บทที่ 1063 ใครขวางข้ามันต้องตาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,063 ใครขวางข้ามันต้องตาย

เสียชีวิตและหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา?

เรื่องราวเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่นั่นมันเป็นโลกมนุษย์ใบเก่าของหลินเป่ยเฉิน ทว่า หากเกิดเหตุการณ์นี้ในโลกแห่งวรยุทธ์ที่ผู้คนมีทักษะการป้องกันตัวเป็นเลิศ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป

“มีใครสืบสวนเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”

ติงซานฉือขมวดคิ้ว

อิ๋นซานตอบว่า “ข้าเคยลองสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองดูแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย”

“ได้ตรวจสอบกับสำนักกระบี่เริงรมย์หรือไม่?”

ติงซานฉือสอบถาม

ในเมืองไป๋หยุนแบ่งออกเป็นเจ็ดสำนักใหญ่ ประกอบไปด้วยสำนักกระบี่อมตะ สำนักกระบี่เทพยดา สำนักกระบี่พิฆาตมาร สำนักกระบี่ซ่อนรัก สำนักกระบี่เมฆาพลิ้ว สำนักกระบี่เริงรมย์ และสำนักกระบี่มนตรา

ในบรรดาสำนักเหล่านี้ สามสำนักแรกมีจำนวนลูกศิษย์เป็นประชากรมือกระบี่ในเมืองไป๋หยุนถึงสองในสามส่วน

สำนักกระบี่ซ่อนรักทำหน้าที่เป็นเสมือนหอสมุดและคลังเก็บอาวุธ คอยดูแลรักษาทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชา ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ฝึกกระบี่ สมุนไพรวิเศษ ศิลาบูชา โอสถชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงอาวุธทุกรูปแบบ

สำนักกระบี่เมฆาพลิ้วมีไว้เพื่อรองรับการฝึกสอนเชื้อพระวงศ์ นับว่าเป็นสำนักที่มีสถานะพิเศษสูงสุด

ส่วนสำนักกระบี่เริงรมย์จะคอยทำหน้าที่ตรวจสอบมือกระบี่และผู้อาวุโสภายในเมืองไป๋หยุน

และสำนักกระบี่มนตรา ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่าจัดสอนแต่เพียงการใช้กระบี่ในค่ายอาคมและมนตราเท่านั้น ถือเป็นสำนักที่มีศิษย์น้อยที่สุด หลายปีที่ผ่านมา ไม่มีลูกศิษย์จบการศึกษาจากสำนักกระบี่มนตรามานานมากแล้ว สถานะในปัจจุบันจึงไม่ต่างจากสำนักกระบี่ร้างแห่งหนึ่ง

การบาดเจ็บล้มตายและหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของลูกศิษย์เมืองไป๋หยุน เป็นหน้าที่ที่สำนักกระบี่เริงรมย์จะต้องเข้ามาตรวจสอบ

อิ๋นซานพยักหน้า ตอบว่า “ก่อนหน้านี้สำนักกระบี่เริงรมย์ได้พยายามสืบสวนอย่างเต็มที่ และคนของพวกเขาก็หายตัวไปเช่นกันเจ้าค่ะ แม้แต่หัวหน้าสำนักคนเก่าอย่างท่านอาจารย์ฉีเฉาหยางก็ยังหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา หลังจากนั้น ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนัก หากไม่เสียชีวิตก็ทยอยหายตัวไปเช่นกัน มิหนำซ้ำ เรายังไม่พบเจอหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น”

“เรื่องราว… เลวร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

ติงซานฉือพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ

ฉีเฉาหยางคือหัวหน้าสำนักกระบี่เริงรมย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวนาน และเป็นอีกหนึ่งคนที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน

แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็ยังต้องหายตัวไปอย่างลึกลับ?

