บทที่ 1061 ไม่ปฏิเสธ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,061 ไม่ปฏิเสธ

ท่านเจ้าเมืองเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงส่ง

ไม่ใช่คนธรรมดา

แล้วเหตุไฉนจึงคิดแต่งงานกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าตนเองหลายสิบเท่า?

นี่ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

หากข่าวลือนี้แพร่สะพัดออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของเมืองไป๋หยุน

คำถามมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจของติงซานฉือด้วยความตกตะลึง

และหลินเป่ยเฉินที่ยืนรับฟังอยู่ด้านข้างก็มีดวงตาหวานเยิ้มขึ้นมาทันที

นี่สิไอดอลของเขา!!

ชายชราแต่งงานกับผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าตนเองหลายสิบเท่า?

คุณชายหลินพยักหน้าด้วยความชื่นชม

วัวแก่กินหญ้าอ่อนที่แท้จริง

เมื่อแก่ชราขึ้นไป หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจว่าจะเป็นให้ได้อย่างท่านเจ้าเมืองผู้นี้บ้าง

ถึงตอนนั้น เขาเองก็คงอยากกินหญ้าอ่อนเช่นกัน

แต่อิ๋นซานกลับสังเกตเห็นสีหน้าของติงซานฉือ นางพอเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงส่ายหน้ายิ้มด้วยความฝืดฝืน พูดว่า “ขออภัยที่ข้าไม่ได้พูดให้ชัดเจนก่อนหน้านี้ แต่ท่านเจ้าเมืองคนเก่าหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาเมื่อสามปีที่แล้ว บัดนี้ผู้ที่ครองตำแหน่งเจ้าเมืองคือฉู่อวิ๋นซุน หลานชายของท่านเจ้าเมืองคนเก่า ศิษย์น้องลู่ของเราแต่งงานกับเขานี่แหละเจ้าค่ะ”

อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นบุคคลรุ่นราวคราวเดียวกัน

นับว่าอายุยังไม่ห่างกันเกินไป

แต่เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ติงซานฉือก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงแสดงความตกตะลึงออกมามากกว่าเดิม

“ช้าก่อน… ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนเปลี่ยนคนแล้ว เหตุไฉนจึงไม่มีผู้ใดรับทราบข่าวนี้?”

ชายชราไม่อยากเชื่อ

เมืองไป๋หยุนไม่ใช่เมืองสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป

แต่ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับมือกระบี่ทุกคนในจักรวรรดิเป่ยไห่

เมืองไป๋หยุนมีความผูกพันกับราชสำนักอย่างแน่นแฟ้น การแต่งตั้งเจ้าเมืองแต่ละครั้งล้วนเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เล่าลือไปทั่วจักรวรรดิ และสำหรับผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองไป๋หยุนได้นั้น นอกจากต้องได้รับความเห็นชอบจากทางราชสำนักแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ได้รับพรจากเทพีกระบี่ และเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอีกด้วย

แต่สามปีก่อน ได้มีการแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ เหตุใดโลกภายนอกจึงไม่รับทราบข่าวนี้?

ต่อให้มีผู้คนพยายามจะปิดข่าว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังทางราชสำนัก

อีกอย่าง เขาได้ยินศิษย์น้องอิ๋นกล่าวว่าท่านเจ้าเมืองคนเก่าไม่ได้เสียชีวิต แต่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา?

ติงซานฉือจำได้ดีว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ท่านเจ้าเมืองคนเก่ามีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสาม

แล้วอยู่ดี ๆ จะหายตัวไปได้อย่างไร?

นี่คือเหตุการณ์ใหญ่ที่สมควรสะเทือนฟ้าสะท้านดิน

ติงซานฉือรู้สึกว่าสมองของตนเองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกแล้ว

ตอนแรก ชายชราเข้าใจว่าตนเองเก็บตัวเร้นกายมานานปีมากเกินไป จึงอาจไม่ทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวเบื้องลึกเบื้องหลังในยุทธภพ แต่เมื่อหันมาดูสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน เจ้าลูกเต่าน้อยกำลังเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าก็เพิ่งรับทราบข่าวนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

เมื่ออิ๋นซานเห็นสีหน้ามึนงงสงสัยของติงซานฉือ นางจึงอธิบายว่า

“เนื่องจากท่านเจ้าเมืองคนเก่าหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ไม่ได้มีการแต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งไว้อย่างเป็นทางการ ในเมืองของเราจึงมีการแย่งชิงตำแหน่งท่านเจ้าเมืองเกิดขึ้น ยอดฝีมือหลายท่านต้องสูญเสียชีวิตไประหว่างการแย่งชิงในครั้งนี้ จนกระทั่งในที่สุด ฉู่อวิ๋นซุนก็ได้กลายเป็นท่านเจ้าเมืองคนใหม่เจ้าค่ะ…”

