บทที่ 1062 พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,062 พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร

อิ๋นซานยืนตกตะลึง

นี่เด็กหนุ่มเข้าใจสัญญาณที่นางส่งไปผิดหรือไม่?

นางรีบมองไปที่ติงซานฉือและขยิบตาส่งสัญญาณให้ชายชรา

เร็วเข้า หากไม่รีบห้ามปรามลูกศิษย์ของท่าน ลูกศิษย์ของท่านได้ตายแน่ ๆ

ติงซานฉือพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมายของอิ๋นซาน เขากล่าวว่า “เจ้าลูกเต่าน้อย…”

อิ๋นซานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ลูกศิษย์ไม่เข้าใจ แต่อาจารย์เข้าใจก็ยังดี

อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่พึ่งพาได้

แต่แล้วหญิงวัยกลางคนก็ได้ยินศิษย์พี่ของตนเองกล่าวต่อ “แค่สั่งสอนก็พอ อย่าเอาให้ถึงตาย”

อิ๋นซานกะพริบตาปริบ ๆ

เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่ ท่านเข้าใจความหมายของข้าจริงหรือไม่?

ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น

อิ๋นซานกำลังจะพูดออกมาด้วยความร้อนรนใจอีกครั้ง

แต่มันก็เป็นจังหวะที่หลินเป่ยเฉินลงมือแล้ว

เงาร่างของเขาเคลื่อนไหว

เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วว่องไวราวกับภูตผี

แทบไม่มีผู้ใดสามารถจับความเคลื่อนไหวของหลินเป่ยเฉินได้ทัน

แม้กระทั่งติงซานฉือผู้เป็นอาจารย์

กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้า หลินเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องนำไม้คทาออกมาด้วยซ้ำ

เขาสามารถสยบฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยกำปั้นล้วน ๆ

ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ

ผลัก!

ผู้อาวุโสจิงเล่ยถูกกำปั้นกระแทกเข้าใส่ใบหน้าอย่างแรง

เลือดกำเดาไหลทะลักออกจากจมูกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

เขาไม่มีเวลาได้ชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ

หลินเป่ยเฉินไม่พูดไม่จาสักคำ

ไม่แม้แต่จะส่งเสียงคำรามส่งสัญญาณก่อนการลงมือ

บัดนี้ ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักเพลิงสายฟ้าต่างก็ยืนอยู่ในความเงียบ สีหน้าตื่นตกใจไม่ต่างจากเห็นผีกลางวันแสก ๆ พวกเขาจ้องมองผู้อาวุโสจิงเล่ยล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น ในแววตาบอกชัดถึงความตกตะลึงสุดขีด

ผู้อาวุโสจิงเล่ยพ่ายแพ้แล้วหรือ?

ผู้อาวุโสจิงเล่ยล้มลงแล้ว?

ผู้อาวุโสจิงเล่ยจมูกหัก?

เหตุไฉนผู้อาวุโสจิงเล่ยถึงอ่อนแอเพียงนี้?

ตลอดเวลาที่ผ่านมา… พวกเขาโดนหลอกใช่หรือไม่?

แท้จริงแล้ว ผู้อาวุโสจิงเล่ยไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับห้า

มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะให้แพ้ง่ายดายอย่างนี้ได้อย่างไร?

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ

อิ๋นซานเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน

นางยกมือขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว

ใช่แล้ว นางไม่ได้ตาฝาด

ผู้อาวุโสจากสำนักเพลิงสายฟ้าล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนลูกศิษย์ของติงซานฉือยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม

ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าล้มลงไปนอนอยู่บนพื้น ส่วนเด็กหนุ่มผู้ยโสโอหังยังคงยืนอยู่ที่เดิม

หรือว่า…

อิ๋นซานหันกลับไปจ้องมองที่เฉียนเหมย ก่อนหน้านี้นางตีความเด็กสาวเป็นเพียงสาวงามไร้สมอง ผู้ลุ่มหลงในเจ้านายของตนเองมากเกินไป แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อิ๋นซานก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า หรือสิ่งที่สาวรับใช้ผู้นี้พูดออกมามันจะเป็นความจริง?

ศิษย์พี่ติงไปได้ลูกศิษย์แบบนี้มาจากที่ใดกัน?

หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องโกหก เด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือ

ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ติงซานฉือก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลย

อิ๋นซานอดหันไปชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินอีกครั้งไม่ได้

เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้นี้ยังคงมีกิริยาวาจาก้าวร้าวไม่เปลี่ยนแปลง เขายกมือชี้หน้าผู้อาวุโสจิงเล่ยแห่งสำนักเพลิงสายฟ้าผู้นอนชักกระตุกอยู่บนพื้นดินพร้อมกับกล่าวว่า “เป็นอย่างไร? ฮะ เจ้าจะยอมรับได้หรือยังว่าตนเองนั้นไม่ต่างไปจากสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง?”

