ราชันเร้นลับ 1210 : เมืองจันทรา

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ณ ดินแดนเทพทอดทิ้ง ยามค่ำคืนที่มีความถี่สายฟ้าต่ำ

สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์กลุ่มหนึ่งย่างกรายเข้าใกล้ก้อนเนื้ออย่างระมัดระวัง พวกมันมีหกขาและดวงตาเกินกว่าสิบ

แต่งกายด้วยผ้าและหนังสัตว์ซึ่งมิอาจระบุวัสดุได้แน่ชัด ทุกตัวอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงเพื่อข้ามผ่านความมืดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

บนใบหน้าบางคนมีตุ่มเนื้อสิบถึงยี่สิบเม็ด บางคนดวงตาชิดกันจนผิดปรกติ และบางคนไม่มีจมูก ตำแหน่งดังกล่าวถูกแทนที่ด้วยช่องว่างสีดำ

หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด พวกมันจัดการกับสัตว์ประหลาดอย่างราบรื่นก่อนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคอยอารักขาบริเวณโดยรอบ ส่วนอีกกลุ่มทำหน้าที่เก็บกวาดส่วนแบ่งสงคราม

ระหว่างนี้ ชายผู้บนใบหน้าเต็มไปด้วยตุ่มเนื้อทำการผ่าศพสัตว์ประหลาด แต่ทันใดนั้นก็ต้องชะงักกลางคันขณะค้นหาส่วนที่กินได้

“อดาล มีอะไร?” สตรีปราศจากจมูกถามด้วยความสงสัย

ชายที่ชื่ออดาลบรรจงดึงมือขวากลับ เผยให้เห็นวัตถุที่ตนพบจากศพสัตว์ประหลาด

เป็นเครื่องรางที่แกะสลักจากหินผุกร่อน

“นี่มัน…” ชายผู้มีดวงตาชิดกัน คล้ายกับมันเข้าใจความนัยบางสิ่ง เกิดความลังเลที่จะพูดให้จบ

อดาลมองไปรอบตัว

“ซิน… รุส… นี่คือสิ่งที่ผมเคยมอบให้พ่อสมัยยังเด็ก… จนกระทั่งถึงวันที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านพ่อบอกว่าท่านควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจออกจากเมืองและอาศัยอยู่ในความมืด…”

ได้ยินเช่นนั้น ซินและรุสเงียบงันไปพักหนึ่ง พวกมันเข้าใจความรู้สึกของอดาล

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในเมืองจันทรา

เนื่องจากไม่มีอาหารที่ปลอดภัย พวกมันจึงทำได้เพียงเลือกกินเนื้อสัตว์ประหลาดและพืชกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอด

นั่นคือบ่อเกิดของการสะสมสารพิษและความบ้าคลั่งในร่างกาย จนกระทั่งสภาพร่างกายเสื่อมโทรมจนถึงจุดหนึ่ง พวกมันต้องเลือกว่าจะตายในทันทีหรือค่อยๆ คลุ้มคลั่ง

เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเมืองและบริเวณใกล้เคียง คนที่เลือกอย่างหลังจะสะสางทุกสิ่งให้เรียบร้อยและเดินทางออกจากเมืองทันทีที่ตระหนักว่าร่างกายถึงขีดจำกัด อาศัยเพียงคบไฟและอาหารปริมาณเล็กน้อย พวกมันจะเดินทางออกจากแนวป้องกันของเมืองและเตร็ดเตร่ท่ามกลางความมืดโดยไม่หวนกลับมาอีกเลย

ส่วนจะมีจุดจบแบบใดนั้น ชาวเมืองจันทราล้วนทราบเป็นอย่างดี หากไม่ถูกสัตว์ประหลาดฆ่าตายก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียเอง ไม่มีตัวเลือกที่สาม

ความเงียบงันเข้าปกคลุมราวเจ็ดแปดวินาที จนกระทั่งสตรีปราศจากจมูกกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล

“บางที เจ้านี่อาจเป็นสัตว์ประหลาดที่ฆ่าพ่อของคุณ”

