ตอนที่ 1106 ดุจสุริยันกลางนภา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

บนริมฝั่งทะเลหมากดารา ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป ก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยได้ยินข่าวแล้วทยอยเข้ามาอีก

ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์และรอคอย

“ข่าวได้รับการยืนยันแล้ว เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่ง นามว่าฉู่จงเทียน!”

“อีกไม่นาน เขาจะมาที่นี่เพื่อกำราบเทพมารหลินด้วยตัวเอง!”

ไม่นานก็มีคนเปิดเผยข่าวที่น่าเชื่อถือออกมา ดึงดูดให้เกิดความสะเทือนทั้งลาน

“สัตว์ประหลาดพลิกฟ้าที่ในพันปีมานี้เคยปรากฏสู่โลกสามครั้ง และทั้งสามครั้งก็ล้วนได้รับที่หนึ่งของการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูหรือ”

“เขานั่นแหละ!”

“คนผู้นี้ถูกมองว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคตั้งแต่เมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว เป็นผู้เลิศล้ำโดดเด่นในฝ่ายหนึ่ง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวสู่โลก ล้วนราวกับมังกรออกจากเหว ปั่นป่วนเมฆลมใต้ฟ้า!”

ในลานเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าต่างรู้ที่มาของฉู่จงเทียน

“จำศีลอย่างยากลำบากมานานพันปี ก็เพื่อรอโอกาสบรรลุราชันในมหายุค ฉู่จงเทียนนี่ความอดทนสูงจริงๆ!”

มีคนถอนหายใจ

“บนโลกยุคปัจจุบัน พลังต่อสู้ส่วนบุคคลของผู้กล้าขอบเขตมกุฎไม่ได้แบ่งด้วยเวลา ฉู่จงเทียนยอดเยี่ยมมากจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่มากประสบการณ์ แต่คนทั้งโลกต่างรู้ว่าตอนที่เขาปรากฏสู่โลกครั้งที่สาม เคยพ่ายแพ้ในมือของอวิ๋นชิ่งไป๋!”

จู่ๆ ก็มีคนหัวเราะเสียงเย็นออกมา

ทุกคนอึ้ง นึกขึ้นได้กะทันหันว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ

ตอนที่ฉู่จงเทียนปรากฏตัวบนโลกครั้งที่สาม ก็คือตอนที่อวิ๋นชิ่งไป๋โดดเด่นที่สุด อายุเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ก็ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันแห่งดินแดนรกร้างโบราณแล้ว

ด้วยสาเหตุที่ไม่อาจทราบได้บางอย่าง ฉู่จงเทียนเป็นฝ่ายเชิญอวิ๋นชิ่งไป๋ประลอง และอวิ๋นชิ่งไป๋ตอบรับอย่างไม่ลังเลสักนิด

สุดท้ายเหนือความคาดหมายของทุกคน ฉู่จงเทียนที่ถูกทุกคนคาดหวังกลับก็สู้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้ ถูกกำราบอย่างแข็งกร้าว

ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋เคยพูดประโยคหนึ่งที่ชื่อเสียงสะเทือนทั่วฟ้า…

‘หากพลังต่อสู้ต้องใช้เวลาในการสั่งสม เช่นนั้นหมูที่สามารถอยู่รอดมานับล้านปีตัวหนึ่ง จะสามารถไร้คู่ต่อสู้ทั่วหล้าได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่’

ความดูถูกในคำพูดไม่มีปกปิดเลยสักนิด

แน่นอนว่าฉู่จงเทียนไม่ใช่หมู ที่เขาไม่ทะลวงระดับก็เพื่อรอคอยมหายุคมาเยือน ไม่ได้หวังจะได้เปรียบในเรื่องเวลาการฝึก

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็แพ้ หลังจากนั้นก็หายไปจากสายตาของคนทั้งโลก เข้าสู่การปิดด่านอีกครั้ง

“ครั้งนี้ในที่สุดมหายุคที่ฉู่จงเทียนรอคอยก็มาถึงแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าคนแรกที่เขาจะกำราบจะเป็นเทพมารหลิน”

“แม้ตอนนั้นเขาจะพ่ายแพ้ในมืออวิ๋นชิ่งไป๋ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหาย ถึงอย่างไรบุคคลที่ได้อันดับหนึ่งของการประลองกระดานดาราถึงสามครั้ง ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”

