บทที่ 1814 จินม่านเป็นฝ่ายรุก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ม่านไข่มุกเปิดออก จ้านหรูอี้เดินออกมา

ลีลาการเดินของนางไม่นับว่าเย้ายวนอะไร ไม่มีความอ่อนหวานของผู้หญิงด้วย นางไม่เคยแสดงลักษณะท่าทางของผู้หญิง เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เพียงข่มความสง่าอาจหาญของนางไว้ แต่กลับแสดงความเยือกเย็นสุขุมอีกส่วนของนางอย่างแจ่มชัด นางเงยหน้ายืดอกเดินอย่างสุขุม ท่าทีสงบนิ่งอยู่ตลอด

พอเดินมาตรงหน้า ประมุขชิงก็ลืมตามองนาง ยื่นมือไปจูงมือนางมาด้านข้าง ให้นางนั่งลงข้างกัน กุมหมัดนางไว้ตรงท้องตัวเองไม่ยอมปล่อย

จ้านหรูอี้ไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ หลังจากฝืนได้สักพัก นางก็ยังชักมือกลับมาอย่างอึดอัด แล้วนั่งอยู่ข้างกายเงียบๆ

ประมุขชิงถอนหายใจเบาๆ วันนี้เหมือนจะไม่มีความคิดอะไรเป็นพิเศษ หลับตาลงช้าๆ อีกครั้ง

ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ จ้านหรูอี้ก็ถามว่า “ได้ยินว่าองค์ชายถูกลดตำแหน่งหรือเพคะ?”

ประมุขชิงหนังตากระตุก ลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตาฉายแววสนใจ หรี่ตามองนางเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้านหรูอี้สนใจเรื่องในด้านนี้ ในที่สุดก็หวั่นไหวกับตำแหน่งราชินีแล้วเหรอ? “ใช่แล้ว ทำผิดก็ย่อมต้องถูกลงโทษ”

จ้านหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “องค์ชายน่าจะไม่ทำผิดง่ายขนาดนั้น ในนั้นอาจจะมีความจริงอีกอย่าง”

ประมุขชิงกะพริบตา รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่านางจะช่วยพูดให้ชิงหยวนจุน เขาเงยหน้าเล็กน้อย ร้องอ้อแล้วถามว่า “หรือว่าสนมสวรรค์รู้ว่าความจริงบางอย่าง?”

จ้านหรูอี้ย่อมรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น ตอนแรกตระกูลอิ๋งมาหานาง ถ้านางออกหน้าเอง ก็ไม่ต้องใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนี้ อาศัยระดับความโปรดปรานที่ประมุขชิงมีต่อนาง นางสามารถให้เบื้องล่างสร้างสถานการณ์กระทบกระทั่งกับชิงหยวนจุนได้ตามสบาย จากนั้นนางก็จะไปยัดข้อหาชิงหยวนจุนต่อหน้าประมุขชิง บอกว่าชิงหยวนจุนไม่เคารพนาง แค่นั้นก็สามารถหยั่งเชิงประมุขชิงได้แล้ว ทว่านางไม่ยอมมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ตอนหลังได้เห็นสนมฉินที่เป็นคนของตระกูลอิ๋งถูกพาตัวออกจากที่นาหลวง จากนั้นสนมฉินก็กลับบ้านไปเยี่ยมญาติ แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางกลับเดาได้ว่าตระกูลอิ๋งอาจจะส่งสนมฉินไปทำอะไรสักอย่างกับชิงหยวนจุน เพียงแต่ตอนหลังเห็นชิงหยวนจุนไม่เป็นอะไรเลย นางยังนึกว่าตัวเองเดาผิดไป ตอนนี้จู่ๆ ชิงหยวนจุนก็ถูกลดตำแหน่ง นางถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเดาไม่ผิด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ประมุขชิงปกปิดไว้ เพราะการที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งแค่เพราะทำตำหนักตัวเองพัง ก็ดูจะทำเกินไปหน่อย

นางเองก็รู้ว่าจุดประสงค์ที่ตระกูลอิ๋งวางกับดักชิงหยวนจุนคืออะไร เพราะตอนที่บอกให้นางทำก่อนหน้านี้ก็บอกนางไว้ชัดเจนแล้ว ว่าทำเพราะหวังดีกับนาง ต้องการจะกดสองแม่ลูกที่ตำหนักนารีสวรรค์ และเชิดชูให้นางขึ้นตำแหน่งมารดาแห่งใต้หล้า

