ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 หรือการกลับไปอยู่ในสถานะเดิม เฮอร์มิทแคทลียา และจัสติสออเดรย์ ไม่คาดการณ์เผื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่แผนสังหารครึ่งเทพที่เพิ่งคิดขึ้น
หากโบทิสไม่ตกหลุมพรางและเผชิญกับโรคระบาดทางจิต เจ้าหญิงนิทรา และโรคประสาทจนตกอยู่ในภาวะใกล้บ้า มันคงมีวิธีมากมายในการเทเลพอร์ตหนีอย่างต่อเนื่องจนสองสาวยากจะยับยั้ง
หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แคทลียากับออเดรย์ก็จะรอให้โบทิสกลับไปยัง ‘เซฟเฮาส์’ เพื่อปล่อยฟอร์สออกมาสอบปากคำ เมื่อถึงเวลาที่เนตรผู้ส่องความลับกลับมาทำงาน พวกเธอจะสร้างอิทธิพลทางไกลเพื่อเปิดช่องว่างให้มิสเมจิกเชี่ยนอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์
แต่ปัจจุบัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโบทิสที่เสียสติจนย้อนกลับไปเป็นปรกติไม่ได้อีกแล้ว แถมยังพยายามเปิดใช้งานสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 อย่างเต็มกำลัง แคทลียาซึ่งอยู่ใจกลางสนามรบ รวมถึงออเดรย์ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกป่า ต่างลงมือทำในสิ่งคล้ายคลึงกันคือการนำยันต์โลหะโปร่งใส่ออกมาถือและเปล่งภาษาคนยักษ์:
“ดารา!”
นี่คือยันต์เทเลพอร์ตที่ไคลน์สร้างขึ้นเองโดยอาศัยลวดลายและอักขระที่บันทึกไว้บน ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’
ในเมื่อปราสาทต้นกำเนิดสามารถข้ามไประดมพลังของเส้นทางนักจารกรรมได้ ก็ย่อมต้องระดมพลังของเส้นทางผู้ฝึกหัดได้เช่นกัน!
สำหรับวัสดุที่จำเป็นในการสร้างยันต์ ทั้งปราชญ์พิศวงอย่างแคทลียา และนักท่องเที่ยวอย่างฟอร์สย่อมมีความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับที่เกี่ยวข้องในระดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนไปถึงเดอะฟูล
โบทิสแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะสองสาววางแผนเตรียมถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในยันต์เพื่อเทเลพอร์ตหนีแล้วค่อยวกกลับมาตรวจสอบสถานการณ์ในอีกสองสามนาทีข้างหน้า แต่ไม่กี่อึดใจถัดมา ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งของมันกลับต้องชะงักงัน
ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด มันก็มิอาจเปิดชั้นล่างสุดของกล่องวันวานได้!
มันหนักมาก ราวกับถูกกดทับด้วยชั้นพลังที่มองไม่เห็นจำนวนมากจนไม่สามารถเปิดออก
โบทิสรู้สึกเหมือนตนกำลังพยายามเปิดโลกทั้งใบ ไม่ใช่กล่องหนึ่งกล่อง
ผ่านไปสักพัก มันตระหนักถึงบางสิ่งจนความบ้าคลั่งในดวงตาเลือนหายไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยความประหลาดใจและสยองขวัญสุดขีด
แปะ แปะ ผิวกายโบทิสทยอยหลุดลอก เมื่อหล่นสัมผัสกับพื้น พวกมันเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นหนอนส่องแสงระยิบระยับ
หนอนแมลงเหล่านี้มีลำตัวบิดงอเป็นครึ่งวงกลม รายล้อมด้วยวงแหวนแห่งแสงจนดูคล้ายประตูมายา
