บทที่ 1812 เกาก้วนห้ามไว้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“นี่คือความคิดของเจ้าเก้าเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งเอ่ยถามช้าๆ

เว่ยซูพยักหน้า “คุณชายเก้าคิดว่าในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายกำลังของตัวเองอีก ถ้าจะลงมือก็ชี้ดาบไปทางตระกูลอิ๋งเสียเลย”

เซี่ยโห้วลิ่งลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นยืน ถามด้วยน้ำเสียงแบบเดิม “เรื่องนี้ เหตุใดพอข้าถามเขาค่อยบอกว่าเป็นคนของพวกเรา?”

เว่ยซูได้ยินแล้วเข้าใจทันที เซี่ยโห้วลิ่งสนใจอีกด้านหนึ่ง ตอบว่า “คุณชายเก้าบอกว่า หากนายท่านดึงดันจะทำ เขาก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน เพียงหวังว่าจะยังให้โอกาสหวังจัวสักครั้ง ปกป้องชีวิตลูกสาวของหวังจัว ให้หวังจัววางแผนสร้างสถานการณ์ ใช้กลยุทธ์ต้นสาลี่ตายแทนต้นท้อ ฆ่าสนมฉินตัวปลอม”

เซี่ยโห้วลิ่งหน้าตึงไม่พูดอะไร…

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี สำหรับนักพรตเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น

งานเลี้ยงอุทยานกำลังจะมาถึง อุทยานหลวงประดับผ้าและโคมไฟ ชิงหยวนจุนเข้าวังมาคำนับมารดาตามธรรมเนียม ฟังเสด็จแม่สั่งสอน

สองแม่ลูกกำลังคุยกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีนางในมารายงาน “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเสด็จเพคะ!”

สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับพร้อมกัน เจอกับประมุขชิงที่เดินก้าวยาวมาตรงประตู ทั้งสองคำนับพร้อมกัน “ฝ่าบาท เสด็จพ่อ!”

ประมุขชิงขานรับ แต่ไม่ได้หยุดเดิน เขาเดินตรงเข้ามาในห้องพร้อมบอกว่า “คนอื่นถอยออกไป!”

ซ่างกวนชิงที่ตามหลังมากวาดสายตามองเอ๋อเหมยแวบหนึ่ง เอ๋อเหมยค่อนข้างกลัวผู้การใหญ่ท่านนี้ จึงรีบโบกมือเรียกพวกนางในให้ถอยออกไปแล้ว

ประมุขชิงนั่งลงบนตำแหน่งหลัก ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ ชิงหยวนจุนยืนเก็บมือ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะไปรินน้ำชาด้วยตัวเอง ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องแล้ว!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงทันที ทำได้เพียงหยุดแล้วหันตัวเดินกลับมา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ฝ่าบาทมีเวลาว่างมาได้อย่างไรเพคะ”

สายตาประมุขชิงไปหยุดบนตัวชิงหยวนจุน แล้วถามโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “มีที่ไหนที่อยากไปหรือเปล่า?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร

ประมุขชิงพูดต่อว่า “เอาแต่คลุมหัวฝึกวิชาจะไม่มีสมอง ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ หาอะไรทำสักอย่างแล้วกัน ซ่างกวน กรมภูษาในวังหาตำแหน่งว่างให้หยวนจุนสักตำแหน่งได้หรือเปล่า?”

“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงชำเลืองมองชิงหยวนจุนแวบหนึ่งเงียบๆ

สองแม่ลูกที่ยืนอยู่เบื้องล่างสีหน้าเปลี่ยนแล้ว กรมภูษาเป็นสถานที่แบบไหนล่ะ? นั่นคือสถานที่ซักผ้าให้คนในวังหลังโดยเฉพาะ วังหลังมีอะไรเยอะที่สุดล่ะ ก็ผู้หญิงไง และหมายความว่ามีเสื้อผ้าเปลี่ยนซักของผู้หญิงเยอะมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบถามว่า “ฝ่าบาท โอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะไปทำงานประเภทนั้นได้อย่างไรเพคะ?”

ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาชอบดูผู้หญิงอาบน้ำไม่ใช่เหรอ กรมภูษาน่าจะตรงรสนิยมเขานะ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ชิงหยวนจุนก็หน้าซีดทันที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยิ่งหัวใจกระตุกวูบ ตอนนี้นับว่าแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้พูดไว้ไม่ผิด ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

“ฝ่าบาท เรื่องนั้นผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะ? พวกสนมฉินก็ยืนยันแล้วว่าจุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอน

“ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ?” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วจ้องชิงหยวนจุนพร้อมกดดันถาม “ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ แล้วหลังจากเกิดเรื่องทำไมไม่มายอมรับผิดทันที แต่กลับติดต่อไปปรึกษาเสด็จแม่ก่อน ทั้งยังส่งเย่เสี้ยวไปสืบข่าวที่กองทัพองครักษ์ ปรึกษากันเสร็จแล้วจะได้ตบตาข้าง่ายๆ ใช่มั้ย?”

หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนก็คุกเข่าพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ซ้ำอีกว่าไม่ได้ตบตาจริงๆ

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นิ่งสงบ ในใจกลับทอดถอนใจไม่หยุด ฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้ว อธิบายไปจะมีประโยชน์เหรอ?

ประมุขชิงไม่ฟังจริงๆ ด้วย จ้องชิงหยวนจุนพร้อมกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ตอนนั้นไม่ได้ลงโทษเจ้า เพราะกังวลถึงหน้าตาของตระกูล เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ข้ายังไว้หน้าเจ้าอยู่บ้าง เจ้าหาทางสำนึกผิดหาบันไดลงเองแล้วกัน!”

มาถึงขั้นนี้แล้ว ชิงหยวนจุนเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ขานรับด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ “ลูกน้อมรับบัญชา!”

ซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังคุกเข่าราวกับได้รับความพ่ายแพ่อันใหญ่หลวง นางนั่งพับลงไปแล้ว เหมียวอี้พูดถูกหลายครั้งต่อเนื่องกัน นางรู้แล้วว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่การจะให้ลูกชายนางไปซักผ้าให้ผู้หญิง จะให้นางทนยอมรับได้อย่างไร นางสายหน้าขอร้อง “ฝ่าบาท ถ้าไปที่กรมภูษาแล้ว ต่อไปนี้จุนเอ๋อร์จะยังมีหน้าไปเจอใครอีกเพคะ?”

“ในเมื่อราชินีสวรรค์ขอร้อง เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้วกัน” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเลย โดยที่ซ่างกวนชิงก็เดินตามไป

“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวมาหมายจะวิงสอนอีก โอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะตกต่ำไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้ว จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร!

แต่ประมุขชิงก็ไม่ให้โอกาสนางบ่นอีก เจ้าตัวเดินออกไปแล้ว ตอนนี้นางถึงได้ขบคิดแล้วเข้าใจ ว่ากรมภูษาอะไรนั่นเป็นเรื่องโกหก การล่อนางให้เดินมาบนทางนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง สมองของนางสู้ประมุขชิงไม่ได้เลย

“เสด็จแม่!” ชิงหยวนจุนลุกขึ้นประคองมารดา กัดริมฝีปากแน่นครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่ต้องขอร้องเขาอีกแล้ว เทพแห่งผืนดินก็คือเทพแห่งผืนดิน ดีกว่าอยู่ในวังที่ไร้หัวใจนี่ตั้งเยอะ!”

เพี้ยะ! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวมาตบเขาหนึ่งที แล้วตวาดเสียงแหลมว่า “เจ้าจำไว้นะ! ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเขาก็คือเสด็จพ่อของเจ้า ทำอะไรก็ล้วนหวังดีกับเจ้าทั้งนั้น เจ้าห้ามเคียดแค้น!” สุดท้ายก็แอบถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ อะไรที่ไม่ควรพูดก็กลืนลงไปย่อยในท้องเจ้าซะ!” ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ย้ำเตือน นางก็อยากจะบอกความจริงกับเขาเสียตอนนี้เลย

ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถึงงานเลี้ยงอุทยาน กลุ่มขุนนางนำคนในครอบครัวมาที่ราชสำนัก พระตำหนักอุทยานบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศ ตอนที่ทุกคนกำลังสนุกกันเต็มที่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากจุดไกลๆ ทำให้แขกทุกคนในพระตำหนักอุทยานมองหน้ากันเลิกลั่ก เสียงดนตรียังดังต่อไป ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่บนตำหนักส่งสายตาให้ ด้านนอกมีคนรีบออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวทันที

รออยู่ไม่นาน ผู้ที่ออกไปตรวจสอบก็บุกเข้ามาในตำหนักใหญ่ แล้วรายงานประมุขชิงด้วยเสียงอันดังก้องต่อหน้าฝูงชนว่า “ฝ่าบาท วังเหนือสวรรค์เกิดเพลิงไหม้ ตำหนักพังไปเกินครึ่งขอรับ”

ประมุขชิงขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงโบกมือทันที ให้ผู้ที่เข้ามารายงานถอยออกไป เสียงเพลงยังดังต่อเนื่อง ไม่ได้ถูกรบกวนเพราะเรื่องนี้

กลุ่มขุนนางที่อยู่เบื้องล่างค่อนข้างแปลกใจ วังเหนือสวรรค์จะเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร อีกทั้งตำหนักยังพังถล่มไปเกินครึ่ง เล่นบ้าอะไรกัน?