เด็กหนุ่มผู้นี้ท่าทางจะสมองไม่ปกติแล้วจริง ๆ

มิน่าเล่า ถึงถูกหลอกลวงให้มาเป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือได้สำเร็จ

อิ๋นซานเริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มรูปหล่อคนนี้ถึงมาเป็นลูกศิษย์ของศิษย์พี่นาง ที่แท้สมองของเขาก็พิกลพิการ ทำให้ศิษย์พี่ติงหลอกลวงมาใช้งานได้ไม่ยากเย็น

บัดนี้

ผู้อาวุโสจิงเล่ยค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นดิน

อย่างแช่มช้า

สีหน้าแสดงออกถึงความโกรธแค้นและสับสน

เขาเงยหน้าจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน

บรรดาลูกศิษย์ของสำนักเพลิงสายฟ้าล้วนตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด

ผู้อาวุโสจิงเล่ยยังคงปลอดภัยดี

ยังคงสามารถต่อสู้ได้

สู้ ๆ นะขอรับ ท่านผู้อาวุโส จงทำให้เด็กหนุ่มจอมยโสผู้นี้ได้รู้ว่าสำนักเพลิงสายฟ้าแข็งแกร่งมากเพียงใด

แสดงฝีมือที่แท้จริงของท่านออกมา สังหารเจ้าลูกเต่าน้อยตัวนี้ทิ้งไป พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น

บรรดาลูกศิษย์ของสำนักเพลิงสายฟ้าพร้อมใจกันให้กำลังใจผู้อาวุโสจิงเล่ยอยู่ในใจ

หลายคนอดส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้

ทันใดนั้น ทุกคนก็เห็นผู้อาวุโสจิงเล่ยปัดเสื้อคลุมของตนเองและจัดแต่งทรงผมเสียใหม่ ก่อนที่เขาจะโค้งตัว 90 องศาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ผู้ต่ำต้อยผิดไปแล้วขอรับ ผู้ต่ำต้อยขออภัยคุณชายเป็นอย่างสูง”

กลุ่มลูกศิษย์สำนักเพลิงสายฟ้ายืนตะลึงลาน

พวกเขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่น ๆ เย็นเฉียบ…

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

ขอโทษกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?

ใจคอจะยอมแพ้แบบนี้จริงสิ?

“นี่คือเงินเก็บทั้งชีวิตของข้าน้อย ประกอบไปด้วยศิลาบูชา 6,000 ก้อน เหรียญทองคำและเหรียญเงินอีก 3,000 ชั่ง ถุงเก็บของวิเศษที่บรรจุอาวุธขั้นสูงจำนวนมาก แต่ละชิ้นล้วนมีราคาไม่ต่ำต้อย… คุณชายหลินได้โปรดรับไปเถอะขอรับ”

ผู้อาวุโสจิงเล่ยประคองถุงเก็บของวิเศษประดับอัญมณีหรูหราในมือทั้งสองข้างยื่นส่งมาให้เด็กหนุ่มด้วยความเคารพนบนอบ

“ว่าไงนะ?”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”

ผู้อาวุโสจิงเล่ยเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างประจบประแจง “ก่อนหน้านี้ผู้ต่ำต้อยไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อสักครู่ถูกต่อยเข้าไปหนึ่งหมัด ผู้ต่ำต้อยจึงจดจำคุณชายได้แล้ว… นับว่าคุณชายหลินยังเมตตาผู้ต่ำต้อยเหลือเกิน บัดนี้ ดวงตาที่มืดบอดของผู้ต่ำต้อยได้กลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง ขอบคุณคุณชายหลินมากขอรับที่ช่วยอบรมสั่งสอนผู้ต่ำต้อยในครั้งนี้”

หลินเป่ยเฉินรับถุงเก็บของวิเศษทั้งสองใบนั้นมาถืออย่างงง ๆ

เขาลองคำนวณน้ำหนักของมันดูเล็กน้อย

พบว่ามีน้ำหนักพอสมควร

“ประเสริฐ พวกเจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

เด็กหนุ่มโบกมือไล่

ในเมื่ออีกฝ่ายยอมจำนนต่อเขาถึงเพียงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจกันมากเกินไป

อีกอย่าง อาจารย์ไม่อนุญาตให้เขาฆ่าใครอยู่แล้ว

“ขอบคุณคุณชายหลินสำหรับความเมตตาขอรับ”

ผู้อาวุโสจิงเล่ยผู้ที่ขณะนี้หัวใจเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะรีบก้มศีรษะคำนับสามครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับนำพาลูกสมุนของตนเองวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

