ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ออเดรย์มองออกไปนอกหน้าต่าง
ผู้คนผ่านไปผ่านมาริมถนนต่างหันมาจ้องม้าที่กำลังลากห้องโดยสาร ดวงตาพวกมันเผยประกายความบ้าบิ่น ส่วนคนที่โชคดีได้รับแจกอาหารต่างเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ้านของตน
ตำรวจในเครื่องแบบตารางหมากรุกขาวดำคอยเดินตรวจตราบนถนน พวกมันเหน็บลูกโม่ไว้ข้างเอวและถือกระบองไว้ในมือ หมายยับยั้งทุกคนที่พยายามกระทำความผิด
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถนนเส้นนี้น่ากลัวมากจนพวกเราไม่กล้าออกมาตามลำพัง…” สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ กระซิบกระซาบ
ออเดรย์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงถนนเฟลป์และจอดที่จัตุรัสหน้าวิหารนักบุญแซมมวล
ไม่มีใครมองเห็นฝูงพิราบขาวที่มักรวมตัวในบริเวณใกล้เคียง
กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น รวมถึงกองทุนที่จัดตั้งในภายหลังอย่าง ‘กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น’ และ ‘กองทุนการกุศลเพื่อการรักษาพยาบาลแห่งโลเอ็น’ ล้วนย้ายสำนักงานจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์มายังห้องเล็กๆ ภายในวิหาร นั่นเพราะอาคารหลังดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบ้านเพิ่งถูกโจมตีทางอากาศจนพังถล่ม
เจ้าหน้าที่ของทั้งสามกองทุนต่างตกอยู่ในอาการขวัญผวา หากไม่ใช่เพราะพวกตนเดินทางออกจากอาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ปัจจุบันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
หลังจากก้าวลงจากรถม้าและผ่านประตูหลัก ออเดรย์เห็นสตรีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าค่อนข้างผอมเพรียว เดินเข้ามาใกล้
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เธอชิงกล่าว
“เมลิสซ่า… ยังมีอาหารสำหรับแจกเหลือไหม”
เมลิสซ่าส่ายหน้าเคร่งขรึม
“แม้แต่ทหารผ่านศึกที่พวกเราคอยดูแลก็ยังมีอาหารไม่พอแจก…”
ดวงตาสีเขียวของออเดรย์พลันหม่นหมอง แต่ก็มิได้แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
“ฉันจะช่วยคิดหาวิธี”
…
“จากเมืองเงินพิสุทธิ์… และจากด้านนอกดินแดนต้องสาป…”
คำตอบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังกังวานในโสตประสาทของหน่วยล่าเมืองจันทราอย่างอดาล ซิน และรุส ถ้อยคำดังกล่าวทำให้พวกมันตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่
ขณะอดาลซึ่งเริ่มได้สติกลับมาเตรียมกล่าวบางสิ่ง ซินผู้เกิดมาไม่มีจมูกพลันพรั่งพรูคำถามด้วยความตื่นเต้น
“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใด? หน้าตาเป็นเช่นไร? ห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน? …และด้านนอกดินแดนต้องคำสาปมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน”
ไคลน์ชำเลืองหญิงสาวพลางตอบอย่างไร้อารมณ์
“เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ พวกเขาค้นพบหญ้าที่กินได้ซึ่งมีชื่อว่าหญ้าผิวดำ อาหารชนิดดังกล่าวทำให้พวกเขายังรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้และสำรวจความมืดเพื่อค้นหาทางออกอย่างมีประสิทธิภาพ… เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งค้นพบเห็ดบางชนิด เห็ดดังกล่าวสามารถใช้ศพของสัตว์ประหลาดในการเจริญเติบโตเป็นอาหารที่ปราศจากมลพิษและความบ้าคลั่ง… เมืองเงินพิสุทธิ์ในปัจจุบันขยับออกห่างจากความบ้าคลั่งไปอีกหนึ่งก้าว ทายาทรุ่นใหม่จะไม่คลุ้มคลั่งง่ายนักต่อให้มีอายุมาก…”
คำพูดดังกล่าวทำให้อดาล ซิน และรุสกับถึงผงะ พวกมันตระหนักว่าตนกำลังเผชิญความยากลำบากโดยไม่จำเป็น
ชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์ตามที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อธิบาย คือฉากอันงดงามที่สุดเท่าที่พวกมันจะจินตนาการออก งดงามจนไม่น่าจะเป็นความจริง
“…ทารกแรกเกิดของพวกเขา… มีภาวะพิการบ้างไหม?” ซินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ไคลน์ส่ายหน้า
“แทบไม่มี”
“พ่อแม่ของพวกเขาต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดในยามที่สภาพร่างกาย… ไม่สิ ในยามที่อายุมากหรือไม่?” อดาลถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์ผู้แต่งกายด้วยเสื้อนอกสีดำ หมวกทรงสูง ถือตะเกียง มอบคำตอบ
“ไม่… เพราะพวกเขาต้องแบกรับคำสาปในการเข่นฆ่าสายเลือดตัวเอง หากมิได้ถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของญาติพี่น้องในสายเลือด พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณมารหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย”
ในที่สุดสมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราก็เริ่มสัมผัสถึงความจริง หัวใจพวกมันรู้สึกคล้ายกับทะเลสาบที่ค่อยๆ อุ่นขึ้นโดยมีฟองอากาศทยอยผุด
ฟองอากาศเหล่านั้นทั้งเปราะบาง ว่างเปล่า และถูกทำลายได้ง่ายดาย ทว่า แม้ด้านในจะไม่มีสิ่งใด แต่พวกมันยังคงสะท้อนแสงแห่งความหวัง
รุสผู้มีดวงตาชิดกัน อดไม่ได้ที่จะย้ำคำถามของซิน
“ด้านนอกดินแดนต้องสาบมีคนปรกติอาศัยอยู่มากแค่ไหน?”
ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
“เกือบทั้งหมดเป็นคนปรกติ… ไม่มีใครต้องคอยพะวงว่าจะถูกสัตว์ประหลาดทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกความมืดรายล้อม ไม่ต้องเสียสติในยามแก่เฒ่า ไม่ต้องเผชิญกับคำสาปทุกชนิด ทุกวันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดและได้กินอาหารปรกติ ทุกคืนจะมีดวงจันทร์สีแดงลอยสูง…”
แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นกำลังจะถูกทำลาย… ไคลน์รำพันในใจ
คราวนี้ทั้งอดาล ซิน และรุสต่างปิดปากเงียบ เพราะแม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอธิบายอย่างเรียบง่าย แต่พวกมันกลับจินตนาการไม่ออก… เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านหนังสือโบราณ พวกมันเข้าใจเนื้อหาและคำบรรยาย แต่ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้บางส่วน
พวกมันไม่เข้าใจว่าแสงแดดคืออะไรและดวงจันทร์สีแดงหมายถึงสิ่งใด
นอกจากนั้น ทั้งการได้ยินอาหารธรรมดาจนเป็นปรกติ การเป็นอิสระจากคำสาป การไม่ต้องกังวลสัตว์ประหลาดในความมืด และการไม่เสียสติในยามที่แก่ชรา สิ่งเหล่านี้คือความฝันที่ทุกคนถวิลหาอย่างแท้จริง
มีสถานที่แบบนั้นอยู่บนโลกด้วย? หรือจะหมายถึงสวรรค์ที่เขียนไว้ในหนังสือ? …ดินแดนของพวกเราถูกสาปจริงๆ? เป็นอีกครั้งที่สมาชิกหน่วยล่าเอาแต่ปิดปากเงียบ
หนึ่งในพวกมันอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็มิได้ถามสิ่งใดออกมา บางคนอยากพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไปยังเมืองจันทราเพื่อแจ้งกับมหานักบวชและชาวเมือง แต่ติดที่กลัวจะนำพาอันตรายเข้าไปสู่ทุกคน
ระหว่างสนทนา ไม่มีใครลดการป้องกันแม้แต่คนเดียว
ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเชื่อว่านี่คือทัศนคติที่สำคัญหากต้องการมีชีวิตรอดในดินแดนเทพทอดทิ้ง
ในสภาพถือตะเกียง ชายหนุ่มก้าวไปทางซ้ายโดยหวังเดินอ้อมกลุ่มคนซึ่งแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือวัสดุพิสดารเพื่อเดินต่อไปยังทิศตะวันออก
สำหรับเรื่องราวของอีกฝ่ายและคำถามที่ว่า ตนควรยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ ไว้รอให้สืบสวนอย่างละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย นั่นเพราะสัมผัสวิญญาณของไคลน์กำลังแจ้งเตือนว่า ปลายทางของตนอยู่ไม่ห่างออกไป เดินเท้าอีกสักสองสามชั่วโมงก็คงถึงทวีปตะวันตกในตำนาน
ทันทีที่ไคลน์ก้าวขา อดาลและคนที่เหลือต่างงอตัวเพื่อตั้งท่ารับการโจมตี อย่างไรก็ตาม พวกมันพบว่าชายที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้เดินเข้ามาใกล้ตน ท่าทีคล้ายกับคนที่ต้องการตรงไปข้างหน้ามากกว่า
เมื่อเห็นชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประหลาดสีดำ หมวกประหลาดสีเดียวกัน เดินถือตะเกียงประหลาดเดินจากไปพร้อมกับแสงไฟสีเหลืองที่ค่อยๆ จางลง ใบหน้าอดาลซึ่งปกคลุมด้วยตุ่มเนื้อพลันซับซ้อน มันตัดสินใจตะโกนเสียงดัง
“คุณเป็นใครกันแน่?”