ทว่านางไม่ได้สนใจตำแหน่งมารดาแห่งใต้หล้าอะไรนั่นเลย และไม่อยากมีโอรสสวรรค์ให้ประมุขชิงด้วย ตั้งแต่นางถูกบีบให้เข้าวัง ภูเขาใหญ่ที่กั้นระหว่างนางกับประมุขชิงก็ยากที่จะย้ายออกไปแล้ว นางคิดมาตลอดว่าตัวเองกำลังเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ไม่เคยคิดว่าประมุขชิงเป็นผู้ชายของนางจริงๆ เลยสักครั้ง

สาเหตุที่นางเตือนเรื่องนี้กับประมุขชิงในตอนนี้ ก็เพราะคิดว่าไม่อยากใช้ความต่ำช้าของตัวเองทำร้ายชิงหยวนจุน นางอับอายเพราะวิธีการของตระกูลอิ๋งมาตลอด นางคิดว่าการแพ้ชนะที่แท้จริงควรจะตัดสินอย่างสง่าผ่าเผย เหมือนที่หนิวโหย่วเต๋อกล้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพเกรียงไกรหนึ่งล้าน ทั้งยังโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนพ่ายแพ้ยับเยิน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าเพราะเรื่องนี้ นี่ต่างหากคือเรื่องที่ตระกูลอิ๋งสมควรจะทำ

แน่นอน นางยังไม่ถึงขั้นคร่ำครึเกินไป และไม่ต่อต้านการใช้อุบายบางอย่างด้วย ยกตัวอย่างเช่นตอนที่หนิวโหย่วเต๋อใช้อุบายเดิมพันในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่สวรรค์จนได้ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาอย่างสง่าผ่าเผย ตอนหลังมีใครด่าว่าหนิวโหย่วเต๋อไร้ยางอายบ้างล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหายก็ล้วนชมว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถ

ขนาดหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยยังทำสำเร็จได้ แต่ตระกูลอิ๋งที่สง่าน่าเกรงขามกลับใช้วิธีการต่ำช้ามาแล้วทุกอย่าง ในปีนั้นที่หนิวโหย่วเต๋อด่าว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’ ตอนนี้แม้แต่นางก็ยังรู้สึกอับอายแทนตระกูลอิ๋งเอ่ย

เพียงแต่ความคิดส่วนตัวก็ยังเป็นความคิดส่วนตัว นางยังไม่ถึงขั้นทรยศตระกูลอิ๋ง ไม่อย่างนั้นการที่นางเสียสละเขาวังในตอนแรกก็จะไร้ความหมาย

ตอนนี้ประมุขชิงถามอย่างนี้ จ้านหรูอี้ก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แค่ได้ยินว่าราชินีสวรรค์อบรมเข้มงวดกับองค์ชายมาก องค์ชายไม่น่าจะทำผิดง่ายๆ หวังว่าฝ่าบาทจะตรวจสอบให้กระจ่าง” คำพูดนางหยุดเพียงเท่านี้ ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

หลังจากประมุขชิงหยั่งเชิงหลายประโยคแต่ไม่ได้คำตอบ ก็ได้แต่มองนางพร้อมอมยิ้ม ในรอยยิ้มซ่อนความรู้สึกปลื้มใจบางอย่างเอาไว้

ทำไมจู่ๆ เขาถึงเรียกจ้านหรูอี้เข้าวัง? พอจ้านหรูอี้เข้าวังมาก็อยู่ภายใต้การจับตาดูของเขาตั้งนานแล้ว แม้จะไม่รู้ความจริงชัดเจน แต่เบาะแสบางอย่างก็ทำให้เขารู้ตั้งนานแล้ว ว่าก่อนสนมฉินจะวางกับดักชิงหยวนจุน ตระกูลอิ๋งคงจะตั้งใจให้จ้านหรูอี้ลงมือเอง แต่คงโน้มน้าวจ้านหรูอี้ไม่สำเร็จ ผลก็คือหยินซวงจึงต้องไปหาสนมฉิน เขาพอจะเดาได้ว่าคนก่อเรื่องอาจเป็นสนมฉิน แล้วผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้

เมื่ออยู่ในวัง ขอเพียงเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง เรื่องราวมากมายก็ปิดบังหูตาของเขาไม่ได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะหลับอย่างสงบได้อย่างไร

การที่จ้านหรูอี้ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ทำให้เขาปลื้มใจมาก แต่เขายิ่งนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะช่วยพูดให้ชิงหยวนจุน