หลินเป่ยเฉินที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างก็อดตกตะลึงไม่ได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไป๋หยุนชักจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

ท่าทางเขาจะมีเรื่องให้ทำอีกแล้วสิ

“ต่อมา ท่านเจ้าเมืองเข้าร่วมการสืบสวนกับเจ็ดสำนัก แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสความคืบหน้า ในทางกลับกัน ผู้ที่เข้าร่วมการสืบสวนก็เริ่มล้มตายและหายสาบสูญ จนกระทั่ง ณ วันนี้ ในบรรดาหัวหน้าเจ็ดสำนักใหญ่ เหลือแต่เพียงหัวหน้าสำนักกระบี่ซ่อนรักกับหัวหน้าสำนักกระบี่มนตราเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่”

อิ๋นซานยิ้มออกมาด้วยความขื่นขม

ติงซานฉือขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

ให้ตายสิ

สถานการณ์แปลกประหลาดมากเกินไป

มีความไม่ชอบมาพากล

ปริศนาดำมืด

เรื่องราวคงไม่อาจคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย

หลินเป่ยเฉินโพล่งขึ้นมาว่า “งานนี้ต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่นอนขอรับ ข้าน้อยดูหนังมาเฟียมาหลายเรื่องแล้ว”

อิ๋นซานหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ แต่นางก็กล่าวต่อจากบทสนทนาที่ค้างอยู่กับติงซานฉือโดยไม่มีปัญหา “เมื่อหัวหน้าสำนักกระบี่ต่าง ๆ เริ่มล้มหายตายจาก ความแข็งแกร่งของเมืองไป๋หยุนก็เริ่มเสื่อมถอยลง สำนักเพลิงสายฟ้าใช้โอกาสนี้บุกเข้ามายึดครองอำนาจ กลายเป็นผู้ดูแลสัมปทานเก็บค่าคุ้มครองบรรดาพ่อค้าวานิช ซ้ำพวกเขายังทำตัวเลวทรามต่ำช้ามากขึ้นเรื่อย ๆ…”

“ชั่วร้ายเกินไปแล้ว”

เฉียนเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างอดสบถออกมาไม่ได้

นางติดนิสัยของหลินเป่ยเฉินในด้านการเกลียดชังเหล่าคนชั่วมาโดยไม่รู้ตัว

อิ๋นซานเพียงยิ้มอย่างเศร้าหมองและกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ผู้คนเช่นสำนักเพลิงสายฟ้าปรากฏตัวขึ้นสำนักแล้วสำนักเล่า ดังนั้น ท่านเจ้าเมืองจึงเคยพยายามขอความช่วยเหลือจากคนนอก แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ที่ท่านเจ้าเมืองร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไป๋หยุน พวกเขาก็ไม่ได้ทำตัวแตกต่างไปจากสำนักเพลิงสายฟ้าสักนิด”

“และนั่นทำให้ผ่านมาได้หกเดือนแล้วที่ไม่เคยมีเรือเหาะของพ่อค้าวานิชลำใดแล่นเข้ามาค้าขายที่เมืองของเราอีกเลย ศพของผู้เสียชีวิตต่างก็ถูกฝังอยู่ที่นี่ทั้งหมด ส่วนผู้ที่หายสาบสูญไปก็ยังมีผู้คนสวดภาวนาให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยอยู่ทุกวัน… และในเวลาเดียวกันนี้ ชาวเมืองไป๋หยุนก็มีสถานะกลายเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง ต้องยอมก้มหน้าถูกข่มเหงรังแกอยู่เรื่อยไป… ฮื่อ”

พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

นี่คือสิ่งที่อธิบายให้ติงซานฉือได้เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดศิษย์น้องผู้เคยสดใสสวยสง่าและมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสองของเขาจึงดูแก่ชราได้ถึงเพียงนี้

ในใจติงซานฉือย่อมร้อนผ่าวไปด้วยความโกรธแค้น

เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวเช่นนี้จะมาเกิดขึ้นที่เมืองไป๋หยุน

ที่นี่เปรียบดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่ เหตุไฉนมันจึงกลายเป็นลานเริงระบำของปีศาจร้ายไปเสียแล้ว?