วังเหนือสวรรค์ โอรสสวรรค์…อิ๋งอู๋หม่านที่กำลังนั่งประจำที่แววตาวูบไหวเล็กน้อย แอบสังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบๆ ทว่ามองเบาะแสอะไรไม่ออก

เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังตากระตุก

สวนด้านหลัง ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับเหล่าสนมวังหลังกำลังกินเลี้ยงอยู่กับกลุ่มผู้หญิงของครอบครัวขุนนาง นางได้รับข่าวแบบเดียวกันไวมาก ทำให้คนไม่น้อยแอบกระซิบกระซาบวิจารณ์

สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่นั่งอยู่เบื้องล่างทำท่าครุ่นคิด จากนั้นปรายตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างบน พบว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีสีหน้าเศร้าสลดเล็กน้อย นางที่เข้าใจเรื่องนี้จ่อจอกสุราอยู่ตรงปากเงียบๆ นานมาก

ในการประชุมขุนนางหลังจากงานเลี้ยงอุทยานจบลง สาเหตุที่วังเหนือสวรรค์เกิดเพลิงไหม้จึงได้ถูกประกาศออกมา เป็นเพราะโอรสสวรรค์เสาะหารวบรวมของเล่นใหม่จำนวนหนึ่งมาซ่อนไว้ในวังเหนือสวรรค์แล้วไม่ได้จัดการให้ดี ผลปรากฎว่าบังเอิญติดไฟแล้วลุกไหม้ไปครึ่งค่อนตำหนักแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่างานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งครึ่งต่อหนึ่งพันปีจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ประมุขชิงเดือดดาลมาก ถ่ายทอดคำสั่งต่อขุนนางทั้งราชสำนัก ว่าจะลดตำแหน่งโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดิน การที่เขาไม่อาละวาดที่งานเลี้ยงอุทยาน ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์อันสุนทรีย์ของทุกคนที่หนึ่งพันปีจะมีสักครั้ง

โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์กระโดดออกมาคัดค้านต่อหน้าฝูงชน โดยให้เหตุผลว่า ต่อให้โอรสสวรรค์จะทำผิดสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นลดตำแหน่งให้เป็นเทพแห่งผืนดิน อีกทั้งยังเถียงประมุขชิงต่อหน้าฝูงชนด้วย ประมุขชิงเดือดดาลมาก สั่งให้คนลากโพ่จวินออกจากราชสำนักเสียเลย

โพ่จวินร้องเหมือนผีไม่หยุดอยู่นอกราชสำนัก ทำให้ประมุขชิงต้องออกคำสั่งให้คนอุดปากโพ่จวินไว้ ส่งเข้าคุกคุกสวรรค์ข้อหาโวยวายที่ราชสำนัก!

หลังจากจบเรื่อง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ได้ยินข่าวก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่หลายส่วน แม้โพ่จวินจะไม่ถูกกับตระกูลเซี่ยโห้วและนางมาตลอด แต่ถึงอย่างไรก็ยังยืนข้างราชันสวรรค์ ท่าทีที่มีต่อนางและลูกชายต่างกันโดยสิ้นเชิง

