ราชันเร้นลับ 1201 : มืออาชีพ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ดวงตาทั้งสองข้างของโบทิสกลายเป็นสีดำสนิท เปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนกที่ยากจะบรรยายจนไคลน์รู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับสัมผัสถึงการผันแปรทางอารมณ์ที่เข้มข้นขณะอีกฝ่ายกำลังเสียชีวิต

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดร่วมกับการใช้พลังทำนาย ไคลน์ยืนยันว่าดวงตาทั้งสองของโบทิสปราศจากตะกอนพลังในตัวเอง แต่ซ่อนจิตตกค้างที่แข็งแกร่งและพลังลึกลับเอาไว้ สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการสาปแช่งหรือสร้างอิทธิพลโดยตรงต่อเป้าหมาย… เป็นวัตถุทางวิญญาณที่มี ‘อายุขัย’ ยาวนานและเต็มไปด้วยอันตราย

พกพาติดตัวนานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้จิตใจอ่อนแอ หรือไม่ก็ฝันร้ายทุกวันจนเกิดการกลายพันธุ์… ไคลน์อัญเชิญกล่องโลหะสี่เหลี่ยมขึ้นมาและนำดวงตาของโบทิสเข้าไปเก็บ

ชายหนุ่มไม่คิดจะทำให้บริสุทธิ์ เพราะเมื่อวัตถุถูกบดขยี้จนมลพิษหายไป พลังวิญญาณจะหายไปด้วย และนั่นถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย

เนื่องจากหนอนดวงดาวไม่มีความผิดปรกติและเป็นวัตถุดิบที่ไคลน์รู้จักดีที่สุดจากบรรดาทั้งหมด มันจึงมองข้ามและหันไปสนใจกระเป๋าสีดำก่อน

ผลของการทำนายทำให้ชายหนุ่มต้องประหลาดใจ เพราะสิ่งนี้ถูกจำแนกให้เป็นวัตถุประเภท ‘ห้วงมิติ’

พิจารณาจากภายนอก กระเป๋าใบนี้ควรจะใส่สิ่งของได้แค่ประมาณฝ่ามือผู้ใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ปริมาตรบรรจุของมันกลับเทียบเท่าหอพักสองห้องนอนที่ครอบครัวของโมเร็ตติเคยอาศัยในเมืองทิงเก็น สามารถบรรจุสิ่งของได้มากมาย

นี่คือสิ่งที่โบทิสสร้างขึ้นด้วยพลังจอมเวทลึกลับ ในทางหลักการ ตัวกระเป๋าไม่ใช่คลังเก็บ แต่เป็นทางเข้าและทางออก

…อาศัยพลังของมิติซ่อนเร้นเพื่อบิดเบือนและแบ่งแยกห้วงมิติภายในโลกวิญญาณ จากนั้นก็อาศัยธรรมชาติอันวุ่นวายของโลกวิญญาณเพื่อสร้างการซ้อนทับระหว่างโลกวิญญาณและความจริง… ตราบใดที่ระบุพิกัดได้อย่างถูกต้อง ทุกคนสามารถ ‘เข้าถึง’ ตำแหน่งดังกล่าวได้โดยตรง… ปากกระเป๋าใบนี้เปรียบเสมือน ‘ประตู’ ที่นำพาไปสู่มิติซ่อนเร้น…

วิธีนี้คล้ายกับการปิดผนึกกล่องวันวานมาก ยกเว้นเพียง วิธีหนึ่งจะสร้าง ‘ประตู’ ในโลกวิญญาณ ส่วนอีกวิธีจะสร้างประตูบนโลกความจริง โดยวิธีหลังจะทำให้ผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกและสมบัติวิเศษ ยังคงส่งผลกับผู้พกพา ‘กระเป๋าห้วงมิติ’ …

สำหรับเรา ประโยชน์ใช้สอยของมันไม่ได้มากมายอะไร แถมยังไม่มีวิธีอิทธิพลด้านลบ… เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณได้ในดินแดนเทพทอดทิ้ง ส่งผลให้กระเป๋าใบนี้ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์…

นอกจากนั้นเรายังต้องคอยใช้พลัง ‘มิติซ่อนเร้น’ เป็นระยะ ไม่อย่างนั้นมิติจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา… เหมาะสำหรับครึ่งเทพเส้นทางผู้ฝึกหัด หรือไม่ก็องค์กรที่มีครึ่งเทพเส้นผู้ฝึกหัดคอยบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง…