โบทิสผู้อยู่ในร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ ร่างกายพังครืนและสลายไปอย่างมิอาจยับยั้ง
ดวงตาทั้งสองหล่นจนเปื้อนดิน
ดวงตาเหล่านี้คล้ายกับถูกแช่แข็ง ความหวาดกลัวและตกตะลึงยังคงยกถูกรักษาไว้ในสภาพสมบูรณ์ เป็นอวัยวะที่ยังไม่สลายไปส่วนสุดท้ายของร่างกาย
จอมเวทลึกลับ ครึ่งเทพลำดับ 4 เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
แปะ
กล่องวันวานสีเงินทึบที่เลี่ยมอัญมณีหลายชนิดหล่นลงมาอยู่ข้างดวงตาหนึ่งคู่ของโบทิส ภายนอกดูเหมือนกับกล่องหรูหราธรรมดาที่ตระกูลขุนนางชอบใช้
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ไคลน์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกพร้อมกับลดคทาเทพสมุทรในมือลง
ชายหนุ่มกำลังระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดและเตรียมส่งพายุสายฟ้าลงไปก่อนที่โบทิสจะเปิดกล่องวันวานสำเร็จ แต่กลับกลายเป็นว่า นักบุญเร้นลับล้มเหลวในการงัดไพ่ตายออกมาแลกชีวิตกับสองสาว และเป็นฝ่ายเสียชีวิตไปเองอย่างเหนือความคาดหมาย
หลังจากซิลออกจากสนามรบ เธอสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลตามแผนที่วางไว้ ช่วยให้ไคลน์หาโอกาสเข้ามายังมิติเหนือสายหมอกและจับตามองสถานการณ์ผ่านดาวแดงของเฮอร์มิทกับจัสติส
และหลังจากย้ายสนามรบ ออเดรย์หาโอกาสสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ไคลน์จึงสามารถส่งพลังไปยังโลกความจริงผ่านดาวแดงของเธอโดยตรง
เป็นเหตุผลว่าทำไมร่างต้นของออเดรย์ถึงมายังจุดนัดพบช้ากว่าเฮอร์มิท แคทลียา
“จากข้อมูลของอาโรเดส ชั้นล่างสุดของกล่องวันวานซุกซ่อนที่สิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างมากเอาไว้… เราเคยคิดว่าพระผู้สร้างแท้จริงจงใจมอบให้โบทิสใช้สร้างหายนะในช่วงเวลาวิกฤติ เป็นการสำแดงฤทธิ์เดชของเทพมาร… แต่กลับกลายเป็นว่า มันเปิดไม่ออก…” ไคลน์ชำเลืองไปทางดาวแดงตัวแทนมิสจัสตินและพบว่าผิวของดาวกำลังถูกเคลือบด้วยชั้นของแผ่นบางสีเทาเข้ม ส่งผลให้มิอาจมองเข้าไปหรือตรวจสอบสภาพปัจจุบันของมิสเมจิกเชี่ยน
นี่คือครั้งแรกที่มันเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่ากล่องวันวานลึกลับและน่าสะพรึงเพียงใด
นอกจากนั้น เวทมนตร์เจ้าหญิงนิทราและหอกลองกินุสของแคทลียา ช่วยให้มันผุดแนวคิดบางอย่าง
หลังจากฟังนิยามของพลัง ‘สำแดงความรู้’ ในชุมนุมย่อย ไคลน์เริ่มมองนิทานปรัมปราของแบร์นาแดตในแง่มุมใหม่
เดิมทีชายหนุ่มเข้าใจว่าจักรพรรดิแต่งนิทานเหล่านี้ขึ้นมาเองเพื่อเล่าให้ลูกสาวฟังโดยดัดแปลงจากนิทานของโลกเก่า หรือไม่ก็เป็นแบร์นาแดตที่รื้อฟื้นนิทานขึ้นมาหลังจากจักรพรรดิเสียชีวิตเพื่อเป็นการระลึกถึง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะนิทานบางเรื่องที่มีต้นกำเนิดก่อนยุคสมัยที่หนึ่งนั้นเข้าข่าย ‘ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับ’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นิทานเหล่านี้เคยเกิดขึ้นจริงและแพร่กระจายผ่านการบอกเล่าปากต่อปากหรือไม่ก็การบันทึก จากนั้นชนรุ่นหลังจึงมาทำการดัดแปลงเป็นนิทานกล่อมเด็ก
ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับคำพยากรณ์ที่ว่า เมื่อดวงดาวเรียงตัวในตำแหน่งที่ถูกต้อง มหาต้นกำเนิดจะกลับมา… ศาสตร์เร้นลับเคยมีอยู่บนโลกเก่ามานานแล้วและไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่ถูกผนึกไว้โดยบางสิ่งหรือไม่ก็พลังบางชนิด…
ถ้าเป็นแบบนี้ หลายๆ ตำนานของโลกสามารถอธิบายได้ง่ายดายจากอีกแง่มุมหนึ่ง… การมีอยู่จริงของหอกลองกินุสก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอีกต่อไป… ชักสงสัยแล้วว่าตำนานของจีนอย่างสวนดอกท้อแสนสวรรค์เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับไหม… ไว้หลังจากนี้เราจะเล่าบางเรื่องให้มาดามเฮอร์มิทฟัง ดูว่าเธอสามารถสร้างเวทมนตร์จากมันได้หรือไม่…
เรายังไม่รู้ว่าแบร์นาแดตกลายเป็นปราชญ์พิศวงก่อนที่จักรพรรดิจะร่วงหล่นหรือไม่ เพราะถ้าใช่ ก็มีแนวโน้มว่าเวทมนตร์จากเทพนิยายเหล่านี้จะถูกจักรพรรดิสร้างขึ้นเป็นคนแรกในสมัยยังเป็นลำดับหนึ่ง จักรพรรดิความรู้… แต่ถ้าไม่ใช่ก็แปลว่าราชินีเงื่อนงำสร้างเวทมนตร์เหล่านี้ขึ้นเอง… แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน จักรพรรดิก็น่าจะค้นพบว่า ‘เทพนิยาย’ ของโลกเก่าคือสิ่งเดียวกันกับ ‘ศาสตร์เร้นลับ’ และพยายามดึงพลังของพวกมันออกมาใช้งาน… น่าเสียดายที่ไดอารีจากแบร์นาแดตไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันเขียนไว้ ยากที่จะคาดเดาข้อเท็จจริง…
หรือการที่เขายืนกรานจะไปท่องดวงจันทร์ก็เพื่อที่จะยืนยันบางสิ่ง?
น่าเสียดายที่ตำนานส่วนใหญ่เป็นเรื่องแต่ง ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้ รวมถึงนิยายจากยุคอินเทอร์เน็ตด้วย… ไคลน์ถอนหายใจแผ่วพลางเอนหลังพิงพนักสูง สายตาจ่อจออยู่กับการต่อสู้ของสองสาว
ณ ป่าเสื่อมโทรม แคทลียาและออเดรย์ที่ได้เห็นโบทิสทำลายตัวเอง เข้าใจกันโดยปริยายและเลิกถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในยันต์
ออเดรย์ที่อยู่ในร่างมังกรยังคงซ่อนตัวที่ใดสักแห่งด้านนอกป่า คอยระวังเหตุไม่คาดฝันจากครึ่งเทพของหน่วยพิเศษทางการที่อาจสัมผัสถึงความวุ่นวายและรุดหน้ามายังที่นี่
สำหรับแคทลียา เธอใช้สายลมส่งตัวเองมายืนอยู่ด้านข้างศพโบทิสโดยพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้กล่องวันวาน
เนื่องจากนักบันทึกมีพลังพิเศษหลากหลายชนิด สมบัติปิดผนึกที่พวกมันพกพาจึงต้องโดดเด่นและน่าสะพรึงโดยแท้จริง และส่วนใหญ่มักมาพร้อมผลข้างเคียงที่รุนแรง นอกจากกล่องวันวาน โบทิสยังมีสิ่งที่คล้ายกับกระเป๋าสีดำซึ่งเย็บติดเป็นเนื้อเดียวกับชุดคลุม
นอกจากสมบัติปิดผนึกก็ยังมีดวงตาหนึ่งคู่ ก้อนตะกอนพลัง และหนอนดวงดาวอีกราวสิบตัว – หนอนที่เหลือถูกทำลายไปหมดแล้ว