เมื่อพ้นออกมาจากเขตสุสานห่างไกลหลายลี้ ผู้อาวุโสจิงเล่ยจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เขาหยุดชะงักและหันไปมองกลุ่มลูกสมุนของตนเอง

ดวงตาทั้งสองข้างมีความอำมหิตไม่ต่างไปจากกระบี่สองเล่ม

“ผู้อาวุโสขอรับ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่ เหตุไฉน…”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถามออกมาด้วยความสงสัย

“หุบปากของเจ้าซะ”

ผู้อาวุโสจิงเล่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “เรื่องราวในวันนี้ห้ามแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด ใครก็ตามที่ละเมิดคำสั่ง มันผู้นั้นจะต้องตาย”

“ท่านผู้อาวุโสขอรับ สรุปว่าเด็กคนนั้น…”

“ไม่ต้องพูด”

“ผู้อาวุโสขอรับ เจ้าเด็กนั่น…”

“หุบปากเดี๋ยวนี้”

กลุ่มชายฉกรรจ์ถึงจะสงสัยเพียงใด แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบเท่านั้น

ผู้อาวุโสจิงเล่ยหันกลับไปเดินหน้าต่อได้อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดเท้าและหันกลับมาจ้องมองกลุ่มลูกศิษย์ของสำนักเพลิงสายฟ้า ก่อนถามว่า “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร?”

กลุ่มชายฉกรรจ์ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ ในหัวใจอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้

ก็ท่านบอกให้พวกเราหุบปากไม่ใช่หรือ?

ผู้อาวุโสจิงเล่ยพูดเสียงแผ่วเบาราวรำพึงรำพันกับตนเอง “เขามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน เมื่อปีที่แล้วยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มสมองเสื่อมจอมเสเพลผู้หนึ่ง แต่บัดนี้เล่า? แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกแล้ว…”

บรรดาลูกสมุนของสำนักเพลิงสายฟ้าเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกหรือ?

ผู้อาวุโสจิงเล่ยกล่าวต่อไป “เด็กหนุ่มคนนี้มากด้วยตัณหาราคะ พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้างกายเขามีสาวรับใช้สวยงามถึงเพียงใด แต่นั่นก็ยังทำให้หลินเป่ยเฉินพอใจไม่ได้ แม้แต่นักบวชในวิหารหลวงทุกคนก็ตกเป็นของเขา กระทั่งบุตรสาวขององค์จักรพรรดิแห่งเป่ยไห่ก็ยังกลายเป็นนางกำนัลของเขาแล้ว…”

เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตกตะลึง อิจฉาริษยา รวมไปถึงความปรารถนา

“แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของหลินเป่ยเฉินก็คือความโลภและความอำมหิตของเขา ทุกคนที่เขาฆ่าตายจะถูกตัดหัวควักหัวใจ จากนั้นจึงค้นซากศพยึดทรัพย์สินของมีค่า ข่าวลือบอกว่าแม้กระทั่งศพคนตาย เขาก็ยังนำไปขายเพื่อแลกเงิน…”

สีหน้าของผู้อาวุโสจิงเล่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ข้อมูลเหล่านี้มีผู้คนรับทราบไม่มากนัก ปัจจุบัน มีสมาชิกในสำนักเพลิงสายฟ้าเพียงหยิบมือเดียวที่รับทราบเรื่องราวนี้

ตัวเขาเองก็เพิ่งอ่านข้อมูลเหล่านี้มาได้ไม่นาน

คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบตัวจริงของหลินเป่ยเฉินรวดเร็วขนาดนี้

เด็กหนุ่มช่างน่ากลัวสมคำเล่าลือ

โชคดีที่ผู้อาวุโสจิงเล่ยยินดีสละเงินทองของมีค่าในร่างกายเพื่อแลกกับหนทางรอดชีวิตของตนเอง

แต่อย่างไรก็ตาม การรอดพ้นจากเงื้อมมือของปีศาจน้อยตนนี้ได้สำเร็จ ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าต่อการอวดอ้างได้ไม่ใช่หรือ?

เมื่อเห็นบรรดาลูกสมุนของตนเองแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาสุดขีด ผู้อาวุโสจิงเล่ยก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่ใช่น้อย

“สรุปว่าเมืองไป๋หยุนเริ่มเสื่อมโทรมหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นรับตำแหน่ง?”

ในสุสาน บทสนทนาที่ถูกขัดจังหวะได้รับการสานต่ออีกครั้ง

อิ๋นซานพยักหน้าตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นสู่อำนาจ ลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนก็เริ่มบาดเจ็บล้มตายหายสาบสูญไปทีละคนสองคน แม้แต่ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ก็หาได้รอดพ้นหายนะไม่…”