ตอนที่ 1105 นั่งชมเมฆลมโหมพัด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

แดนชัยบูรพา ภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านล้อมรอบด้วยรัศมีสีเขียว

เวลานี้เกิดเสียงตูมขึ้น ตัวภูเขาสูงหมื่นจั้งเต็มๆ ถึงกับผุดลอยจากพื้นดิน จากนั้นพลันทรุดตัวลงด้านหนึ่ง กระแทกจนผืนดินกว้างสะเทือนเลื่อนลั่น หินผาแหลกเป็นเสี่ยง

สัตว์อสูรมารและสิ่งมีชีวิตในพื้นที่หมื่นจั้งไม่รู้ถูกกระแทกตายไปเท่าไหร่

“ฮือๆๆ…”

เบื้องล่างของภูเขาที่พังครืน มีเสียงระลอกหนึ่งปานเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมชาดคนหนึ่งแหงนหน้าน้ำตาไหลพราก

เงาร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ ผมสีเลือดปลิวไสว กลางหว่างคิ้วมีดวงตาแนวตั้งข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสยดสยองหาใดเปรียบ

“สวรรค์ช่างน่าสมเพชนัก ข้าถูกผนึกมาหมื่นปีเต็มๆ! ผู้ใดจะเข้าใจความอัดอั้นของข้า ยังดี มหายุคมาแล้ว! ฮ่าๆๆ…”

ชายหนุ่มชุดคลุมชาดที่กำลังหลั่งน้ำตาจู่ๆ กลับหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นมา เส้นผมสีแดงทั่วศีรษะราวกับเพลิงอัคคีกำลังลุกโหม ยามที่ดวงตาตั้งตรงกลางหน้าผากเปิดลืมขึ้นมา ลำแสงเลือดลึกลับก็แผ่พุ่งออกมาประหนึ่งอสูรมารสะท้านโลก

“หมื่นปีนานเกินไป จะไขว่คว้าทุกช่วงเวลา!”

“ข้าเงียบมานานเกินไป มหายุคครั้งนี้ก็ควรถึงคราวข้าออกโรงบ้าง!”

ชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดพึมพำกับตัวเอง แววตาน่าสะพรึง ทั่วร่างพวยพุ่งด้วยกลิ่นอายอสูรชั่วร้าย “หากสามารถเหยียบย่างระดับมกุฎราชันได้ การเก็บตัวเงียบหมื่นปีก็คุ้มค่า!”

“ขอแสดงความยินดีที่นายน้อยออกด่าน!”

ข้ารับใช้คนหนึ่งโรยตัวลงมา นี่เป็นราชันคนหนึ่ง แต่เวลานี้กลับเคารพชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดเป็นล้นพ้น

“เฮอะ! หมื่นปีแล้ว ข้ายังคิดว่าตระกูลลืมข้าไปสิ้นแล้ว!”

ชายหนุ่มชุดคลุมชาดแค่นเสียงเย็น แม้ว่าข้ารับใช้จะเป็นราชัน แต่เขากลับไม่เกรงใจสักนิด

“นายน้อย ตระกูลยกโชควาสนาหมื่นปีทั้งหมดไว้ที่ท่าน เห็นได้ชัดว่าตระกูลให้ความสำคัญกับท่านปานใด หวังว่าท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะขอรับ”

ข้ารับใช้กล่าวอธิบาย

ชายหนุ่มชุดคลุมชาดพูดอย่างเหลืออด “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าไม่เข้าใจเรื่องราวในใต้หล้ามานานมากแล้ว เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย ทุกวันนี้มีเจ้าคนไหนที่ร้ายกาจที่สุดบ้าง ในใจข้าสะสมความอัดอั้นมามากเกินไป ต้องหาเหยื่อมาระบายก่อนสักสองสามคน”

นิ่งไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเขาทอดมองเวิ้งฟ้า มุมปากผุดเส้นโค้งคมกริบ “ขณะเดียวกันก็ต้องบอกคนทั่วหล้าว่าข้า ชื่อหลิงเซียวกลับมาแล้ว!”