“อ้อ จริงด้วยสิ ศิษย์พี่ติง ศิษย์พี่หกคงดีใจมากหากรู้ว่าท่านกลับมาแล้ว”

อิ๋นซานสลัดความเศร้าหมองออกจากจิตใจและเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างเร็วไว

นางต้องทนแบกรับความเจ็บปวดทางจิตใจมาเนิ่นนานมากเกินไปจนแทบจะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ดังนั้น เมื่อได้กลับมาพบเจอติงซานฉืออีกครั้ง กำแพงที่ปิดกั้นความอ่อนแอในจิตใจจึงพังทลายลงมาอย่างช่วยไม่ได้

แต่เมื่อนางพูดจบ หญิงวัยกลางคนก็นึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง

อิ๋นซานเกรงว่าติงซานฉือจะโมโหเดือดดาลและสั่งให้ลูกศิษย์ของเขาไปหาเรื่องสำนักยุทธ์เหล่านั้น

จริงอยู่ที่เด็กหนุ่มมีฝีมือการต่อสู้น่าหวาดกลัว แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าเขาก็ยังสามารถสยบได้ในหมัดเดียว แต่โบราณเคยมีคำพังเพยว่าสองมือหรือจะสู้สี่กร น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ บัดนี้ เมืองไป๋หยุนชุมนุมตัวชั่วร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก หากหลินเป่ยเฉินออกไปต่อสู้อีกครั้ง เขาจะสามารถเอาชนะคนเหล่านั้นได้ทั้งหมดจริงหรือ?

แต่ที่สำคัญก็คือ สำนักยุทธ์เหล่านั้นต่างมีเครือข่ายใต้ดินแน่นแฟ้น เพียงหาเรื่องสำนักหนึ่ง ก็เท่ากับหาเรื่องสำนักอื่น ๆ ไปด้วย

หากเป็นเช่นนั้น ติงซานฉือและลูกศิษย์ของเขาก็คงไม่รอดพ้นความตาย

ด้วยเหตุนี้ อิ๋นซานจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งว่า “ข้าจะพาท่านไปหาศิษย์พี่หก พวกท่านเคยมีความสนิทสนมกันมากไม่ใช่หรือ? ที่ผ่านมาเขาก็คิดถึงท่านมากแล้ว”

“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเจ้าพาข้าไปหาน้องหกก่อน”

ติงซานฉือพยายามสะกดกลั้นความโกรธแค้นในจิตใจ

“อาจารย์ขอรับ ให้ศิษย์ไปจัดการพวกตัวชั่วร้ายที่เก็บค่าผ่านทางบริเวณท่าเรือดีหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

พวกสำนักยุทธ์แปลกหน้าเหล่านั้นกำแหงมากเกินไป

คุณชายหลินไม่อยากรับฟังอีกต่อไป

เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกมันคงสูบเลือดสูบเนื้อจากเมืองไป๋หยุนไปได้เป็นจำนวนมหาศาล

อิ๋นซานรีบส่งสัญญาณห้ามปรามและติงซานฉือก็พูดออกมาเช่นกันว่า “ไปเจออาจารย์อาหกของเจ้าก่อนเถอะ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง ข้าไม่รีบ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง

สมแล้วที่อาจารย์ของเขาเป็นเขยของชาวทะเล คงไม่มีสิ่งใดที่ติงซานฉือจะไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไปแล้วกระมัง

ผู้อาวุโสจิงเล่ยกำชับไม่ให้มีผู้ใดเผยแพร่เรื่องราวของตนเองออกไป

แต่ข่าวสารกลับแพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นาน สำนักยุทธ์น้อยใหญ่ที่อยู่ในเมืองไป๋หยุนต่างก็ได้รู้กันอย่างทั่วถึงว่าผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าของสำนักเพลิงสายฟ้าต้องยอมก้มหัวขอขมาให้แก่เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซ้ำยังต้องสูญเสียทรัพย์สินของมีค่าเพื่อแลกชีวิตตนเองกลับมาอย่างน่าอนาถใจ

