บทที่ 1515 ดินแดนวั้นมู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

เนินเขารกร้างทางเหนือตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาพันภพ

ในสมัยโบราณที่นี่เป็นทวีปที่กว้างใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเป่ยหวาง ทวีปนี้ไม่เหมือนกับชื่อที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับเป็นดินแดนเฟื่องฟูและทรงพลังจนถึงขีดสุด

แต่เมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มิหนำซ้ำมหาพันภพก็พ่ายแพ้สงครามอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดและสร้างสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้นเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างๆ

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ ศึกนี้ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการปะทะกันระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิได้เกิดขึ้นในทวีปเป่ยหวางนี้ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ทวีปแตกเป็นเสี่ยงๆ และดินแดนที่เหลือจึงถูกขนานนามว่าดินแดนวั้นมู่

ศึกครั้งนั้นจบลงพร้อมกับเทพปีศาจจักรพรรดิถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำดินแดนวั้นมู่ก็ถูกปิดแน่นหนาไว้โดยผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์—ผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แน่นอนว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าย่ำเท้าเข้ามา ดังนั้นจึงไม่อยากมีใครอยากมาอยู่แล้ว

มีเพียงถึงเวลาของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพในหนึ่งสหัสวรรษ วังสวรรค์บรรพกาลจะส่งเทียบเชิญยังจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจ พวกเขาจะอัญเชิญผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เพื่อลบพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิ

แต่สนธิสัญญานี้เกณฑ์สูงสุดเอื้อม มีเพียงผู้ที่ทราบเรื่องราวภายในเท่านั้นที่เข้าใจว่าสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพมีความสำคัญเพียงใด

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพและหากล้มเหลวก็จะไปสะกิดระเบิดทำลายล้าง

ที่สุดแล้วยังมีความกลัวฝังลึกอยู่ในใจทุกคนจากการกระทำของเทพปีศาจจักรพรรดิ ต่อให้แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังถูกบันทึกไว้ในบันทึกโบราณที่สืบทอดต่อกันมา

ตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สละชีวิตเพื่อผนึกและหากเทพปีศาจคนนี้หนีไปได้ก็จะไม่มีใครหน้าไหนหยุดได้อีกแล้ว…

 

“นี่คือดินแดนวั้นมู่รึ?”

ริ้วแสงสามสายฉีกผ่านพื้นที่เชิงมิติและหมู่เมฆ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นทวีปรุ่งโรจน์ในครรลองสายตา

ทวีปนี้ได้รับความเสียหายมากจนถูกย้อมเป็นสีแดง แม้จากระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายในบรรยากาศ

เมื่อรัศมีโดยรอบทั้งสามจางลง ภาพมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็ปรากฏขึ้น

ขณะนี้มู่เฉินกำลังมองไปที่ทวีปรกร้างด้วยความอยากรู้ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจสถานที่การสู้รบระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือด้วยความครั่นคราม เนื่องจากนางสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าสะพรึงกลัวเบาบางจากทวีปแห่งนี้

แม้ในฐานะหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง รัศมีนี้ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันและหวาดผวา

“ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ”

มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่ผืนดินสีแดงเข้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้

ร่องรอยรัศมีเล็กน้อยก็ทำให้หนังหัวเขาชาวาบไปหมดแล้ว

“นี่คือสถานที่ที่ปิดผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิและรัศมีก็มาจากสิ่งนี้ แต่โชคดีที่ถูกจำกัดไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

มู่เฉินพยักหน้า ขณะกำลังจะพูด การแสดงออกก็ที่เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงพายุรุนแรงฉีกออกในพื้นที่ไกล ริ้วแสงหลายสายที่เอิบอาบด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังกระจายออกมา ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับเทียบเชิญกำลังเร่งรุดเดินทางเมื่อเวลาใกล้เข้ามา

จอมยุทธ์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงทั้งสามคน พวกเขาเหลือบมองมาด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า จากนั้นก็ประสานมือคารวะจากระยะไกล ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางไปยังดินแดนวั้นมู่

“ดูเหมือนตอนนี้ข้าก็โด่งดังในมหาพันภพเหมือนกันนะเนี่ย”

มู่เฉินมองไปที่คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม เขารับรู้ได้ถึงความเคารพโดยธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดาตัวตนของกลุ่มเขาได้

“พวกเขาคำนับท่านน้าจิ้งต่างหาก ไปเกี่ยวอะไรกับเจ้า” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินชักจะเริ่มหางชี้ ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะจือปากขึ้นเอ่ยหยอกล้อ

มู่เฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองค้อนลั่วหลี แต่หญิงสาวกลับทำหน้าล้อเลียนแบบไม่กลัว เสียงหัวเราะพลิ้วหวานของนางกระตุ้นหัวใจของมู่เฉินนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะเฝ้าดูคู่รักกระเซ้าเย้าแหย่กัน “แต่ตอนนี้เฉินเอ๋อมีชื่อเสียงมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ ข้าคิดว่าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนไหนไม่รู้จักเจ้าผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์และทำเอาหมัวเฮอเทียนทำอะไรไม่ได้”