“เรื่องราวนี้ถูกเก็บให้เป็นความลับสุดยอดในเมืองไป๋หยุน คนภายนอกจะไม่รับรู้ก็ไม่แปลกเจ้าค่ะ”

“ในเวลาเดียวกันนี้ เนื่องจากเมืองไป๋หยุนเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของเทพีกระบี่ การหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของท่านเจ้าเมืองคนเก่า และการขึ้นครองตำแหน่งอย่างไม่เหมาะสมของฉู่อวิ๋นซุน ก็อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองไป๋หยุนต้องเสียหายลงได้ ด้วยเหตุนี้ ทางราชสำนักจึงไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ต่อโลกภายนอก และอนุญาตให้ฉู่อวิ๋นซุนอยู่ในตำแหน่งท่านเจ้าเมืองไปก่อนชั่วคราว จนกว่าพวกเขาจะได้รับทราบข่าวของท่านเจ้าเมืองคนเก่าอีกครั้ง…”

“เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความลับสุดยอด มีเพียงศิษย์เมืองไป๋หยุนระดับสูงเท่านั้นที่รับทราบ”

“ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเราศิษย์เมืองไป๋หยุนกลับมีสถานะไม่ต่างไปจากคนนอก พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกเมือง ทั้งยังถูกจับตามองทุกฝีก้าว…”

อิ๋นซานถอนหายใจและกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ติง ท่านไม่ใช่คนนอกของพวกเรา และท่านก็ถือเป็นศิษย์ระดับสูงของเมืองไป๋หยุน เพราะฉะนั้น ข้าจึงบอกเรื่องราวเหล่านี้กับท่าน”

ติงซานฉือรับฟังด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในเมืองจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายถึงเพียงนี้

เมืองไป๋หยุนคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่แทบทุกคนในจักรวรรดิเป่ยไห่

เหตุไฉนจึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายแรงเช่นนี้?

“หากข้าจำไม่ผิด ฉู่อวิ๋นซุนไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่สักเท่าไหร่ และพลังในการต่อสู้ของเขาก็เทียบไม่ได้เลยกับทายาทคนอื่น ๆ ของท่านเจ้าเมือง ด้วยเหตุผลนี้ ข้าคิดไม่ออกเลยว่าเขาสามารถเอาชนะการประลองและคว้าตำแหน่งเจ้าเมืองมาครอบครองได้อย่างไร?”

ติงซานฉือถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา

อิ๋นซานตอบว่า “เพราะเช่นนั้น ข้าจึงได้เอ่ยถึงศิษย์น้องลู่ไงเจ้าคะ เหตุผลที่ฉู่อวิ๋นซุนสามารถเอาชนะการแย่งชิงบัลลังก์ท่านเจ้าเมืองได้ ก็เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากลู่กวนไห่”

ติงซานฉือหยุดชะงักและสอบถามด้วยความเหลือเชื่อ “ศิษย์น้องลู่ของพวกเรามีอำนาจในเมืองไป๋หยุนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

อิ๋นซานยิ้มแย้มอย่างฝืดฝืน “พูดให้ถูกต้องก็คือ นางไม่ได้มีอำนาจ แต่นางมีความแข็งแกร่งเจ้าค่ะ”

ติงซานฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย “แข็งแกร่งระดับใด?”

อิ๋นซานใช้ความคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบว่า “ไร้เทียมทานในเมืองไป๋หยุน”

ใช่แล้ว

นี่คือคำตอบที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

ติงซานฉือเข้าใจทุกอย่าง

“ขออภัยนะขอรับ ขอข้าน้อยแทรกสักหน่อยเถอะ”

หลินเป่ยเฉินชูมือขึ้นในอากาศและถามด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์อาอิ๋น ความแข็งแกร่งระดับไร้เทียมทานในเมืองไป๋หยุน หมายถึงขอบเขตพลังขั้นไหนขอรับ?”

อิ๋นซานหันมาชำเลืองมองเด็กหนุ่มหน้าหล่อ

นางไม่ได้คิดอะไรมาก จึงมอบคำตอบที่ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องตกตะลึง “ขอบเขตพลังขั้นเซียนระดับสี่”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“เหอ เหอ เหอ”

ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่เมืองไป๋หยุนจะปิดข่าวไม่ให้โลกภายนอกรับทราบความเคลื่อนไหวของตนเอง แต่พวกเขาก็ได้ปิดกั้นตนเองจนไม่รับทราบความเคลื่อนไหวของโลกภายนอกเช่นกัน

มิเช่นนั้น อาจารย์อาหญิงท่านนี้ก็คงรู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือระดับไร้เทียมทานในเมืองไป๋หยุนนั้น หาได้มีค่าไม่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน

เฉียนเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวถึงกับต้องพูดออกมาว่า

“อะไรกัน? แค่เป็นขั้นเซียนระดับสี่ ก็สามารถขึ้นครองเมืองได้แล้วหรือ?”

