ราชันเร้นลับ 1198 : โรคประสาท

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

หลังจากนักบุญเร้นลับ โบทิส เข้าสู่โลกวิญญาณ มันเริ่มท่องเที่ยวทันที ปลายทางคือเขตซากสมรภูมิเทพ ณ สุดขอบตะวันออกของทะเลโซเนีย

แต่ทันใดนั้นเอง สมองของมันพร่ามัวกะทันหันก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกจากโลกวิญญาณในตำแหน่งอื่น

จนกระทั่งโบทิสได้รับคำเตือนจากสัมผัสวิญญาณ จิตของมันทวีความตึงเครียด เมื่อสติเริ่มกลับมาคมชัดอีกครั้ง ภาพที่โผล่ตรงหน้าโบทิสคือผืนป่าเปล่าที่แทบจะไม่มีใบไม้ บริเวณโดยรอบทั้งเงียบเชียบและรกร้าง กึ่งกลางท้องฟ้ามีพระจันทร์แดงห้อยสูง

ในฐานะอดีตนักท่องเที่ยวและโหราจารย์ โบทิสทราบได้ทันทีว่าตนยังอยู่ในเบ็คลันด์ เพียงแต่ย้ายออกจากเขตใจกลางมายังชานเมืองรอบนอก

ขณะเดียวกัน มันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน

โลกแห่งจิตของมันถูกจิตใต้สำนึกของผู้อื่นรุกล้ำโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนจุดหมายในช่วงเวลาสำคัญ!

ครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม! เราไม่ทันสังเกตเห็น! รูม่านตาโบทิสพลันเบิกกว้างพร้อมกับสะท้อนภาพหนังสือมายาสีเงินสว่าง

หนังสือเล่มดังกล่าวถูกพลิกไปยังบางหน้าในครั้งเดียว

โบทิสยกมือขึ้นจับหว่างคิ้ว ดึงกลุ่มเมฆสีเข้มออกจากเกาะแห่งจิตใต้สำนึกซึ่งปรกติแล้วจะสัมผัสไม่ได้ จากนั้นก็โยนเข้าไปในเงาตัวเอง

เงาโบทิสแยกออกจากร่างหลัก บิดเบี้ยวและงอกเงยจนกระทั่งกลายเป็นร่างสตรีผู้หนึ่ง

อัศวินมืด เงาเสื่อมทราม!

นี่คือพลังที่โบทิสบันทึกจากนักบุญมืด คิสม่า สามารถสกัดความคิดที่เสื่อมทรามภายในใจและนำมาผสานเข้ากับเงา จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอิสระที่อยู่นอกเหนือความควบคุม

โบทิสให้มันเพื่อล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ใช่ของตัวเอง เป็นวิธีป้องกันมิให้ถูกจอมบงการควบคุมร่าง!

ขณะเดียวกันก็เป็นการโต้กลับของโบทิส หากครึ่งเทพเส้นทางผู้ชมที่ซ่อนตัวอยู่ไม่สามารถจัดการกับ ‘เงา’ ได้ทันเวลา จิตใต้สำนึกที่เธอแบ่งออกมาจะค่อยๆ กลายเป็นอิสระจนกระทั่งร่างต้นเสียสติ

ทันทีที่ขจัดอันตรายซ่อนเร้นทางจิตได้หมด โบทิสไม่ลังเลที่จะหนีจาก ‘สังเวียน’ ของศัตรูด้วยพลังเทเลพอร์ต

แต่ทันใดนั้นเอง จิตของโบทิสเกิดอาการกระสับกระส่าย มันรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวคือบ่อเกิดของความหงุดหงิดและรำคาญใจ ความเดือดดาลกำลังสุมในอกและต้องการหาที่ระบาย

หลังจากโบทิสพลิกหนังสือมายาสีเงินสว่างตรงหน้า ผืนป่าทั้งหมดพลันพังทลายพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้อง ขณะเดียวกัน ‘เงา’ สีดำด้านข้างโบทิสหดตัวลงจนมีสภาพคล้ายลูกบอล

อาการทางจิตทำให้โบทิสรู้สึกหดหู่เหนือพรรณนา ไม่หลงเหลืองแรงจูงใจที่จะต่อสู้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ เป็นภาระต่อโลกและคนใกล้ตัว

โรคระบาดทางจิต! ในการต่อสู้ก่อนหน้า โบทิสติดเชื้อจากโรคระบาดและเพิ่งเริ่มส่งผล!