แม้จ้านหรูอี้จะไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ เพียงเตือนนิดหน่อยเพราะอยากจะช่วยชิงหยวนจุนทางอ้อม แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว เพราะในสายตาประมุขชิง การที่นางทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ประมุขชิงเองก็เข้าใจจุดยืนของนางเช่นกัน

“สนมรัก!” ประมุขชิงคว้ามือนางมาวางบนท้องตัวเองอีก เขาตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม “เจ้าช่างดีนัก ดีมาก ดีมาก…” ชมติดต่อกันหลายครั้ง จู่ๆ ก็สักผ่อนคลายทั้งตัว ความว้าวุ่นใจก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

ประมุขชิงพบว่าที่นี่มักชำระจิตใจให้เขาได้เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าจะผล็อยหลับไปเร็วมาก…

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ริมทะเล เฟยหงกำลังนำสาวใช้สองคนม้วนขากางเองอยู่บนโคลนทรายริมทะเล กำลังเดินเท้าเปล่าเก็บอาหารทะเล พูดคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง โคลนทรายเปื้อนเต็มเท้า แต่กลับเล่นกันอย่างเบิกบานใจมาก

เหมียวอี้ก็เท้าเปื้อนโคลนเช่นกัน แต่กลับเดินออกมาจากโคลนทรายแล้ว กำลังถือระฆังดาราติดต่อกับหยางชิ่งที่แดนอเวจี

ได้ยินว่าชิงหยวนจุนเกือบถูกย้ายมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว แต่กลับถูกขุนนางคนสนิทของประมุขชิงขวางไว้ หยางชิ่งอดไม่ได้ที่จะถาม : นายท่าน ท่านแน่ใจนะว่าคนที่เอ่ยปากห้ามคนแรกคือเกาก้วน?

เหมียวอี้ : น่าจะไม่ผิด ทำไม เจ้ารู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?

หยางชิ่ง :แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ข้าน้อยศึกษานิสัยคนพวกนั้นในตำหนักสวรรค์มาหลายปีแล้ว ลักษณะของทูตขวาเกาก้วนชัดเจนมาก เป็นแบบฉบับของคนเย็นชาไร้อารมณ์ ค่อนข้างมีทักษะ มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลัง แข็งกร้าวมาก ชอบใช้ไม้แข็ง ไม่ได้มีนิสัยชอบเถียงกับคนอื่น ต่อให้อยู่ในราชสำนักก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรมาก ดังนั้นต่อให้ประมุขชิงจะบงการลูกน้องให้ช่วยแสดงละคร แต่ก็ไม่น่าจะเลือกเกาก้วนก่อน ตอนนี้เกาก้วนกลับเป็นคนแรกที่ขัดขวางไม่ให้ชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ข้าสงสัยนิดหน่อย ว่านี่อาจไม่ใช่การแสดงละครระหว่างประมุขชิงกับลูกน้องคนสนิท การให้ชิงหยวนจุนไปกองทัพองครักษ์อาจไม่ใช่สิ่งที่ประมุขชิงเลือกไว้ตั้งแต่แรก เพราะอุบายของพวกเราก่อนหน้านี้ บวกกับประมุขชิงตั้งใจจะขัดเกลาชิงหยวนจุน ดีไม่ดีความตั้งใจแรกของประมุขชิงอาจจะเป็นการส่งชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ ก็ได้ เพราะประมุขชิงรู้แจ่มแจ้ง ว่าพวกขุนนางใหญ่ไม่มีทางรับชิงหยวนจุนไว้ ตอนแรกเขาก็กำหนดให้ชิงหยวนจุนลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้ว กองทัพองครักษ์มีตำแหน่งเทพแห่งผืนดินเสียที่ไหนกัน? ถ้าเดาไม่ผิด แผนของประมุขชิงอาจจะพังเพราะพวกลูกน้องคนสนิทขัดขวางจริงๆ!

คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผล เนื่องจากมีเหตุผลนี่แหละ เหมียวอี้จึงต้องปาดเหงื่อ ถ้าหยางชิ่งเดาไม่ผิด เขาก็นับว่าโชคดีรอดพ้นปัญหาได้อย่างหวุดหวิดแล้วจริงๆ ประมุขชิงส่งสัญญาณนั่นแล้ว ถ้าย้ายชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ ก็ปัญหาก็จะทยอยมาไม่ขาดสาย จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะกลายเป็นจุดศูนย์รวม ขัดกับนโยบายเก็บซ่อนศักยภาพ ตอนนี้เป็นเวลาสั่งสมกำลังเงียบๆ มิหนำซ้ำนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งในวังหลัง