ชื่อ ‘กระเป๋าห้วงมิติ’ ฟังดูเชยไปหน่อย… แต่เราก็ไม่รู้ว่าโบทิสเคยเรียกมันว่าอะไร… เรียกมันว่า ‘กระเป๋าของนักท่องเที่ยว’ ก็แล้วกัน… หลังจากยืนยันอันตราย ไคลน์เสกมือเทียมเข้าไปในกระเป๋าสีดำ

แกร่ก! อัญมณีจำนวนมากพรั่งพรูออกมาพร้อมกับมือเทียมที่หดกลับ หลังจากร่วงกราวลงบนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ อัญมณีสีแดง ฟ้า เขียว ขาวอ่อน และดำเข้มพลันส่องประกายระยิบระยับ แสงโปร่งใสสะท้อนจนเต็มการมองเห็นของชายหนุ่ม

…นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้… วัตถุดิบที่สอดคล้องกับเส้นทางผู้ฝึกหัดคืออัญมณี… อัญมณีล้วนๆ … ไคลน์เผยรอยยิ้มสดใสพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหยิบอัญมณีขึ้นมาสองสามเม็ดเพื่อชั่งน้ำหนักและพิจารณาวัสดุ

นอกจากนั้นยังมีวัสดุวิญญาณอีกหลายชิ้นใน ‘กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยว’ บ้างเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป แต่บ้างก็เป็นวัสดุหายาก

กล่องวันวาน ตะกอนพลังจอมเวทลึกลับ แมลงดวงดาว ดวงตาโบทิส กระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยว อัญมณีและวัตถุดิบวิญญาณ… ปฏิบัติการคราวนี้มอบผลตอบแทนสูงทีเดียว สามารถแบ่งปันให้ทุกคนอย่างเพียงพอ…

น่าเสียดายที่โบทิสสามารถบันทึกพลังพิเศษได้หลายชนิด ตัวมันจึงแทบไม่ต้องพกพาสมบัติวิเศษ เพราะการทำแบบนั้นจะมีแต่สร้างผลเสียด้านลบให้ร่างกาย… ในฐานะครึ่งเทพ มันควรจะพกพาสมบัติปิดผนึกติดตัวมากกว่านี้อีกสักชิ้นสองชิ้น… ไม่รู้ว่ายังมีซ่อนไว้ในมิติซ่อนเร้นของโลกวิญญาณบ้างไหม หรือไม่ก็ในสำนักงานใหญ่ของชุมนุมแสงเหนือ… น่าเสียดายที่ดวงวิญญาณโบทิสแหลกสลายโดยสมบูรณ์ หมดโอกาสให้เราสื่อวิญญาณเพื่อถามตอบ… ไคลน์ส่ายหน้าก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง มันมองหาจุดซ่อนตัว วางตะเกียงลง จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ

มันอยากทราบว่าตนสามารถนำสมบัติปิดผนึกรหัส 0-61 ‘กล่องวันวาน’ ลงมายังดินแดนเทพทอดทิ้งได้หรือไม่

หากทำได้ ไคลน์จะลองสลับเมืองเงินพิสุทธิ์กับสภาพแวดล้อมภายในกล่องชั้นแรก จากนั้นก็สลับอีกครั้งกับโลกด้านนอกผ่านพิธีกรรมสังเวยและรับมอบบนมิติหมอก ด้วยวิธีนี้ มันจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบุกฝ่าวังราชาคนยักษ์และห้องบรรทมของซาสเรีย เป็นการเสร็จสิ้นพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์อย่างง่ายดายและชาญฉลาด

หลังจากยุ่งวุ่นวายสักพัก ไคลน์ที่เตรียมการเสร็จเหยียดแขนขวาเพื่อดึงภาพฉายของตัวเองออกมา จากนั้นก็นำร่างต้นวิ่งเข้าไปในหลบช่องว่างประวัติศาสตร์ช่วงก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง

มันกังวลว่ากล่องวันวานจะสุ่มสร้างอิทธิพล ‘ตายคาที่’ ทันทีที่ข้ามผ่านประตูแห่งการสังเวยและรับมอบ

ท่ามกลางประกายแสงในทุ่งสายหมอกสีเทา ไคลน์เดินถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองกลับเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนของตัวเอง

หลังจากประตูแห่งการสังเวยและรับมอบก่อตัวเป็นรูปร่าง ชายหนุ่มเปิดมันอย่างเชื่องช้า โบกมือแผ่วเบาเพื่ออัญเชิญกล่องวันวานที่ห่อหุ้มด้วยชั้นพลังงานเข้มข้น จากนั้นก็โยนผ่านประตูมายา ส่งมันไปยังความมืดอันไร้ก้นบึ้งด้านหลังประตู