การที่แคทลียาเลือกใช้เวทมนตร์ ‘หนูน้อยไม้ขีดไฟ’ ในตอนต้น ไม่ใช่แค่เพราะต้องการรบกวนพลังเทเลพอร์ตของโบทิส แต่ยังเป็นการช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยให้ ‘บุคลิกเสมือน’ ของมิสจัสติสแทรกซึมเข้าไปในโลกแห่งจิตของโบทิสอย่างแนบเนียน จากนั้นก็แอบฝังเมล็ดพันธุ์ของโรคระบาดโดยยังไม่ไปกระตุ้นการทำงาน

ด้วยเหตุนี้ แม้การลอบจู่โจมจะล้มเหลว แคทลียากับออเดรย์ก็ยังกล้าที่จะใช้แผนสำรอง ทำทีแสร้งถอยเพื่อให้นักบุญเร้นลับ โบทิส และนักบุญมืด คิสม่า ตัดสินใจต่างคนต่างแยกย้ายเมื่ออันตรายจบลง

และในตอนสุดท้าย การเผาเถาวัลย์สีเขียวของแคทลียาซึ่งสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ คล้ายกับเธอต้องการดึงดูดความสนใจของหน่วยพิเศษของทางการเพื่อสกัดกั้นการไล่ล่าจากศัตรู แต่ในความเป็นจริง เธอทำเช่นนั้นเพื่อบีบให้นักบุญเร้นลับ โบทิส ล่าถอยทันทีโดยไม่มัวเสียเวลาตรวจสอบสภาพร่างกายในเชิงลึก

ลงเอยด้วย ท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญขณะกำลังใช้เทเลพอร์ต ความคิดของมันถูกบุคลิกเสมือนของออเดรย์ดัดแปลงให้ลงจอดในเขตปลอดคนย่านชานเมืองกรุงเบ็คลันด์ – ทุ่งสังหารที่ชุมนุมทาโรต์เลือก

และในวินาทีที่มันขจัด ‘บุคลิกเสมือน’ ของจอมบงการเสร็จ ‘โรคระบาดทางจิต’ จะถูกกระตุ้นต่อทันที

อันที่จริง ถ้าตอนนั้นโบทิสใช้ ‘การเริ่มต้นใหม่แห่งชะตากรรม’ เร็วกว่าเดิมสักนิด มันอาจย้อนไปยังจุดที่ไม่ถูกบุคลิกเสมือนลอบแทรกซึม แต่โบทิสตัดสินใจเก็บไพ่ตายของตนไว้ใช้ในยามคับขันหลังจากเกือบถูกหอกลองกินุสแทงตาย ซึ่งในเวลาดังกล่าว โบทิสถูกบุกรุกโลกแห่งจิตนานเกินกว่าสามวินาทีแล้ว

ปัจจุบัน โบทิสที่กำลังหดหู่และพยายามต่อสู้กับอาการทางจิต มองเห็นก้อนด้ายมายากลิ้งออกจากความว่างเปล่าเบื้องหน้า

ด้านหลังก้อนด้ายดังกล่าว ด้ายสีสันสดใสทอดยาวออกไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด

มองไปตามเส้นด้ายจะพบแคทลียาที่แต่งกายในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง เดินออกจากโลกวิญญาณและย่างกรายเข้าหาหน้าโบทิสจากด้านหน้า

อันที่จริง เธอไม่มีความสามารถสำหรับไล่ตามศัตรูที่ใช้พลังขัดขวางการทำนาย แต่เธอสามารถเชื่อมต่อกับ ‘บุคลิกเสมือน’ ของจัสติสออเดรย์ได้เพราะเตรียมการไว้ล่วงหน้า!

ทันทีที่มาถึง แคทลียาหลับตาลงพร้อมกับสร้างภาพมายาของโลงศพขึ้นด้านหน้าโบทิส

โบทิสที่กำลังหงุดหงิดและหดหู่จนร่างกายอ่อนเพลียสุดขีด อดไม่ได้ที่จะหลับตาลงและเกิดความรู้สึกอยากทิ้งตัวลงไปนอน

เจ้าหญิงนิทรา!