ส่วนในราชสำนัก ประมุขชิงถามว่าขุนนางใหญ่คนไหนยินดีจะรับชิงหยวนจุนเอาไว้บ้าง ผลก็คือไม่มีใครอยากรับ ‘เทพแห่งผืนดิน’ คนนี้เลย ไม่ว่าใครก็ตระหนักได้ทั้งนั้นว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยชอบมาพากล ใครจะไปรู้ว่าจะโยงไปถึงเรื่องอะไรอีก นี่ไม่ใช่เทพแห่งผืนดินธรรมดา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในอนาเขตของตน ก็จะเกิดปัญหาที่ไม่ธรรมดาแล้ว ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะอยากเล่นงานชิงหยวนจุนให้ตาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นลงมือในอาณาเขตตัวเอง ไม่มีใครอยากรับเผือกร้อนเอาไว้ให้ลวกมือ รูปก็คือขุนนางในทั้งราชสำนักปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่คนของตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่ยอมรับไว้ การที่ประมุขชิงลดตำแหน่งโอรสสวรรค์ก็ถือเป็นอย่างส่งสัญญาณ อำนาจท้องถิ่นของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้แข็งแกร่ง การรับชิงหยวนจุนไว้ก็เท่ากับรับปัญหาใหญ่เอาไว้ ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วส่งกำลังคนในที่ลับมาคุ้มกันเท่าไรล่ะ? ดีไม่ดีชิงหยวนจุนคนเดียวอาจจะกลายเป็นไม้ที่มางัดฝาของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ การที่ตระกูลเซี่ยโห้วรับชิงหยวนจุนไว้ไม่ใช่การช่วยชิงหยวนจุน นั่นกลับเป็นการทำร้ายชิงหยวนจุนด้วยซ้ำ เท่ากับนำหัวหอกที่เดิมทีก็เตรียมจะก่อความวุ่นวายอยู่แล้วมารวมกันไว้ ต้องวางไว้ในมือของฝ่ายอื่นต่างหากถึงจะเป็นการปกป้องชิงหยวนจุนอย่างแท้จริง

ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันไม่จบไม่สิ้น อิ๋งอู๋หม่านก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ไม่สู้องค์ชายลงโทษให้ไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของราชินีสวรรค์เหนียงเหนียงพอดี องค์ชายไปที่นั่นก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

ใครจะคิดว่าเกาก้วนที่เป็นคนพูดน้อยจะเอ่ยห้ามแล้ว “องค์ชายไปรับโทษ ไม่ได้ไปรับการดูแล ถ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ต่อให้ราชินีสวรรค์ไม่เอ่ยปาก แต่หนิวโหย่วเต๋อจะกล้าไม่ดูแลองค์ชายหรือ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย ประมุขชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเกาก้วน ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ

เกาก้วนชำเลืองอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาของกองทัพองครักษ์ รีบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “มีคนเจตนาไม่ซื่อ กำลังของหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่พอให้รักษาความปลอดภัยให้องค์ชาย!”

อู๋ฉวี่แอบตกใจ ยืนออกนอกแถวทันที กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายไม่มีที่ไปที่เหมาะสม ไม่สู้ให้องค์ชายมาเป็นทหารเล็กๆ ในหน่วยองครักษ์ขวาที่ตำแหน่งเทียบเท่าเทพแห่งผืนดิน อาศัยวรยุทธ์ขององค์ชายก็เพียงพอให้รับตำแหน่งแล้วขอรับ! ข้าน้อยรับประกันตรงนี้ กองทัพองครักษ์มีกฎทหารเข้มงวด เมื่อองค์ชายมาแล้วก็จะปฏิบัติด้วยเหมือนคนทั่วไป ไม่ดูแลเป็นกรณีพิเศษแน่นอน!” พูดจบก็ส่งสายตาให้ซือหม่าเวิ่นเทียนอีก

ซือหม่าเวิ่นเทียนก้าวอออกมากล่าวทันที “ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

เซี่ยโห้วลิ่งก้าวออกนอกแถวเช่นกัน “ข้าน้อยเห็นด้วย!” สำหรับเขา มีกองทัพองครักษ์ปกป้องชิงหยวนจุน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

ขุนนางเครือข่ายตระกูลเซี่ยโห้วกล่าวสนับสนุนด้วยทันที ในเมื่อเผือกร้อนในมือมีที่ไปแล้ว สำหรับสิ่งนี้คนอื่นๆ รักษาความเงียบเอาไว้ ไม่มีใครบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

เจตนาเดิมของประมุขชิงก็คือให้ชิงหยวนจุนไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เขาย่อมมีแผนการของเขา แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะทำแผนเขายุ่งเหยิงโดยให้คนอื่นมาขัดขวางเขาไว้

สุดท้ายภายใต้สถานการณ์ที่ไร้คนคัดค้าน ชิงหยวนจุนจึงถูกลดตำแหน่งให้ไปที่หน่วยองครักษ์ขวา

เมื่อจบการประชุม คำสั่งก็มีผลบังคับใช้ทันที คนของหน่วยองครักษ์ขวาพาตัวชิงหยวนจุนไปแล้ว  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่รีบตามไปส่งที่อุทยานหลวงร้องไห้ฟูมฟาย ไม่รู้ว่าลูกชายไปครั้งนี้จะได้รับความลำบากอะไรบ้าง ดูท่าแล้วฝ่าบาทคงไม่ให้ลูกชายได้อยู่อย่างผ่อนคลายแน่

………………