นางส่งเสียงคำรามออกมาโดยไม่รู้ตัว “อ่อนแอเกินไป หากมาเผชิญหน้ากับนายท่าน แค่นายท่านดีดนิ้วก็สามารถเอาชนะได้แล้ว”

อิ๋นซานได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหยุดชะงัก

นางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

เป็นไปไม่ได้

เด็กหนุ่มผู้นี้จะเก่งกาจถึงระดับนั้นเชียวหรือ?

เพียงเขาดีดนิ้วก็สามารถเอาชนะผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ได้แล้ว?

ต่อให้ท่านเจ้าเมืองคนเก่ายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังไม่กล้าพูดจาคุยโวเช่นนี้เลย

ดูเหมือนสาวรับใช้นางนี้จะไม่รู้เสียแล้วว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร นางเพียงต้องการจะประจบเอาใจเจ้านายของตนเองเท่านั้น จึงได้กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา

อิ๋นซานยิ้ม ไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ

ในอดีต นางก็เคยไร้เดียงสาเช่นนี้

แต่สักวันหนึ่ง โลกที่แสนโหดร้ายก็จะทำลายความไร้เดียงสาเหล่านั้นลงและทำให้เด็กสาวได้เข้าใจว่าชีวิตจริงนั้นมีความอำมหิตมากเพียงใด

นางก็ได้แต่หวังว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายและสาวรับใช้เอวบางของเขาจะสามารถรอดพ้นความอำมหิตของโลกใบนี้ไปได้ให้นานที่สุด

ทันใดนั้น ทุกคนได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้นจากด้านนอกสุสาน

แล้วเงาร่างในชุดเกราะสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พากันทิ้งตัวลงมายืนอยู่หน้าประตูสุสาน

ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์จากสำนักเพลิงสายฟ้านั่นเอง

“พวกมันนี่แหละขอรับ”

“อย่าให้พวกมันหนีไปได้…”

“กราบเรียนผู้อาวุโสจิงเล่ย เป็นเจ้าเด็กหน้าขาวนั่นแหละขอรับ มันไม่ไว้หน้าสำนักเพลิงสายฟ้าเลยสักนิด มิหนำซ้ำ มันยังพูดอีกด้วยว่าผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าอย่างท่าน หาได้มีค่าในสายตาของมันต่างจากสุนัขตัวหนึ่งไม่”

หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์รีบกระพือไฟโทสะให้ลุกโชนอย่างไม่รอช้า

ผู้อาวุโสจิงเล่ยสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเลือดหมู หน้าตามีอายุเพียง 25 – 26 ปีเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลัก ร่างกายสูงใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ ในมือของเขาถือกระบี่ ดูสง่าผ่าเผยราวกับเป็นชนชั้นสูง

ดูเหมือนเขาจะหลงเชื่อคำเป่าหูของลูกศิษย์

หรือไม่เช่นนั้น บางทีผู้อาวุโสจิงเล่ยก็เกียจคร้านมากเกินไปที่จะถามหาความจริง

ทันทีที่ผู้อาวุโสจิงเล่ยปรากฏตัว ดวงตาของเขาก็จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียว

จะมองอะไรนักหนาวะ?

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น

ผู้อาวุโสจิงเล่ยหัวเราะในลำคอ ก่อนถามช้า ๆ ว่า “เจ้าพูดถ้อยคำเหล่านั้นจริงหรือไม่?”

น้ำเสียงดุดัน

ไม่ต่างจากเสือร้ายกระหายเลือด

อิ๋นซานรวบรวมความกล้า รีบอธิบายอย่างตื่นตระหนก “ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว…”

“หุบปาก”

ผู้อาวุโสจิงเล่ยขัดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง…”

จากนั้น เขาจึงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมจิตสังหาร “เด็กน้อย เจ้าคิดอะไรอยู่ เหตุไฉนจึงพูดออกมาเช่นนั้น?”

อิ๋นซานรีบหันมาขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินเป่ยเฉินอธิบายโดยเร็ว

ใครจะไปคิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและตอบว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เป็นข้านี่แหละที่พูดออกไปเอง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเชื่อ ข้าจะพูดให้ฟังอีกสักครั้งก็ย่อมได้ สำหรับในสายตาของข้านั้น เจ้าน่ะมีค่าไม่ต่างไปจากสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง… เป็นอย่างไร เจ้าพอใจในคำตอบของข้าแล้วหรือยัง?”