อีกด้านหนึ่ง บุคลิกเสมือนของออเดรย์ที่อยู่ในรูปลักษณ์เงาดำต่ำทรามและใกล้กลายเป็นอิสระจากร่างต้นเต็มที ยกมือขึ้นมาสัมผัสหว่างคิ้ว

รูม่านตาของเธอกลายเป็นทรงรีแนวตั้ง ดวงตากลายเป็นสีทองซีดเย็นชา

จิตโบทิสแตกสลายในทันที ตามร่างกายมี ‘ฟองแสง’ จำนวนมากผุดขึ้น ภายในฟองแสงมีหนอนแมลงพยายามชอนไชออกมา หนอนดังกล่าวเกิดจากการควบแน่นของแสงดวงดาวโดยที่ส่วนหัวและหางเชื่อมต่อกับความว่างเปล่า

นักจิตบำบัด โรคประสาท!

พลังดังกล่าวสามารถทำให้เป้าหมายระเบิดอารมณ์อย่างท่วมท้นและคลุ้มคลั่งคาที่

เดิมที โบทิสติดเชื้อจากโรคระบาดทางจิตอยู่ก่อนแล้ว ร่างกายอยู่ในสภาวะไม่ปรกติ และในภายหลังยังได้รับอิทธิพลจากเวทมนตร์เจ้าหญิงนิทราจนอารมณ์ดำดิ่งสุดขีด การถูกจุดชนวนด้วย ‘โรคประสาท’ จึงทำให้ครึ่งเทพเริ่มแสดงสัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่ง

ฉวยโอกาสดังกล่าว แคทลียาลืมตาขึ้นพร้อมกับยกมือขวา สร้างลูกบอลทรายจากแสงดาวและบังคับให้พวกมันหมุนวนบนฝ่ามือ

ผืนป่ายามค่ำคืนยิ่งทวีความมืดมิด พระจันทร์แดงเริ่มเลือนหาย แทนที่ด้วยดวงดาวพราวพรายจำนวนมหาศาล

ดวงดาวเคลื่อนคล้อยมารวมกลุ่มกันจนกลายเป็นเสาลำแสงขนาดมหึมาที่งดงาม ปกคลุมผืนป่ารอบตัวนักบุญเร้นลับ โบทิสอย่างท่วมท้น

ท่ามกลางความเจ็บปวด โบทิสที่ได้สติกลับมาหลายส่วนรีบทำให้ร่างกายตัวเองจางลง จากนั้นก็ใช้ ‘บลิงค์’ อีกหลายครั้งจนเกินภาพตกค้างนับสิบภายในป่า

ทว่า มันมิอาจบลิงค์ออกจากม่านดวงดาวไปได้ พลังเทเลพอร์ตก็เช่นกัน

ร่างโบทิสถูกแสงดาวลบเลือนไปทีละหนึ่ง ทั้งหมดทยอยทรุดตัวลงและสลายไปกับความว่างเปล่า จนกระทั่งเหลือบโบทิสคนสุดท้าย มันอยู่ในท่าคุกเข่าพร้อมกับวางมือหนึ่งข้างลงบนพื้น พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต

ร่างกายโบทิสยับเยินสุดขีด ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกับใกล้บ้าเต็มที

ขณะแสงดาวใกล้สิ้นสุดลง มันใช้บลิงค์เพื่อหลบหลีกการโจมตีบุคลิกเสมือนของออเดรย์

จากนั้นก็ยังคงใช้บลิงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างภาพตกค้างใกล้กับแคทลียาและบุคลิกเสมือนของออเดรย์

หนึ่งใน ‘ร่างแยก’ ของมันใช้มือซ้ายจับห้วงมิติใกล้กับบุคลิกเสมือนของออเดรย์เพื่อสร้างมิติซ่อนเร้นกักขังศัตรู

จากนั้นก็บังคับให้อีกหนึ่งร่างแยกกางแขนออก อัญเชิญเสาลำแสงที่ท่วมท้นไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ให้ตกลงมายังด้านบนมิติซ่อนเร้นดังกล่าว

ถัดมา มันบังคับให้อีกหนึ่งร่างแยกแอบ ‘สลาย’ มิติซ่อนเร้น

ส่งผลให้เงาดำต่ำทรามที่เป็นบุคลิกเสมือนของออเดรย์ถูกลำแสงศักดิ์สิทธิ์อาบร่างและแผดเผาในพริบตา

ร่างแยกที่เกิดจากการ ‘บลิงค์’ ของโบทิส สามารถใช้พลังพิเศษของร่างต้นได้เพราะมีหนอนดวงดาวฝังไว้หนึ่งตัว แต่ก็มิอาจคงสภาพได้นานนัก