“เทพมารหลินมีอันตรายแล้ว เขาเป็นแค่อันดับหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือชื่อเสียงก็ด้อยกว่าฉู่จงเทียนมากเกินไป”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ยังคงเป็นคำเดิม ในระดับกระบวนแปรจุติ พลังต่อสู้ในตัวไม่ได้วัดด้วยเวลาในการฝึกปราณ ข้าว่าเทพมารหลินก็ใช่จะด้อยกว่าฉู่จงเทียน”

ในลานเสียงวิจารณ์ไม่ขาดสาย แฝงด้วยเสียงโต้เถียง

แต่เห็นได้ชัดมากว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังคงถือหางฉู่จงเทียนมากกว่า คนที่เข้าข้างหลินสวินมีน้อยมาก

สำหรับหลินสวิน แม้จะก่อให้เกิดกระแสมากมาย แต่เมื่อเทียบกับฉู่จงเทียนในตอนนั้น ในด้านชื่อเสียงกลับด้อยกว่าไม่น้อย

คนหนึ่งเป็นเพียงที่หนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ส่วนอีกคนเคยได้รับที่หนึ่งของการประลองกระดานดาราถึงสามครั้ง ความห่างชั้นของชื่อเสียงเช่นนี้ชัดเจนเกินไป

ชื่อเสียงไม่ได้หมายความถึงพลังต่อสู้ทั้งหมดของผู้ฝึกปราณ แต่ภายใต้ชื่อเสียงอันทรงเกียรติล้วนเป็นคนที่มีความสามารถจริง ความแข็งแกร่งของฉู่จงเทียน คนทั้งโลกล้วนได้เห็นโดยทั่วกัน!

ห่างออกไปหลินสวินได้ยินทุกอย่าง ในใจกลับนิ่งสงบ

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรือยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแห่งยุค พลังปราณก็ยังอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติอยู่ดี

พลังปราณเป็นรากฐานของพลังต่อสู้

ในจุดนี้หลินสวินไม่กลัวใครทั้งในอดีตและปัจจุบัน!

สำหรับความสูงต่ำของพลังต่อสู้ ก็ต้องดูความสำเร็จในมกุฎมรรคาของแต่ละคน ในจุดนี้หลินสวินเองก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ความมั่นใจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นยืนยันและตัดสิน แต่เป็นความองอาจที่ปลูกฝังมาจากการผ่านการเคี่ยวกรำมาเป็นเวลานาน

สิ่งที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ หญิงลึกลับเคยข่มขวัญและตักเตือนขุมอำนาจใหญ่ทั้งหกอย่างพวกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์

แต่เห็นได้ชัดว่าแม้สำนักเหล่านี้จะทนไว้ แต่ไม่มีความคิดที่จะเลิกโจมตีตน!

ไม่อาจให้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย พวกเขาจึงเคลื่อนกำลังอย่างฉู่จงเทียน ต้องการจะใช้เขามาสยบตนเพื่อกู้หน้า!

ถึงขั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่า ครั้งนี้เป็นฉู่จงเทียน ต่อไปก็คงจะมีบุคคลอื่นๆ โผล่ออกมามากกว่านี้

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน หลินสวินก็ได้รู้ว่า ช่วงที่ผ่านมาดินแดนรกร้างโบราณเหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีปีศาจและอัจฉริยะโดดเด่นมากมายปรากฏขึ้น

นี่ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือน

ในเวลาเดียวกันสำนักใหญ่และเผ่าต่างๆ บนโลกก็เริ่มเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมสำหรับมหายุคที่กำลังจะมาเยือน ทำให้เกิดคลื่นลมโหมซัด แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ถึงขั้นที่ในขุมอำนาจบางส่วนที่เดิมทีไม่สะดุดตา กลับมีสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าซุ่มซ่อนไว้ปรากฏขึ้น ทำให้คนทั้งโลกจับจ้อง

กลียุคปรากฏวีรบุรุษ มหายุคก็ถูกกำหนดให้ผู้มีความสามารถเปล่งประกาย

โครม!

