้วนเป็นคนที่เขารู้จัก

ล้วนเป็นชื่อศิษย์พี่และศิษย์น้องของเขาเอง

คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อกลับมาที่เมืองไป๋หยุนในครั้งนี้ ศิษย์พี่และศิษย์น้องทุกคนก็ตายจากไปเสียแล้ว

ไม่มีวาสนาได้พบหน้า ทำได้เพียงมาเคารพหลุมศพเท่านั้น

“ศิษย์พี่ติง นับตั้งแต่ที่ท่านจากไป ที่นี่ก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ศิษย์พี่และศิษย์น้องทุกคนล้มหายตายจาก… บัดนี้ บรรดาผู้คนที่เคยร่ำเรียนพร้อมกับท่าน หลงเหลือเพียงข้ากับศิษย์พี่หกเท่านั้น และสถานการณ์ของเขาก็ไม่สู้ดี ไม่สิ ต้องบอกว่าเขากลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงมาได้ร่วมปีแล้ว”

อิ๋นซานมีสีหน้าเศร้าหมองเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือความเป็นจริงที่ติงซานฉือยากจะยอมรับได้

“เกิดอะไรขึ้น?”

เขาถาม

ศิษย์เมืองไป๋หยุนทุกคนต่างก็เป็นมือกระบี่ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง สำนักกระบี่จำนวนมากต่างก็แย่งชิงพวกเขาไปเป็นคนของตนเอง ด้วยเหตุนี้ แต่ละปีพวกเขาจึงได้รับสมุนไพรวิเศษและเคล็ดวิชาจากสำนักกระบี่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน ต่อให้มีสติปัญญาโง่เขลา อย่างน้อยก็สมควรมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้น

แน่นอนว่าอายุขัยย่อมยืนยาวกว่าคนทั่วไป

แล้วทำไมศิษย์พี่และศิษย์น้องของเขา ถึงเสียชีวิตง่ายดายเช่นนี้?

“ท่านจำศิษย์น้องลู่กวนไห่ได้หรือไม่?”

อิ๋นซานเป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง

ติงซานฉือชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “เจ้าหมายถึงศิษย์คนโปรดของท่านอาจารย์อาใช่หรือไม่? ข้าย่อมจำศิษย์น้องลู่ได้แน่นอน นางเริ่มฝึกกระบี่ช้ากว่าพวกเราสามปี แต่กลับมีความรุดหน้ามากกว่าพวกเราหลายเท่า นางเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านกระบี่ ถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับการอวยพรจากเทพีกระบี่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าเมืองหรือท่านอาจารย์ต่างก็เอ็นดูนางมาก… เจ้าถามออกมาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่?”

“นางไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”

อิ๋นซานตอบ “บัดนี้ นางมีสถานะเป็นภรรยาของท่านเจ้าเมืองแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

ติงซานฉืออุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด “ท่านเจ้าเมือง… ตาเฒ่านั่นแต่งงานกับศิษย์น้องลู่อย่างนั้นหรือ?”

สองคนนี้มีอายุห่างกันกว่า 200 ปี

นับเป็นช่องว่างระหว่างวัยที่แตกต่างกันมากเกินไปจริง ๆ