พื้นที่อื่นๆ ก็อุบัติเรื่องราวคล้ายคลึงกันขึ้น มีสัตว์ประหลาดบรรพกาลและอัจฉริยะออกด่านไม่ขาดสาย

ก้นภูเขาไฟสีทองลูกหนึ่ง หินหนืดที่เงียบงันไม่รู้กี่ปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเดือดพล่าน

ตูม!

ทันใดนั้นภูเขาไฟพลันปะทุขึ้น คลื่นไฟโหมกระหน่ำแผดเผาเวิ้งฟ้าแถบนี้ สะเทือนเลื่อนลั่นขุมอำนาจฝึกปราณมากมายในเขตแคว้นนี้

ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างสั่นสะท้าน ทอดสายตามองมายังที่แห่งนี้

ท่ามกลางเพลิงอัคคีคุกรุ่นกลับมีเงาร่างหญิงสาวสายหนึ่งที่อาบชโลมกลางลมหิมะห้อทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศ ระเบิดแสงหิมะน้ำแข็งหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด แช่แข็งเพลิงอัคคีเหล่านั้นให้มอดดับ!

หญิงสาวคนนี้เรือนผมยาวสีน้ำเงินเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเล ปรายตามองภูผาธาราสรรพชีวิตจากเวิ้งฟ้า ประหนึ่งเทพธิดาหิมะน้ำแข็งปรากฏตัวบนโลกหล้าก็ไม่ปาน

กลิ่นอายของนางแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ทั้งที่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติแท้ๆ แต่กลับน่าสะพรึงสุดขีด เพียงพอจะทำให้ระดับกึ่งราชันพากันเข่าอ่อน

“มหายุค… มหายุค…”

ท่ามกลางเสียงพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวเหยียบย่างกลางห้วงอากาศ ทุกๆ ก้าวที่ย่ำเดิน ห้วงอากาศพลันควบแข็งกลายเป็นเส้นทางน้ำแข็งหนาวเหน็บทอดยาวไปสู่แดนไกล

“ตำนานที่บันทึกไว้ในตำราโบราณถึงกับเป็นเรื่องจริง!”

“หลายพันปีก่อนเคยมีธิดาเทพแห่งยุคเก็บตัวเงียบอยู่ที่นี่ เพียงรอฤกษ์งามยามดีที่สุดกลายเป็นราชัน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”

“นางชื่ออะไร แล้วมาจากที่ไหน”

“ไม่แน่ชัด ตำราโบราณบันทึกไว้แค่ ‘หลินเสวี่ย’ สองคำนี้!”

คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างพากันอดร้องอุทานไม่อยู่

ไม่กี่วันสั้นๆ ประหนึ่งร้อยบุปผาเบ่งบานตามกัน ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้มีอัจฉริยะลึกลับ สัตว์ประหลาด วิญญาณอสูรมารแห่งยุคตั้งเท่าไหร่ปรากฏตัวขึ้น ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่หลวง

“มหายุคที่ได้รับการจับจ้องจากทุกคนครั้งนี้ใกล้มาเยือนแล้วจริงๆ!”

หลายวันนี้ก็ไม่รู้มีสำนักโบราณทอดถอนใจปลงตกเช่นนี้มากมายเท่าไหร่

ส่วนลึกของทะเลหมากดารา

บนเกาะสันโดษ หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหินผา น้ำทะเลสีเงินที่อยู่ไกลๆ เกิดเป็นลูกคลื่น ผุดรัศมีดาราดุจดั่งหมอกควัน เงียบสงบและไร้อัตตา

โลกภายนอกต่างปั่นป่วนอลหม่าน ดุจดั่งท้องฟ้าวิปริต ทั่วหล้าฮือฮาสะเทือนเลื่อนลั่น

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับหลินสวิน

เขานั่งสมาธิฝึกจิตอยู่ตลอด ราวกับตัดขาดจากโลก เมฆลมโลกภายนอกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรบกวนความสงบของทะเลหมากดารา

ไม่ช่วงชิงกับโลก ไม่ได้หมายความไม่แก่งแย่งอย่างแท้จริง

มีรุกมีถอย บากบั่นนั้นคือรุก

เมื่ออัจฉริยะ และสัตว์ประหลาดจากต่างยุคสมัยพากันปรากฏตัว หลินสวินกลับประหนึ่งเข้าสู่การจำศีล

เวลาเคลื่อนคล้อย

หนึ่งเดือนผ่านไป หลินสวินลืมตาขึ้นขณะนั่งสมาธิ

บนตัวของเขาปรากฏท่วงทำนองมรรคไร้มรณะที่คลุมเครือและไพศาลสายแล้วสายเล่า

‘มรรคนี้ดุจเตาเพลิงไร้มอดดับ สร้างพลังชีวิตอบอวลทั่วร่าง พาให้กลิ่นอายแห่งชีวิตทั้งภายในและภายนอกร่างกายโคจรอย่างต่อเนื่อง…’

หลินสวินสัมผัสพลัง ‘ท่วงทำนองมรรคไร้มรณะ’ อย่างเงียบๆ

ฝึกปราณจนบัดนี้ ระยะเวลาแค่เดือนเศษๆ เท่านั้น กลับทำให้เขาหยั่งถึงและเชี่ยวชาญความเร้นลับของมหามรรคเทียมฟ้าได้เสี้ยวหนึ่ง!

ความเร็วในการหยั่งรู้มรรคเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างยิ่ง

แต่เหตุผลก็แสนง่ายดาย นัยเร้นลับมหามรรคไร้มรณะนี้ เดิมทีก็ถูกหญิงลึกลับคว้าเอามาหลอมในห้วงนิมิตของหลินสวิน ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเสาะหาก็สามารถหยั่งถึงได้

อีกด้านหนึ่ง หลังจาก ‘ดวงใจฉิวหนิว’ เกิดการเปลี่ยนแปลง ครอบครองประสิทธิภาพอัศจรรย์ของ ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ก็ทำให้ความเร็วในตอนหยั่งรู้ของหลินสวินไวกว่าที่ผ่านมามากอักโขอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเป็นเช่นนี้ การบรรลุพลังมหามรรคไร้มรณะถึงระดับ ‘ท่วงทำนอง’ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายดั่งใจหวัง

ชิ้ง!

หลินสวินที่นำดาบหักออกมากรีดแขนเป็นรอยแผลทางหนึ่ง พอเลือดสดไหลเอ่อออกมาหลินสวินก็ไม่ได้สนใจ

แต่ภาพเหตุการณ์ที่ชวนตกใจก็เกิดขึ้น บาดแผลสมานตัวด้วยความเร็วน่าทึ่ง ไม่นานก็สมานเข้าด้วยกัน เปลี่ยนเป็นสมบูรณ์ไร้รอยบุบสลาย แม้แต่รอยแผลเป็นสักรอยยังไม่มีให้เห็น

ไร้มรณะ หมายถึงพลังชีวิตไม่ขาดหาย!

นี่คือพลังมหามรรคแห่งการฟื้นบำรุงตนเองอย่างหนึ่ง!

มหามรรคธาตุไม้ถึงแม้จะครอบครองนัยเร้นลับพลังชีวิตคงกระพัน แต่เมื่อเทียบกับมหามรรคไร้มรณะกลับมีส่วนต่างกัน ด้วยพลังชีวิตคงกระพันไม่ได้หมายความว่าจะไม่สูญหาย

แต่มหามรรคไร้มรณะเป็นพลังแห่งการซ่อมแซมอย่างสิ้นเชิง!

ปึง!