บนฟากฟ้าไกลโพ้น จู่ๆ ก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในลาน

พลันเห็นเกี้ยวสมบัติทองม่วงคันหนึ่งบนขยี้ผ่านชั้นเมฆโดยมีสัตว์มงคลหลายตัวลากอยู่ มุ่งหน้ามาทางนี้พร้อมเสียงครืนครัน

ชั่วพริบตาก็ลงมาจากกลางอากาศแล้ว

เฮือก!

หลายคนสูดหายใจด้วยความตกใจ สังเกตเห็นว่าคนที่ควบคุมเกี้ยวสมบัติทองม่วงคือผู้แข็งแกร่งระดับราชันสองคน!

ใครวางอำนาจขนาดนี้ กล้าให้ราชันควบคุมยานพาหนะให้

ทุกคนเงยสายตาขึ้น พลันเห็นชายหนุ่มเงาร่างผอมสูงในชุดสีดำเดินลงจากเกี้ยวสมบัติทองม่วง

ทันใดนั้นสายตาของทุกคนรู้สึกเจ็บขึ้นมาระลอกหนึ่ง

เพราะพลังรอบตัวของชายหนุ่มชุดดำคนนี้รุนแรงเกินไป แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามปกคลุมตัวเขาไว้ ยามเปิดเปลือกตา ราวกับสุริยันปรากฏอยู่ภายใน ดูดจิตชิงวิญญาณ

ฉู่จงเทียน!

ประกายแสงนี้ดุจสุริยันกลางนภา!

มีเพียงตอนที่เห็นเขาจริงๆ จึงเข้าใจว่าพลังของคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด ราวกับดวงสุริยันที่สว่างไสวปรากฏในลาน

ทั่วทั้งลานเงียบสงบ เสียงวิจารณ์ล้วนหายไป เงียบกริบไร้เสียง ทุกคนต่างเปิดทางให้อย่างรู้ตัว

ในเวลาเดียวกันความคาดหวังและตื่นเต้นก็พรวดพราดขึ้นในใจของทุกคน การปรากฏตัวสู่โลกครั้งนี้ ฉู่จงเทียนดูแข็งแกร่งขึ้น มีอานุภาพไร้เทียมทานราวกับนายเหนือหัวคนหนึ่ง!

ครั้งนี้เขามากำราบเทพมารหลินด้วยตัวเอง อีกฝ่าย… กล้ารับศึกหรือไม่

ทุกคนรอคอยอย่างที่สุด

ฉู่จงเทียนราวกับไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในลาน เงาร่างของเขาเป็นประกาย ค่อยๆ เดินไปยังริมฝั่งทะเลหมากดารา ทอดสายตามองไกลออกไป ราวกับเดินเล่นสบายอารมณ์ชื่นชมทิวทัศน์

ห่างออกไปราชันทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเกี้ยวสมบัติทองม่วงเงียบๆ ราวกับไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในลาน

หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลไม่มากนักก็สังเกตเห็นฉู่จงเทียน แต่เพียงพินิจคร่าวๆ รอบหนึ่งเท่านั้นก็เก็บสายตา สภาวะจิตราวกับบ่อน้ำโบราณ นิ่งสงบไร้คลื่น

“หลินสวินกล้าดวลกันสักรอบหรือไม่”

จู่ๆ ฉู่จงเทียนเอ่ยขึ้น เสียงไม่ได้ดังแต่กลับก้องอยู่กลางฟ้าดิน แผ่กระจายไปยังส่วนลึกของทะเลหมากดารา

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เจ้าหมอนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ

น่าเสียดายที่เขารออยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อรอฉู่จงเทียนมาท้าทาย

อีกไม่นานมหายุคจะมาเยือนแล้ว หลินสวินคร้านจะลงมือตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากลัว แต่เพราะมันไม่มีความหมาย

เขาลุกขึ้นยืน ตัดสินใจจะหวนกลับส่วนลึกของทะเลหมากดาราเพื่อฝึกปราณต่อ

แต่ตอนนี้เองจู่ๆ ฉู่จงเทียนก็พูดขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากประลองกับเจ้าสักครา เหตุผลแรกเพื่อแก้แค้นให้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตายในมือเจ้า เหตุผลที่สองเพื่อล้างความอับอายให้สำนัก”

เสียงก้องอยู่กลางฟ้าดิน ในความเรียบเฉยแฝงไอฆ่าฟันไร้สิ้นสุด

แข็งกร้าวมาก!