อีกด้านหนึ่ง นักบุญเร้นลับโบทิสกำลัง ‘ล้อมโจมตี’ แคทลียาจากทุกทิศด้วยการประเคนพลังพิเศษจำนวนมหาศาลภายในสองวินาที

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้แคทลียาต้องใช้เวท ‘ฉลองพระองค์ใหม่ของจักรพรรดิ’ อย่างต่อเนื่องเพื่อหลบหลีก ส่งผลให้เธอไม่สามารถโจมตีโต้กลับได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เรียกว่าตกเป็นฝ่ายตั้งรับโดยสมบูรณ์

ไม่กี่วินาทีถัดมา การบลิงค์ของโบทิสเริ่มชะลอลง ความบ้าคลั่งในใจก็เริ่มถูกบรรเทา

แต่ทันใดนั้น สัตว์ยักษ์ขนาดมหึมาที่มีเกล็ดสีเทาหนาปกคลุมร่างโผล่ขึ้นด้านนอกป่า

ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนที่ถูกฉาบด้วยแสงจันทร์สลัว ลมหายใจล่องหนพรั่งพรูมาจากด้านบนและท่วมท้นโบทิสไปพร้อมกับแคทลียา

ครึ่งเทพทั้งสองรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า จิตใจของพวกมันถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างกายวิญญาณเจ็บแปลบประหนึ่งถูกเจาะทะลวง

ลมหายใจมังกรจิต!

ด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่เป็นทุนเดิม รวมถึงการผลาญไพ่ตายไปมากมาย โบทิสจึงมิอาจกระทำสิ่งใดได้นอกจากยืนเหม่อลอยด้วยสมองที่ว่างเปล่า ร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม

สำหรับแคทลียา เธอพกพา ‘กระดาษคนจันทรา’ ที่ได้รับจากเมจิกเชี่ยนฟอร์ส ช่วยให้ป้องกันการทะลวงจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ!

แม้จะมิอาจขจัดผลด้านลบของลมหายใจมังกรจิตได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็มากพอจะทำให้แคทลียาฟื้นตัวได้เร็วกว่า

นี่คือช่องว่างที่ใหญ่มากในการต่อสู้ระหว่างครึ่งเทพ!

ไม่กี่วินาทีถัดมา ดวงตาแคทลียาเริ่มกลับเป็นปรกติ ส่วนออเดรย์ที่อยู่ในร่างมังกรและกำลังซ่อนตัวด้านนอกป่า ลงมือใช้พลัง ‘ช่วงชิงจิตใจ’ ใส่โบทิสอีกครั้ง

แคทลียายกมือขวาขึ้นและควบแน่นหอกยาวสีเลือดโดยปราศจากความลังเล จากนั้นก็ขว้างไปทางนักบุญเร้นลับ โบทิส

คราวนี้โบทิสหมดสิทธิ์หลบหลีกหรือเอาตัวรอดโดยสิ้นเชิง หน้าอกของมันถูกหอกลองกินุสทะลวงผ่านอย่างโหดเหี้ยม

ร่างของมันชะงักงันเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงโดยสมบูรณ์ แปรสภาพเป็นหนอนดวงดาวระยิบระยับจำนวนมาก

หนอนดวงดาวสลายไปบางส่วน บางส่วนกัดกินกันเอง และบางส่วนผสานเข้าด้วยกันในจุดห่างไกล กลายเป็นโบทิสในร่างใหม่

ดวงตาของโบทิสกำลังเหม่อลอย มันทรุดลงไปอีกครั้งพร้อมกับเผยให้เห็นร่างสัตว์ในตำนานที่อ่อนแอสุดขีด

ทันใดนั้นเอง ประตูมายาปรากฏขึ้นด้านข้างโบทิส เป็นบานที่มีสีเทาอมฟ้าและมีรูกุญแจทองเหลืองเจ็ดรู

ประตูมายาบานดังกล่าวเปิดออกอย่างรวดเร็วและพ่น ‘กล่องอัญมณี’ ที่เลี่ยมด้วยอัญมณีมากมาย

กล่องวันวานที่เคยถูก ‘เนรเทศ’ ถึงคราวกลับมายังโลกแห่งความจริง

โบทิสหยิบกล่องด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง เผยรอยยิ้มแสนชั่วร้ายและกระหายเลือดก่อนจะออกแรงเปิดฝา

ชั้นล่างสุด!

……………………………