เหมียวอี้โล่งอก : โชคดี  ตอนนี้ชิงหยวนจุนมีกองทัพองครักษ์ดูแลอยู่ ด้านราชินีสวรรค์ก็มีตระกูลเซี่ยโห้วคุ้มกันอยู่ พวกเราสามารถวางตัวเองไว้นอกเรื่องได้ต่อไปได้

หยางชิ่ง : สถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ที่สุดก็เป็นอย่างนี้

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ที่อารมณ์ดีมากก็วิ่งเท้าเปล่าไปเล่นกับเฟยหง แอบนำโคลนไปป้ายหน้านาง ทำให้นางร้องตกใจ คว้าโคลนวิ่งไล่ตามเหมียวอี้บ้าง

ส่วนหยางชิ่งที่ตัวอยู่แดนอเวจีก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ริมหน้าผาที่ถูกคลื่นทะเลซัดกระทบ บางครั้งก็ก้มหน้าจมอยู่กับความคิด บางครั้งก็ขมวดคิ้วทอดสายตามองไปไกล ปากพึมพำชื่อคนเป็นระยะ “เกาก้วน…เกาก้วน…”

ชุดกระโปรงยาวสีทองของจินม่านปลิวสะบัดรับลม นางเดินเนิบนาบเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล กระดกนิ้วเรียกไหสุราไหหนึ่งไหสุรา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ผู้ช่วยใหญ่คิดอะไรอยู่อีกล่ะ?”

ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายปี นางมองออกแล้วว่าหยางชิ่งไม่ได้กำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญอะไร นางถึงได้กล้าออกมาส่งเสียงรบกวน

หยางชิ่งดึงสติกลับมา แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อย”

“ผู้ช่วยใหญ่เป็นคนที่รักการใช้สมองโดยธรรมชาติ!” จินม่านพูดหยอก แล้วโยนไหสุราเข้ามา ท่วงทาสง่างามผ่าเผย นางเดินเข้ามาใกล้ “สุราชั้นดีที่นำมาจากพิภพเล็ก เบื้องล่างส่งมาใหม่ ลองชิมดูว่าถูกปากมั้ย ถ้าพอใช้ได้ ข้าจะไปทำกับแกล้มสักหน่อย”

หยางชิ่งรับไหสุรามาไว้ในมือ ชำเลืองมองนางด้วยสายตาล้ำลึก ถือโอกาสตีเปิดผนึกไห แล้วเงยหน้ากรอกหนึ่งคำ แต่กลับอาศัยการชิมสุรามาพูดถึงสิ่งที่มีความหมายล้ำลึก “สุราไม่เลว พอพูดพิภพเล็กฮูหยินของข้ายังอยู่ที่นั่นอยู่เลย”

จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เคยได้ยินมาก่อน ว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งงานครั้งที่สอง อีกทั้งราชาปราชญ์ยังบังคับให้เจ้าแต่งงานด้วย ถ้าผู้ช่วยใหญ่รู้สึกเหงา พิภพใหญ่ก็ใช่ว่าจะไร้ผู้หญิงดีๆ ให้คลายความเหงา ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ คาดว่าฮูหยินของเจ้าคงไม่ได้คุยยากขนาดนั้น” จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็น “ในเมื่อผู้ช่วยใหญ่รู้สึกว่าสุรานี้ไม่เลว ข้าก็จะไปทำกลับแกล้มให้สักหน่อย จะดื่มกับผู้ช่วยใหญ่สักสองจอก”

นางเพิ่งจะหันตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หยางชิ่งที่หันหน้าให้ทะเลกว้างจนชุดคลุมปลิวสะบัดก็ถามเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์จินมีความมั่นใจที่จะบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”

จินม่านตัวสั่นเล็กน้อยขณะหยุดเดิน นางฟังออกว่าหยางชิ่งหมายถึงอะไร เขาให้นางพิจารณาดูให้ดี

หยางชิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ตอนแรกจะดูไม่ออก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ตอนหลังจะดูไม่ออกเลย เขารู้แล้วว่าจินม่านสนใจเขา ระหว่างทั้งสองนั้นรู้อยู่แก่ใจ เหลือแค่เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นสุดท้ายก็เท่านั้นเอง

พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมปัจจุบันและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง หยางชิ่งจงใจแกล้งโง่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนาน จินม่านกลับเป็นฝ่ายรุกมากขึ้น รุกจนทำให้คนที่มีตาล้วนดูออก ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่ที่บอกว่า ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ

…………………