“มันสวมเข็มขัดหนัง…” เสียงอดาลค่อยๆ แผ่วลง จากนั้นก็สอดมีดกระดูกเข้าไปเฉือนเนื้อส่วนที่น่าจะกินได้ออกมา

ท่ามกลางความเงียบ สมาชิกหน่วยล่าต่างทำหน้าที่ของตนอย่างชำนาญ จนกระทั่งรุส เจ้าของดวงตาชิดกัน กล่าวเสียงขรึม

“ทารกแรกเกิดมีความผิดปรกติมากขึ้นเรื่อยๆ …”

การสั่งสมมลพิษและความบ้าคลั่งจากรุ่นสู้รุ่นมิได้ส่งผลกระทบต่ออายุขัยเพียงอย่างเดียว แต่ชาวเมืองที่เคยมีร่างกายปรกติดีจะค่อยๆ เกิดการกลายพันธุ์ทีละนิด เฉกเช่นอดาลที่มีตุ่มเนื้อจำนวนมากบนใบหน้า

ในทำนองเดียวกัน มลพิษและความบ้าคลั่งยังสามารถส่งต่อทางพันธุกรรมและทำให้ลูกหลานเกิดความผิดปรกติกับร่างกาย ซินกับรุสถือเป็นกลุ่มคนประเภทดังกล่าว

อายุขัยของพวกมันจะสั้นลง แถมยังมีโอกาสคลุ้มคลั่งและเสียสติเพิ่มขึ้น

ยิ่งพิการมากเท่าไร โอกาสเกิดเหตุการณ์ข้างต้นก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว หน่วยล่าของเมืองจันทรามั่นใจว่า ในอีกเพียงสองถึงสามรุ่นข้างหน้า ชาวเมืองจันทรารุ่นใหม่จะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งก่อนจะมีโอกาสได้สืบพันธุ์มีทายาท

เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ไม่มีภัยคุกคามจากภายนอก แต่เมืองจันทราก็จะถึงคราวจบสิ้นโดยแท้จริง เหลือทิ้งไว้เพียงซากอาคารเพื่อเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเคยมีเมืองอยู่ตรงนี้

“หวังว่าท่านมหานักบวชจะค้นพบหนทางใหม่โดยเร็ว…” อดาลลุกขึ้นยืนพลางถือตะเกียง น้ำเสียงของมันค่อนข้างอ่อนเพลีย

ในช่วงหลายปีหลัง ใช่ว่าเมืองจันทราจะไม่พยายามค้นหาวิธีเอาตัวรอดจากปัญหา พวกมันทำการส่งทีมสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของความมืด แต่บ้างก็กลับมาในสภาพเจ็บหนักโดยที่ไม่ได้อะไรเลย บ้างก็หายตัวไปในความมืดโดยไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย

นอกจากนั้น ในจุดห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองจันทรา ที่นั่นมีหมอกสีเทาปกคลุมทั้งผืนดินและท้องฟ้าอย่างหนาแน่น

หมอกเหล่านั้นไม่เพียงจะบดบังการมองเห็น แต่ยังทำตัวเป็นบาเรียล่องหนที่ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดข้ามผ่าน

ชาวเมืองจันทราเคยเชื่อว่าสถานที่ดังกล่าวคือดินแดนแห่งความหวัง เชื่อว่าด้านหลังม่านหมอกจะต้องเป็นเมืองปรกติ เป็นดินแดนที่ไม่ถูกสาป

พวกมันพยายามข้ามผ่านสายหมอกหนแล้วหนเล่า แต่ทุกความพยายามล้วนสูญเปล่า

พวกมันเคยลองขุดอุโมงค์ใต้ดินเป็นทางยาวเพื่อหวังมุดผ่านไป แต่กลับพบว่าด้านล่างก็ถูกปกคลุมด้วยสายหมอกทึบเช่นกัน

พวกมันเคยลองครอบครองพลังการบินโดยหวังจะบินข้ามกลุ่มหมอก แต่ไม่ว่าจะทะยานขึ้นไปสูงเพียงใดก็ไม่พบจุดสิ้นสุด สุดท้ายผู้ที่พยายามสำรวจก็ล้วนถูกฟ้าผ่า