ดังนั้น พวกเขาจึงสืบสวนข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว

เมืองไป๋หยุนปิดตายไม่รับข่าวสารจากโลกภายนอก แต่ไม่ใช่กับบรรดาสำนักยุทธ์ที่เข้ามาหากินในเมืองแห่งนี้ บางสำนักรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับวีรกรรมของหลินเป่ยเฉินบนผาดาวตกมาก่อนหน้า ดังนั้น เมื่อนำชื่อและพฤติกรรมของเด็กหนุ่มแปลกหน้ามาเทียบเคียงกัน ผลสรุปที่ได้จึงออกมาชัดเจน

บรรดาหัวหน้ากลุ่มสำนักยุทธ์รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

พวกเขาไม่รู้จะรับมือหลินเป่ยเฉินอย่างไรดี

ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือสมองของเจ้าเด็กคนนี้มีปัญหา

เมื่ออาการทางสมองกำเริบ หลินเป่ยเฉินจะไม่ต่างจากสุนัขบ้าตัวหนึ่ง ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนและไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้

บุคคลที่มีความผิดปกติทางสมองย่อมรับมือได้ยากกว่าคนทั่วไป

“ออกคำสั่งให้คนของเราอย่าไปมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด”

“รีบจัดเตรียมของขวัญเอาไว้เร็วเข้า หากติงซานฉือกับลูกศิษย์ของเขามาปรากฏตัวที่สำนักเราเมื่อไหร่ เราก็จะได้มอบของขวัญขอขมาได้ทันที”

“นี่ จะบอกให้นะว่าข้าไม่เชื่อข่าวลือวีรกรรมบนผาดาวตกอะไรนั่นเลยสักนิด มันก็แค่ข่าวลือที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของจักรวรรดิเป่ยไห่เท่านั้น หากหลินเป่ยเฉินไม่มาหาข้าก็ดีไป แต่หากมันมาหาข้าเมื่อไหร่ ข้านี่แหละจะตัดหัวสุนัขของมันและเตะออกไปจากประตูสำนักด้วยตัวข้าเอง…”

“ออกประกาศไปเลยนะว่าข้าซงชิวอวี่แห่งสำนักสามเหลี่ยมมรณะ กำลังรอรับคำชี้แนะจากหลินเป่ยเฉิน”

หลายสำนักใหญ่มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป

บางสำนักหวาดกลัว

บางสำนักก็ไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน

แน่นอนว่าย่อมมีบางสำนักอยากพบเจอหลินเป่ยเฉินเพื่อพิสูจน์ฝีมืออย่างจริงจัง

เพราะในโลกแห่งวรยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงได้รับความเคารพ

และผู้แข็งแกร่งจะแสดงความหวาดกลัวไม่ได้เด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเรื่องจริง มือกระบี่ทุกคนในจักรวรรดิเป่ยไห่ล้วนเคยได้ยินชื่อของเขา หากสามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้ ผู้ชนะก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน

เมื่อเปรียบเทียบกัน อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินอย่างติงซานฉือ ก็แทบกลายเป็นบุคคลไร้ตัวตนไปเสียแล้ว

ณ จวนประจำตำแหน่งของท่านเจ้าเมือง

บรรยากาศอึมครึม

ในห้องนอนชั้นบนของจวนผู้ว่า หญิงสาวผู้แต่งกายหรูหรานางหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าเตียงของตนเอง นางทอดสายตาจ้องมองเมืองไป๋หยุนที่ตกอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงพลางพึมพำ “ท่านทำอะไรของท่าน? เป็นสุนัขบ้ากัดคนไม่เลือกหรืออย่างไร… แต่ไม่ว่าใครก็ตามมาขวางทางข้า มันผู้นั้นต้องตายสถานเดียว”