หลินสวินเดือดคลั่ง ใช้ประทับปี้อั้นซัดใส่หน้าอกของตน ออกแรงเผด็จการถึงขีดสุด เพียงพอจะสังหารยอดผู้กล้าคนหนึ่งได้

และเขาไม่ได้โคจรพลังสลายสักนิด ด้วยเหตุนี้ร่างของตนกจึงถูกซัดสะเทือนจนกระอักเลือดเช่นกัน ได้รับบาดเจ็บภายในระดับหนึ่ง

ถึงกระนั้น ความเจ็บปวดของบาดแผลภายในเช่นนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกตัวเลย

หนำซ้ำตอนที่หลินสวินโคจรนัยเร้นลับไร้มรณะ ผลลัพธ์ยิ่งน่าทึ่ง เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น บาดแผลภายในก็หายไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่อาการภายหลังยังไม่หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว

พลังฟื้นฟูที่เรียกได้ว่าวิปริตระดับนี้น่าทึ่งเกินไปแล้ว!

นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย ในใจเบิกบาน พลังฟื้นฟูนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสนามรบ เมื่อปะทะกับคู่ต่อสู้ นั่นเท่ากับเหมือนมีพลังป้องกันที่วิปริตผิดธรรมดาอย่างที่สุด

จากนั้นหลินสวินก็ทำการทดลองอีกหลายครั้ง ผลสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า ถ้าได้รับบาดเจ็บภายนอก พลังมหามรรคไร้มรณะก็สามารถซ่อมแซมตนเองได้ในเวลาที่สั้นที่สุด

ต่อให้บาดแผลสาหัสสากรรจ์สุดขีดก็ไม่อาจขวางพลังเช่นนี้ได้

หากได้รับบาดเจ็บภายในก็ต้องโคจรพลังมหามรรคไร้มรณะ สิ้นเปลืองพลังไปในระดับหนึ่ง

ถึงอย่างไรไม่ว่านัยเร้นลับมหามรรคอัศจรรย์แค่ไหน ก็จำเป็นต้องใช้ปราณแห่งตนไปโคจร ย่อมเกิดการสิ้นเปลืองอย่างแน่นอน

แต่ว่าการสิ้นเปลืองเช่นนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย ทว่ามีประสิทธิภาพยิ่งกว่ากลืนโอสถวิเศษที่ใช้รักษาแผลเป็นไหนๆ

กลืนโอสถลูกกลอนยังต้องหาจังหวะ แต่โคจรพลังมหามรรคไร้มรณะ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้สักนิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจอกับศัตรูตัวฉกาจเข้า ในการปะทะที่ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัส ก็สามารถครองสภาพได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แน่นอน

‘นี่แค่พลังไร้มรณะของระดับท่วงทำนองเท่านั้น หากบรรลุระดับเจตจำนงมรรค หรือแม้แต่แก่นมรรค จะแข็งแกร่งปานใดกัน’

หลินสวินลอบตัดสินใจกับตนเอง จากนี้ไปต้องทุ่มเทเคี่ยวกรำพลังมหามรรคไร้มรณะมากยิ่งขึ้น

ครอบครองพลังระดับนี้ ไม่ต่างอะไรกับการมีหลายชีวิตชัดๆ ต่อให้พบกับอันตรายถึงชีวิต ก็มีโอกาสสลายทิ้งได้มากพอ!

‘หนึ่งเดือนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องราวมากน้อยแค่ไหนกันนะ…’

หลินสวินหยัดตัวขึ้น ทอดสายตามองไปไกลๆ

‘หืม?’

ไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่าริมฝั่งทะเลหมากดารามีเงาร่างไม่น้อยจับจองพื้นที่อยู่ตรงนั้น

‘บางทีอาจได้รู้ข่าวสารบางอย่างจากปากพวกเขาก็ได้’

หลินสวินคิดเช่นนี้ เงาร่างพลันขยับพุ่งไปยังริมฝั่งทะเลหมากดารา

ริมฝั่งทะเลหมากดารามีผู้ฝึกปราณไม่น้อยลาดตระเวนอยู่ มีทั้งชายหญิง มาจากขุมอำนาจแตกต่างกัน ดูคล้ายกับกำลังรอคอยอะไรอยู่

“หนึ่งเดือนก่อน การต่อสู้ระดับอริยะที่สะเทือนฟ้าดินครั้งนั้นก็เกิดขึ้นที่นี่ อริยะหกคนบุกโจมตี ผลลัพธ์กลับถูกกำราบง่ายๆ ด้วยฝีมือของหญิงลึกลับคนนั้น เรียกได้ว่าเทียมฟ้าไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน!”