พวกมันเคยลองใช้พลังครึ่งเทพและสมบัติปิดผนึกเพื่อถล่มสถานที่ดังกล่าวอย่างหนักหน่วง แต่ผ่านไปสองถึงสามพันปี การโจมตีที่สั่งสมอย่างยาวนานกลับยังมิอาจพังบาเรียล่องหนที่กีดขวางทุกคนไว้

ทันทีที่ได้ยินคำพูดอดาล สมาชิกหน่วยล่าต่างพากันสิ้นหวังและเศร้ามอง ประหนึ่งกำลังลื่นไถลลงสู่ก้นเหวโดยไม่มีวิธีช่วยเหลือตัวเอง

กลุ่มคนที่กลายพันธุ์เล็กๆ ยากที่จะเก็บซ่อนอารมณ์ พวกมันอยากระบายความอัดอั้นออกมาไม่มากก็น้อย

เมื่อสองถึงสามร้อยปีก่อน กลุ่มคนกลายพันธุ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้วิเศษหรือเข้าร่วมหน่วยพิเศษ งานเดียวที่ทำได้คือการเก็บเกี่ยว แต่ยิ่งเวลาผ่านไปกำลังคนก็ยิ่งขาดแคลน สภาอาวุโสจึงตัดสินใจผ่อนปรนความเข้มงวด

“ไปต่อกันเถอะ อาหารแค่นี้ยังไม่พอ” อดาลมองไปรอบตัวก่อนจะถือตะเกียงเดินเข้าไปในความมืด

พวกมันไม่เสี่ยงดับไฟเพื่อล่อสัตว์ประหลาดออกจากความมืด ด้วยเกรงว่าจะไม่มีปัญญาจัดการ

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดและชวนให้อึดอัด สมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพวกตนกำลังถูกความมืดโอบกอด

เฉกเช่นเชื้อเพลิงในตะเกียงของหน่วยล่าที่ค่อยๆ ลดลง สถานการณ์ของเมืองจันทราก็กำลังเดินหน้าเข้าหาจุดจบ

หากแสงไฟสุดท้ายดับมอด พวกมันจะถูกความมืดมิดกลืนกินอย่างไร้สุ้มเสียง

ขณะย่างกรายอย่างเงียบเชียบ อดาลมองเห็นแสงไฟสีเหลืองจาง

เป็นแสงสว่างที่ไม่ได้มาจากหน่วยล่าคนใด!

จุดแสงดังกล่าวสว่างปกคลุมดวงตาสมาชิกหน่วยล่าทุกคน

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะขยายรูม่านตาด้วยอากัปกิริยาตกตะลึง

ตลอดชีวิตของพวกมัน รวมถึงประวัติศาสตร์ของเมืองจันทรานับตั้งแต่หลังมหาภัยพิบัติ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ได้เห็นแสงไฟจากแหล่งภายนอก!

จริงอยู่ที่สัตว์ประหลาดบางชนิดมีพลังในขอบเขตของสุริยันและสามารถส่องแสง แต่พวกมันก็จะเร้นกายอย่างมิดชิดและใช้พลังเฉพาะในตอนที่เริ่มต่อสู้

แต่ในตอนนี้ แสงสว่างกำลังส่องมาจากส่วนลึกของความมืด!

อดาล ซิน รุส และคนที่เหลือต่างพากันสั่นระริก แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก พวกมันยังไม่พบคำตอบ

พวกมันนึกทบทวนเส้นทางการล่าและยืนยันว่าในบริเวณใกล้เคียงไม่มีทางมีชาวเมืองจันทราเดินเพ่นพ่าน

แล้วถ้าแสงสว่างมิได้มาจากชาวเมืองจันทรา เช่นนั้นแล้วมาจากไหน?

หน่วยล่าทุกคนลดความเร็วลง พวกมันกำลังตกตะลึง ประหลาดใจ สงสัย หวาดกลัว กังวล และตื่นเต้น

แน่นอนว่าพวกมันเคยค้นพบซากเมืองมาแล้วหลายแห่ง และตระหนักว่าความผิดปรกติในความมืดอาจหมายถึงอันตรายใหญ่หลวง

“…ระวังตัว!” อดาลที่ตื่นจากภวังค์รีบออกคำสั่ง

หน่วยล่าปรับเข้าสู่รูปแบบต่อสู้ทันที รอคอยให้แสงสีเหลืองเข้ามาใกล้อย่างใจเย็น

คล้ายกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทุกนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสงสว่างขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเผยร่างหนึ่ง

ร่างเดียว… แค่คนเดียว… หน่วยล่าของเมืองจันทราต่างพากันกลั้นหายใจ

ดูเหมือนว่า บางที พวกมันอาจได้พบกับคนนอก!