ในใจทุกคนต่างสะเทือน ตั้งแต่ฉู่จงเทียนปรากฏตัวก็ไม่ปกปิดจุดประสงค์เลยสักนิด เรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่กลับเผยความผงาดผยองเย่อหยิ่งที่มองไม่เห็น

“เจ้าไปเถอะ ก่อนมหายุคมาเยือน ข้าไม่คิดจะลงมือ”

หลินสวินพูดสบายๆ

ทุกคนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นต่างดีใจยกใหญ่ เทพมารหลินซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมากดาราจริงๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแค่สงสัย ตอนนี้ในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว

“ในเมื่อข้ามาแล้วก็ไม่มีทางจากไป ไม่ว่าเจ้าจะกลัวหรือไม่ การต่อสู้ครั้งนี้ วันนี้เจ้าหนีไม่พ้นแน่!”

ในเสียงของฉู่จงเทียนเจือแววไม่ยอมให้สงสัย ราวกับจักรพรรดิออกคำสั่ง

หลินสวินหรี่ตา พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าอยากฆ่าเจ้า เพียงพลิกมือก็สามารถทำได้ ข้าว่าเจ้าอย่าดึงดันไปเลยดีกว่า”

ฉู่จงเทียนยิ้ม แฝงความกำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวผู้ใด “ข้าเคยได้ยินว่า เจ้าเคยใช้พลังต้องห้ามของทะเลหมากดาราสังหารราชันหลายคน แต่ข้าเชื่อว่าครั้งนี้เจ้าไม่กล้าทำเช่นนี้แน่”

“หืม”

หลินสวินเลิกคิ้ว เจ้าหมอนี่ก็มั่นใจและบ้าคลั่งเกินไป ใครให้ความมั่นใจนี้กับเขากัน

ฉู่จงเทียนโบกมือ พลันเห็นว่าในระยะไกลๆ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่นั่นเงียบๆ ดึงคนผู้หนึ่งออกจากเกี้ยวสมบัติทองม่วง

นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าถูกคุมตัวไว้ไม่สามารถขยับตัวได้ ตอนที่ปรากฏตัว สีหน้าล้วนเขียวคล้ำและขึ้งโกรธ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว

คนอื่นๆ ในลานต่างตื่นตระหนก

กู้อวิ๋นถิง!

ตอนที่เห็นชายหนุ่มที่ถูกคุมตัว หลินสวินหัวใจหล่นวูบ ในดวงตาดำเผยความเย็นเยียบอย่างควบคุมไม่อยู่

เขากับกู้อวิ๋นถิงสลายความขัดแย้งต่อกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเขตแคว้นกู่ชาง อันเป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แล้ว

และเขายังเคยเตือนกู้อวิ๋นถิงด้วยความหวังดี ว่าให้รีบออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วย

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ฉู่จงเทียนจะจับกู้อวิ๋นถิงเอาไว้!

มิน่าเขาถึงกล้ามั่นใจเช่นนี้ ประกาศกร้าวว่าตนจะต้องสู้กับเขา ที่แท้ก็เพราะมีตัวประกันในมือ!

“ด้วยฐานะของเจ้า ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ไม่รู้สึกว่าเกินไปหรือ” เสียงของหลินสวินเย็นชาขึ้นมา

“ตอนที่อยู่ในแคว้นกู่ชาง เจ้าเองก็จับตัวพวกเสวี่ยเชียนเหิน จางเจิง อวี้เป๋าเป่ากับเผยเหวินเช่นนี้มิใช่หรือ”

ฉู่จงเทียนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าก็แค่ใช้วิธีเดียวกันจัดการเรื่องราว ไม่ถึงกับเกินไปอะไร”

จนตอนนี้ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่จงเทียนเตรียมพร้อมมาอย่างดี บีบจนเทพมารหลินไม่อาจไม่รับศึก!

“ปล่อยเขา ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง

ตอนที่พูดเขาปรากฏตัวในทะเลหมากดารา สายตาจับจ้องฉู่จงเทียน

“ได้!”

ฉู่จงเทียนยิ้ม ตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด โบกมือแล้วปล่อยกู้อวิ๋นถิงทันที ราวกับไม่กังวลเลยว่าหลินสวินจะกลับคำ

——