มู่เฉินหัวเราะ ตัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรก็แค่อยากแกล้งลั่วหลีเท่านั้น

“ไปต่อกันเถอะ”

มู่เฉินโบกมือมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ขณะที่กำลังเดินทางต่อมู่เฉินก็หยุดชะงักลงชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

เขาสามารถสัมผัสได้เบาบางถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากดินแดนวั้นมู่ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาจะถูกสังหารโดยพลังงานที่ไร้ขอบเขตทันทีหากมีความคิดชั่วร้าย

“ระวัง นี่คือผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้” เสียงเคร่งเครียดของชิงเหยี่ยนจิ้งดังขึ้น “ผนึกนี้ไม่เพียง แต่ผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังก่อเป็นปราการกั้นดินแดนวั้นมู่ไว้ด้วย ผนึกจะทำลายล้างสมาชิกของเผ่าปีศาจที่เข้ามาใกล้”

“เราแค่ต้องผ่อนคลายและใช้คลื่นหลิงห่อหุ้มร่างตัวเองไว้ก็พอ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมารดา ร่างกายของมู่เฉินก็พวยพุ่งด้วยคลื่นหลิงปกป้องร่างไว้ ชั่วครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พลังน่ากลัวอะไรขนาดนี้…ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ทำไมพวกปีศาจถึงยังกล้าบุกเข้ามา?” มู่เฉินถอนหายใจ

ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พวกปีศาจฉลาดแกมโกง ผนึกอาจทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่ใช่กลุ่มที่ดูถูกได้”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในดินแดนวั้นมู่แล้ว เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า เขาก็อึ้งไป

ภูเขาถูกใช้เป็นสุสานทอดยาวไปจนสุดสายตา…

“พวกเขาล้วนเป็นเหล่าจอมยุทธ์ที่สละชีพในสงครามโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เนื่องจากใครก็ตามที่ถูกฝังไว้ที่นี่จะต้องมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ แต่ด้วยจำนวนมากมายเช่นนี้ เขาคาดเดาได้ว่าสงครามโหดร้ายเพียงใด

ทุกคนสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านและสมควรได้รับการเคารพจากคนรุ่นหลังอย่างเขา

ฟิ้ว

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ ร่างแสงสีเทาสองสายก็ทะยานเข้ามาปรากฏที่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นชายวัยกลางคนสองคนในชุดคลุมสีเทา

ร่างทั้งสองคนผอมบางและไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า อย่างไรก็ตามความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาบอกว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแท้จริง

“คารวะผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ท่านประมุขตำหนักมู่มู่เฉินและธิดาเทพลั่วหลี” ชายสองคนประสานมือคารวะทั้งสามพลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็มองเห็นภาพศูนย์รวมของภูเขาสุสานที่ดูรกร้างบนหน้าอก ในเวลาเดียวกันก็สามารถเดาตัวตนอีกฝ่ายได้ นี่คือผู้พิทักษ์หมื่นสุสานแห่งดินแดนวั้นมู่

เล่าขานกันว่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นสายเลือดของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนวั้นมู่หลังจากการตายของเทพจักรพรรดิเพื่อปกป้องผนึกนี้

ในแง่ของพลังแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน เพียงแต่ว่าพวกเขาทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่เคยก้าวออกจากสถานที่แห่งนี้ การอุทิศตนเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเคารพจากใจ

ดังนั้นมู่เฉินจึงประสานมือตอบด้วยมารยาท

“ตามเรามา”

ผู้พิทักษ์ทั้งสองยังคงมีสีหน้าไม่แยแส แต่เมื่อสายตาพวกเขากวาดผ่านร่างมู่เฉินก็มีความผันผวนแปลกประหลาดในดวงตา

แต่พวกเขาไม่ได้ถามมากความ พวกเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึก

พวกมู่เฉินตามไปพร้อมกับพวกเขาทันที

ภูเขาวาบผ่านไปที่ด้านล่างและใช้เวลาเหาะเหินประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่ผู้พิทักษ์จะเริ่มชะลอตัวและพลิ้วลงมา

เมื่อมองลงไปมู่เฉินเห็นลานสีดำขนาดใหญ่บนพื้นพร้อมเสาสีดำขนาดมหึมา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้น มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลง เนื่องจากเขาพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เสา แต่เป็นโลงศพขนาดใหญ่

โลงศพเหล่านี้เหมือนตะปูเมื่อตรึงลงไปบนลานก็ทำให้เกิดความผันผวนที่ผิดปกติ

ขณะที่สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วโลงศพ ตำแหน่งต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในความคิดและเชื่อมโยงกัน จากนั้นแผนภาพทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในใจ

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าโลงศพเหล่านี้เป็นผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ นั่นก็หมายความว่าเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกลึกลงไปใต้ลานสีดำมืดแห่งนี้…