ผ่านไปนานกว่าสองสามพันปี ในที่สุดก็มีคนนอกย่างกรายเข้ามาในดินแดน

พวกมันไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างเดียวบนโลกอีกต่อไป

สำหรับคำถามที่ว่า ใครคือผู้ที่เดินทางข้ามผ่านความมืดมาถึงที่นี่ได้สำเร็จ อดาลและพวกพ้องยังขนาดประสบการณ์และไม่มีทางเดาถูก

เมื่อแสงไฟขยายใหญ่จนถึงจุดหนึ่ง พวกมันสามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจน

เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล บรรยากาศรอบตัวเย็นชา ไม่ใช่คนพิการหรือพวกกลายพันธุ์

สวมหมวกและเสื้อผ้าประหลาด ถือตะเกียงที่ทำจากวัสดุแปลกใหม่ขณะย่างกรายผ่านความมืด

แสงจากตะเกียงดังกล่าวสว่างกว่าตะเกียงทุกดวงของหน่วยล่ารวมกัน ส่งผลให้ความมืดโดยรอบถูกขจัดอย่างรวดเร็ว

ใช้เวลาไม่นานแสงก็อาบลงบนร่างอดาล ซิน รุส และคนที่เหลือ

ร่างดังกล่าวหยุดเดินและจ้องมาทางหน่วยล่าของเมืองจันทรา ตามด้วยถามเสียงแผ่ว

“พวกคุณมาจากไหน”

พูดภาษาคนยักษ์… ดวงตากระจ่างชัดและสามารถสนทนา… อดาลอ้าปากเล็กน้อยก่อนจะรีบยับยั้งชั่งใจมิให้ตอบกลับตามความเคยชิน

มันตัดสินใจถามแทน

“คุณเป็นใคร”

ร่างดังกล่าวตอบอย่างใจเย็น

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”

หลังจากเดินทางนานกว่าครึ่งปีและฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย สัมผัสวิญญาณของไคลน์แจ้งว่าตนมาถึงจุดหมายแล้ว

แถมยังได้พบผู้คนกลุ่มแรก ‘ระหว่างการเดินทาง’ ไปบนดินแดนเทพทอดทิ้ง

“คุณมาจากที่ไหน” อดาลซักไซ้โดยไม่ลดความระแวง

สายตาไคลน์กวาดมองใบหน้าอีกฝ่ายและกล่าวโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง

“มาจากเมืองเงินพิสุทธิ์… และยังมาจากด้านนอกดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้”

ได้ยินคำตอบดังกล่าว สมาชิกหน่วยล่าทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ทันที พวกมันอดคิดไม่ได้ว่าตนอาจวิงวอนมากเกินไปจนเห็นภาพหลอน

ฤดูใบไม้ร่วงปี 1351 กรุงเบ็คลันด์ ท่ามกลางไฟแห่งสงคราม

นับตั้งแต่เฟเนพ็อตประกาศสงครามกับโลเอ็น สมดุลของสงครามก็พังทลายทันที โลเอ็นและพันธมิตรอย่างลุนเบิร์ก มาซิน เซกัลต่างสูญเสียดินแดนไปมากมายจนเหลืองเพียงแนวป้องกันไม่กี่แห่งที่พยายามปักหลักปกป้องอย่างสุดกำลัง และเห็นทีอีกไม่นานคงถล่มลง

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าและพบว่าจุดแจกจ่ายอาหารมีผู้คนมายืนต่อแถวยาวเหยียด ออเดรย์ถอนสายตากลับอย่างเชื่องช้าพลางหันไปกล่าวกับสาวใช้ส่วนตัว แอนนี่

“ไปวิหารนักบุญแซมมวล…”

…………………