ทันใดนั้นเอง ความว่างเปล่าภายในความมืดพลันก่อตัวเป็นรูปทรง ประหนึ่งบาเรียล่องหนที่คอยปิดกั้นการผ่านเข้าออก ส่งผลให้กล่องวันวานทำได้เพียงลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้

ไคลน์ขมวดคิ้วกับฉากตรงหน้า จากนั้นก็พยายามระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดและผลักออกไป แต่ก็สุดท้ายล้มเหลวในการช่วยให้กล่องวันวานฝ่าบาเรียล่องหนออกไป

อย่างที่คิด… ดินแดนเทพทอดทิ้งถูกผนึก… เป็นเพราะเราควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง จึงยังตอบสนองบางสิ่งได้ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกเรื่อง… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาก่อนจะนำกล่องวันวานกลับมาโยนใส่กองขยะ

จากนั้นก็เสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์เทียมขึ้นมาสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกล่องวันวานให้มาดามเฮอร์มิทและมิสจัสติสทราบ

ส่วนหนึ่งเป็นการตักเตือนว่าพวกเธอต้องรีบนำกล่องวันวานกลับไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อช่วยเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส

นอกจากนั้นไคลน์ยังเตือนมิสจัสติสว่า หากจะประกอบพิธีกรรมรับมอบกล่องวันวานเพื่อช่วยฟอร์ส ให้เธอสังเวยไอศกรีมรสเลิศแก่ ‘ข้ารับใช้’ ของอสรพิษแห่งชะตาเพื่อรับพรโชคลาภเสียก่อน แต่ในกรณีของมาดามเฮอร์มิท เธอไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากอิทธิพลภายนอก เนื่องจากหนึ่งในเวทมนตร์ของเธอมีอำนาจช่วยให้โชคดีได้สักพัก แต่เธอก็ต้องรีบจัดการทุกสิ่งให้เสร็จภายในไม่กี่นาทีและสังเวยกล่องวันวานกลับมายังมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง

กรุงเบ็คลันด์ ในเขตรอยต่อระหว่างย่านใต้สะพานกับเขตตะวันออก ภายในหอพักที่ทรุดโทรม

เลียวนาร์ดผู้แต่งกายด้วยถุงมือสีแดงและเสื้อคลุมสีดำ นำหน่วยถุงมือแดงมาตรวจสอบสถานที่อย่างละเอียด

ในฐานะกองกำลังพิเศษของโบสถ์รัตติกาล พวกมันกำลังสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอย่างมากในช่วงสี่ทุ่ม

“หัวหน้า กำแพงตรงนี้มีรอยแตกใหญ่มาก แถมผนังบางจุดก็ยังเสียหายหนัก หอพักแห่งนี้ไม่น่าจะผ่านพายุฤดูร้อนปีหน้าไปได้” ซินดี้เจ้าของผมสีไวน์แดงเดินเข้ามารายงานผลกับเลียวนาร์ด

เลียวนาร์ดกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะผงกศีรษะ

“โชคดีที่หอพักแห่งนี้เป็นอาคารทรุดโทรมและไม่มีผู้คนอาศัยเป็นเวลานาน แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทำไมถึงไม่มีคนเร่ร่อนเข้ามาหลบอาศัย”

ซินดี้ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ

“หัวหน้า คุณกำลังจะบอกว่ามีผู้วิเศษบางกลุ่มแอบใช้อาคารหลังนี้ พวกเขาจึงคอยขับไล่คนเร่ร่อนเป็นระยะ?”

“และในภายหลัง พวกเขาขัดแย้งกันเองภายในจนเกิดการลงไม้ลงมือ?” ถุงมือแดงอีกหนึ่งคน บ็อบ ตรวจสอบผนังด้านล่างพลางเสริม

“นั่นก็ไม่ควรมองข้าม” เลียวนาร์ดตอบอย่างมืออาชีพ “แต่พวกคุณไม่สังเกตเห็นบ้างหรือ ทุกจุดภายในห้องมีร่องรอยการถูกกัดกร่อน แถมยังไม่มีเครื่องเรือนจำพวกโต๊ะหรือเก้าอี้ที่ควรจะมี มันดูว่างเปล่าเกินไป… นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่างจะทำได้ ผมสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพลังในลำดับสูง”

แม้จะยิ่งตรวจสอบและยิ่งพบความผิดปรกติ แต่หน่วยถุงมือแดงที่นำโดยเลียวนาร์ดกลับไม่พบเบาะแสใดเพิ่มเติม ไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปยังวิหารนักบุญแซมมวลก่อน

ทันทีที่มาถึงชั้นใต้ดิน บิชอปคนหนึ่งเดินมาหาเลียวนาร์ด บอกให้มันพาสมาชิกในทีมของคนเข้าร่วมประชุมด้านบน