เมื่อพิจารณาจากความน่าสะพรึงที่กล่องวันวานแสดงให้เห็น รวมถึงเรื่องที่โบทิสคือสมาชิกระดับสูงของชุมนุมแสงเหนือซึ่งอาจเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพมาร แคทลียาไม่บุ่มบ่ามเดินเข้าไปสัมผัส ด้วยเกรงว่าอาจเกิดอุบัติที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ก่อนหน้านี้เคยมีการปรึกษากันในชุมนุมย่อยถึงวิธีกับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกมันได้ข้อสรุปว่าหากมีเวลาและโอกาส ให้สังเวยทุกสิ่งให้กับมิสเตอร์ฟูลจึงค่อยจัดสรรกันบนมิติหมอก เพราะต้องไม่ลืมว่าสมบัติหลายชิ้นจะมอบผลข้างเคียงด้านลบทันทีที่สัมผัส และมีโอกาสสูงมากที่โบทิสจะครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0
สำหรับสมบัติปิดผนึกบางชิ้น เพียงแค่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมันก็มากพอจะทำให้เสียชีวิตคาที่
จากคำอธิบายของเดอะสตาร์ เลียวนาร์ด หากเป็นไปได้ก็ไม่ควรไปสัมผัส สอบถาม หรือพยายามส่องความลับสมบัติวิเศษ มีเพียงตัวตนระดับสูงเท่านั้นที่สามารถมองข้ามผลข้างเคียงไปได้
โดยปราศจากความลังเล แคทลียาหยิบเทียนไขและเครื่องพิธีกรรมอื่นๆ ออกจากกระเป๋าของชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง จากนั้นก็ลงมือประกอบพิธีกรรมสังเวยอย่างเรียบง่าย
ระหว่างนั้นก็เม้มริมฝีปากและผิวลม สร้างคนรับใช้ที่มองไม่เห็นให้คอยช่วยจัดแจง ผ่านไปเพียงสิบวินาที แท่นบูชาสำหรับพิธีกรรมสังเวยก็ถูกเตรียมเสร็จอย่างเรียบร้อย
หลังจากเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของมิสเตอร์ฟูลและใช้วัตถุวิญญาณเปิดประตูแห่งการสังเวยและรับมอบ แคทลียาถอนหายใจผ่อนคลายพลางนำดวงตา ตะกอนพลัง กล่องวันวาน และหนอนดวงดาวมาวางบนแท่นบูชา
ท่ามกลางเสียงสายลมพัดผ่าน วัตถุทั้งหมดลอยขึ้นและถูกดูดเข้าไปในบานประตูมายา
ได้เห็นฉากตรงหน้า แคทลียาเม้มริมฝีปากล่างด้วยนิ้วโป้งและชี้ เตรียมผิวปากอีกครั้งเพื่อสลายคนรับใช้ล่องหน
แต่หลังจากผิวปาก คนรับใช้ของเธอกลับยังแน่นิ่งประหนึ่งไม่มีหน้าที่ต้องฟังคำสั่งจากแคทลียา
เปลือกตาแคทลียากระตุกแผ่วเบา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาในลักษณะกำหลวมและเตรียมใช้ ‘แตรเขาสัตว์เวทมนตร์’
ทันใดนั้นเอง กลุ่มอสรพิษสายฟ้าสีเงินสว่างโผล่ขึ้นจากอากาศว่างเปล่าเหนือแท่นบูชา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นพายุแห่งการทำลายล้างและกระหน่ำจู่โจมใส่คนรับใช้ล่องหนด้านล่าง
ทุกสิ่งจบลงอย่างรวดเร็ว คนรับใช้ที่กลายพันธุ์ถูกทำลายโดยสมบูรณ์
แคทลียาถอนหายใจแผ่ว ก้มหน้าลงพลางกล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้ง
จากนั้นก็ยุติพิธีกรรมและเก็บกวาดสิ่งของ ปิดท้ายด้วยการเก็บกวาดสถานที่ด้วยเวทมนตร์ ‘สโนว์ไวท์’ ซึ่งสามารถขจัดร่องรอยและทำนายถึง
สำหรับออเดรย์ เธอได้ใช้ยันต์เทเลพอร์ตเพื่อกลับไปก่อน
แคทลียามองไปรอบตัวและพิจารณาว่า มิสเตอร์ฟูลน่าจะปรารถนาให้จุดเกิดเหตุมีความเป็นพิธีการมากขึ้น จึงดึงไพ่ออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมและโยนลงบนผืนป่าเสื่อมโทรม
ไพ่ปักลงบนดินครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นภาพชายชราหนึ่งคนกำลังถือไม้เท้าและตะเกียงแก้วนำทาง
ไพ่ทาโรต์ เฮอร์มิท
………………………………