ไคลน์ไม่หันกลับมามอง ยังคงถือตะเกียงเดินตรงเข้าไปในความมืดก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“ผู้เผยแผ่ศาสนา… ผู้ถ่ายทอดพระวจนะของพระองค์”
อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างจ้องหน้ากันด้วยความฉงน
พวกมันลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเปลวไฟสีเหลืองจางใกล้เลือนหาย ทุกคนตัดสินใจเดินตามหลังชายหนุ่มลึกลับไป
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือทิ้งระยะห่าง ทำเพียงเดินถืออาหารที่ล่ามาได้ตามหลังอย่างเงียบเชียบประหนึ่งกำลังสะกดรอย ส่วนทางด้านไคลน์ ชายหนุ่มยังคงเดินด้วยความเร็วปรกติโดยไม่พยายามสลัดให้หลุดหรือหยุดรอ
ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวท่ามกลางความมืดภายใต้สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง รุสและสมาชิกหน่วยล่าอีกหนึ่งคนแยกตัวออกจากทีมพร้อมกับอาหารที่ล่ามาได้และตะเกียงหนังสัตว์ หายตัวไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งอย่างเงียบงัน
จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งไคลน์หยุดนิ่งอยู่กับที่
อาศัยความช่วยเหลือจากแสงสายฟ้า มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
กลุ่มหมอกเชื่อมจากพื้นดินยาวไปถึงท้องฟ้าราวกับด้านบนไม่มีจุดสิ้นสุด
ขณะเดียวกันก็แผ่ขยายออกด้านข้างในลักษณะไร้ขอบเขต
ไคลน์ตั้งใจจดจ้องเป็นเวลานาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด จนกระทั่งสายฟ้าเส้นที่สองเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มถอนสายตากลับ
ด้านหลังหรือด้านในกลุ่มหมอก… คือทวีปตะวันตกที่หายไป? ขณะครุ่นคิดด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไคลน์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจ
มันถือตะเกียงเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งแสงสว่างสาดลงบนสายหมอก
โดยไม่ต้องลองทดสอบ อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนาย ไคลน์ทราบได้ทันทีว่าตนไม่มีทาง ‘ผ่าน’ บาเรียล่องหนตรงหน้าไม่ว่าจะใช้วิธีใด
มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเหยียดแขนออกไปคว้าความมืดตรงหน้าหนแล้วหนเล่า
ผ่านไปสี่ห้าครั้ง ไคลน์ดึงไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา
นี่คือไม้เท้าดวงดาว สมบัติปิดผนึกทรงพลังนามว่า 0-62 ที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวาน!
แต่แน่นอน สิ่งที่ไคลน์ทำคือการอัญเชิญภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ไคลน์เผลอจินตนาการฉากใดในใจ ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้สลายไม้เท้าทิ้งเพื่อยับยั้งผลการทำงาน
สำหรับปราชญ์โบราณ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการใช้งานสมบัติปิดผนึก แต่ข้อเสียคือการอัญเชิญแต่ละครั้งจะใช้งานได้ไม่เกินสามนาที แถมประสิทธิภาพยังด้อยกว่าต้นตำรับเล็กน้อย ในทางกลับกัน การให้หุ่นเชิดถือไม้เท้าดวงดาวแทนยังไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะหุ่นเชิดทุกตัวต้องการ ‘การควบคุม’ จากเจ้าของ และการควบคุมมักมาพร้อม ‘จินตนาการ’ จึงมีโอกาสสูงที่ฉากหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นในใจ
แต่แน่นอน หากเป็นการต่อสู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้า ไคลน์จะไม่ใช่วิธีอัญเชิญภาพฉายของสมบัติปิดผนึกเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เสีย ‘โควตา’ แสนมีค่าของภาพฉายไปถึงในหนึ่งในสาม ไม่เพียงเท่านั้น แม้เจ้าของคนปัจจุบันของไม้เท้าดวงดาวจะเป็นไคลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพปิดผนึก แถมระดับของวัตถุยังค่อนข้างสูง ส่งผลให้ไคลน์มิอาจอัญเชิญให้สำเร็จในครั้งเดียว ต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงหกรอบ ไม่เหมาะแก่การดึงออกมาใช้ขณะต่อสู้จริง
และด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อเป็นการต่อสู้ที่วางแผนล่วงหน้า ไคลน์จะสะกดจิตตัวเองเพื่อให้ไม่จินตนาการฉากใด ช่วยให้สามารถใช้ไม้เท้าดวงดาวได้พร้อมกับการอัญเชิญภาพฉายคนสำคัญอย่างมิสผู้ส่งสาร มิสเตอร์อะซิก มาดามอาเรียนน่า วิล·อัสติน หรือเทวทูตที่คุ้นเคยตนอื่น
ในท่าถือไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีหลายเม็ด ไคลน์จินตนาการภาพบานประตูค่อยๆ เปิดออก
เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าส่องแสงจาง ประตูมายาบานหนึ่งถูกวาดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น
ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า แต่ด้านในก็ยังเป็นกลุ่มหมอกสีเทา
พลังเปิดประตูใช้การไม่ได้… แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดความคาดหมาย แต่ไคลน์ก็ผิดหวังเล็กๆ
มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะเปลี่ยนวิธีการ
ทว่า ขณะกำลังครุ่นคิด ไม้เท้าดวงดาวพลันถูกกระตุ้นด้วยภาพในจินตนาการ
…………………………………….