เลียวนาร์ดพยักหน้าครุ่นคิด แต่ไม่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม มันพาบ็อบและซินดี้เดินผ่านช่องทางลับไปยังวิหารนักบุญแซมมวล

จากนั้นก็เดินผ่านบันไดเวียนท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงที่ส่องผ่านกระจกหลากสี เดินมาจนถึงห้องที่มีผู้คนรออยู่จำนวนหนึ่ง ด้านหน้าห้องมีกระดานดำ

เพียงกวาดสายตาหนึ่งครั้ง เลียวนาร์ดพบว่าตนเคยร่วมงานกับหลายคนที่นี่ มีทั้งจากหน่วยทูตพิพากษา จิตแห่งจักรกล และ MI9

จากนั้นก็สังเกตเห็นครึ่งเทพสามตน ประกอบด้วยฮารามิค·ไฮเดิน เรดาลล์·วาเลนไทน์ และแอนโทนี·สตีเวนสัน รวมถึงชายผมดำดวงตาสีทองที่มีระดับทัดเทียมกับสามคนที่กล่าวมา

โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดทักทาย นักบุญแอนโทนีในชุดคลุมสีดำแถบแดงลุกขึ้นและกล่าวเสียงขรึม

“มีการต่อสู้ระดับสูงเกิดขึ้นด้านนอกกรุงเบ็คลันด์ สิ่งที่ยังหลงเหลือในจุดเกิดเหตุคือออร่าที่ทรงพลังและไพ่ทาโรต์ ‘เฮอร์มิท’ … ผมทราบมาว่าคุณเคยตามสืบคดีที่เกี่ยวข้องกับไพ่ทาโรต์มาอย่างละเอียดและมีข้อมูลในมือมากกว่าใคร ดังนั้นช่วยอธิบายให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้เข้าใจตรงกัน”

“…ไพ่เฮอร์มิท?” เลียวนาร์ดเผยสีหน้าตกตะลึงจากก้นบึ้ง แต่นั่นเป็นเพราะมันซักซ้อมมาอย่างดี

อะแฮ่ม มันกระแอมแห้งพร้อมกับเดินไปทางกระดานดำ หันหน้าไปหาครึ่งเทพจากสามโบสถ์หลักและกองทัพ จากนั้นก็วาดพระจันทร์แดงกลางหน้าอก

เรียบเรียงคำพูดเสร็จ หน่วยหน้าหน่วยถุงมือแดงกล่าวเสียงขรึม

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คดีที่เกี่ยวข้องกับไพ่ทาโรต์มีต้นตอมาจากการตายของลาเนวุส โดยในคดีนั้น พวกเราคาดว่าเลเนวุสวางแผนใช้ตัวเองเป็นภาชนะให้เทพแท้จริงลงมาจุติ ศพของเขาถูกกองสุมด้วยไพ่ทาโรต์… หลังจากนั้นระยะหนึ่ง ไพ่ทาโรต์ได้ปรากฏตัวอีกครั้งในคดีคาพิน แต่คราวนี้การจัดเรียงไพ่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป และหน้าไพ่หลักคือจัดจ์เมนต์และดิเอ็มเพอเรอร์… ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมนำไปเชื่องโยงกับองค์กรที่นับถือเดอะฟูลซึ่งเพิ่งโด่งดังภายในกรุงเบ็คลันด์ เพราะอย่างที่ทุกคนทราบ เดอะฟูลคือไพ่ใบแรกของสำหรับไพ่ทาโรต์…”

ข้อสันนิษฐานเชิงรุกดังกล่าวทำให้ครึ่งเทพและคนของกองทัพผงกศีรษะพร้อมกัน พวกมันค่อนข้างเห็นด้วยว่าน่าจะมีความเกี่ยวพันกันในเชิงศาสตร์เร้นลับไม่มากก็น้อย

เลียวนาร์ดเว้นวรรคก่อนจะกล่าวต่อ

“และภายใต้เดอะฟูล องค์กรดังกล่าวน่าจะมีสมาชิกหลักอยู่หลายคนที่ใช้ไพ่ทาโรต์แทนรหัส เช่นจัดจ์เมนต์ ดิเอ็มเพอเรอร์… หรือเฮอร์มิทซึ่งปรากฏในเหตุการณ์ล่าสุด…”

ขณะกล่าว เลียวนาร์ดหยิบไพ่ทาโรต์สำหรับสาธิตและสุ่มหยิบขึ้นมาหนึ่งใบ

มันชำเลืองพลางหัวเราะ

“หรือเดอะสตาร์…”

………………………