มีคนทอดถอนใจ

ร่องรอยความเสียหายที่การต่อสู้แห่งอริยะเหลือทิ้งไว้ในลาน กลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่ยืนเฝ้าสังเกตอยู่

“เรื่องนี้รู้ดันทั่วหล้าตั้งนานแล้ว พวกเรามุ่งหน้ามาครั้งนี้ ล้วนได้ยินมาว่าพวกผู้กล้าแห่งยุครุ่นเก่าส่วนหนึ่งคิดจะมาที่นี่ เพื่อท้าสู้กับเทพมารหลิน!”

“เทพมารหลินนั่นสังหารเหล่าราชัน เข่นฆ่าผู้กล้าในทะเลหมากดารา ซ้ำเจ้าตัวยังเป็นที่หนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ สร้างคลื่นโกลาหลฮือฮาขึ้นในหมู่คนรุ่นเยาว์ ข้าเองก็ได้ยินว่าเรื่องนี้ทำให้พวกร้ายกาจไม่น้อยต่างไม่ยอมแพ้”

ผู้ฝึกปราณในที่นี้วิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด

พวกเขามาครั้งนี้ ก็เพราะได้ยินว่าพักนี้ในสำนักส่วนหนึ่งมีบุคคลแห่งยุคที่ปิดด่านนานปีเดินทางออกมาไม่น้อย ถือโอกาสนี้มาดูสักหน่อยว่าเทพมารหลินเป็นอย่างไรกันแน่

“จะว่าไปเวลาหนึ่งเดือนมานี้ ทั่วหล้าไม่รู้มีพวกยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎปรากฏตัวตั้งเท่าไหร่ ยิ่งไม่ขาดแคลนสัตว์ประหลาดบรรพกาลและอัจฉริยะต่างยุคส่วนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นเหล่าดาวเด่นมากฝีมือ แต่ละคนล้วนเฉิดฉาย”

“เมื่อเทียบกัน ภายในหนึ่งเดือนนี้เทพมารหลินกลับเสมือนเก็บตัวเงียบ ใต้หล้าไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย ความคมกริบของเขาถูกกดทับอย่างไร้รูปไปไม่น้อย”

“เหอๆ ต่อให้เทพมารหลินแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายรากฐานพลังก็ตื้นเขินเกินไป มีหรือจะเทียบชั้นกับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎหน้าเก่าเหล่านั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเทียบกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลเลย”

“คนทั่วหล้าต่างพากันสงสัย ตอนนี้เทพมารหลินก็ซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมากดาราแห่งนี้ พวกเราก็รอไปก่อนแล้วกัน จากข่าวที่ข้าได้มา ไม่นานบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งก็จะมากันแล้ว”

บรรดาผู้ฝึกปราณต่างพากันคาดเดา ตั้งตาคอยหาใดเปรียบ

ตอนที่หลินสวินมาถึงริมฝั่งทะเลหมากดารา ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดเหล่านี้อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่เสี้ยวเดียว

สีหน้าเขาไม่ไหวหวั่น นั่งเงียบๆ บนเกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่งมากที่สุด ตั้งใจจะนั่งฟังเพลินๆ ต่อไป ใช้สิ่งนี้มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ว่าระหว่างที่ตามหลังมหายุคใกล้มาเยือน โลกภายนอกเกิดเรื่องใหญ่ฮือฮาหาใดเปรียบมากมายเท่าไหร่แล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าจะออกจากทะเลหมากดารามุ่งหน้าสู่โลกภายนอกนั้น ตอนนี้หลินสวินยังไม่มีแผนนี้ชั่วคราว

——