ภายในห้อง แสงจันทร์สีแดงที่ดูคล้ายสายน้ำกำลังปกคลุมทุกซอกมุม
โดเรียนบรรจงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังพระจันทร์สีแดงด้านนอกมุขหน้าต่าง สายตาแข็งค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานราวกับไม่เคยเห็นทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
ฟู่ว… มันถอนหายใจสั้น ยืนขึ้นและเดินเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็เปิดก๊อกและรองน้ำหนึ่งอุ้งมือขึ้นมาสาดหน้า
ล้างหน้าเสร็จ โดเรียนเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูก่อนจะเดินกลับมายังโซฟาตัวเก่า ตามด้วยการก้มศีรษะพึมพำด้วยท่าทีขึงขัง
“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”
สวดวิงวอนเสร็จ มันเดินไปยังห้องอ่านหนังสือ หยิบปากกาและกระดาษเพื่อเขียนถึงฟอร์ส:
“…”
“ได้โปรดแจ้งกับมิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่าผมยืนยันคำสัญญาของเราแล้ว… หวังว่าเขาจะค้นพบวิธีที่ดีกว่านี้เพื่อรักษาคำสาปของพวกเรา”
“ผมจะเรียกประชุมสมาชิกคนอื่นของตระกูลว่าสามารถนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 มาแลกเปลี่ยนกับกล่องวันวานได้หรือไม่…”
“ถึงตรงนี้ ผมจะถือโอกาสแนะนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ทั้งสองชิ้นไว้ล่วงหน้า มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะได้มีเวลาตัดสินใจ…”
“ชิ้นแรกมีชื่อว่า ‘ม้วนคัมภีร์แห่งเทพ’ มองผิวเผินจะดูเหมือนภาพเขียนสีน้ำมันทั่วไปในกรอบทองเหลือง แต่เนื้อหาของภาพจะเปลี่ยนไปแบบสุ่ม…”
“เมื่อภาพแสดงสถานที่ใด ผู้ครอบครองสามารถเปลี่ยนพื้นที่เป้าหมายให้กลายเป็นสถานที่ในภาพ”
“เมื่อภาพแสดงบุคคลใด ผู้ครอบครองสามารถสั่งให้บุคคลในภาพโจมตีใส่หนึ่งเป้าหมาย”
“เมื่อภาพแสดงนามธรรมที่ยากจะทำความเข้าใจ ผลลัพธ์หลากหลายชนิดสามารถเกิดขึ้นได้ และทางเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างสัญลักษณ์กับผลลัพธ์”
“เมื่อภาพแสดงประตู การเปิดประตูบานที่ต่างกันจะทำให้เคลื่อนย้ายไปยังสถานที่แตกต่าง ไม่มีวิธีกำหนดปลายทาง และยังสามารถใช้เพื่อเนรเทศศัตรูได้ด้วย”
“เมื่อภาพแสดงใต้ดินอันมืดมิดหรืออวกาศ นั่นหมายถึงอันตรายยิ่งยวด ต้องถูกผนึกเท่านั้น!”
“หากไม่มีใครจ้องมองหรือชื่นชมภาพเขียนสีน้ำมันเป็นระยะเวลาหนึ่ง บุคคลในภาพจะมีชีวิตขึ้นมา พวกเขาจะพยายามเหยียดแขนออกจากภาพและค่อยๆ คลานออกมายังโลกความจริง ในตอนที่ผนึกมัน จำเป็นต้องระวังปัญหานี้ให้ดี!”
“ครั้งหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นขณะที่ตระกูลสาขารับหน้าที่เก็บรักษาม้วนคัมภีร์แห่งเทพ พวกเขาละเลยภาพนานกว่าหนึ่งนาที โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เนื้อหาของภาพเขียนคือฉากที่เหล่าเทวทูตกำลังรายล้อมทวยเทพ ส่งผลให้เทพแท้จริงมีชีวิตขึ้นมาและเดินออกจากภาพ”
“ตระกูลย่อยสาขาดังกล่าวถูกทำลายในทันที เหลือเพียงสมาชิกแค่ไม่กี่คนที่เสียสติโดยสมบูรณ์ ส่วนเทพตนดังกล่าวหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ไม่มีใครทราบว่าไปไหน แต่ภาพเขียนสีน้ำมันยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม”
“พวกเราเป็นกังวลกันอยู่นาน ด้วยเกรงว่าเทพตนดังกล่าวจะทำลายโลก โชคดีที่พระองค์ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย หรือบางทีอาจถูกตรวจพบโดยเจ็ดเทพจารีตและถูกทำลายไปแล้ว”
“แต่แน่นอน เรื่องเหล่านี้อาจเป็นเพียงสิ่งที่กลุ่มผู้รอดชีวิตเสียสติแต่งขึ้น แต่การที่สมาชิกเกือบทั้งหมดถูกทำลายในชั่วข้ามคืนและคนที่เหลือล้วนเป็นบ้าไปทั้งหมด ก็พอจะพิสูจน์บางสิ่งได้”
“อีกหนึ่งชิ้นมีชื่อว่า ‘ไม้เท้าดวงดาว’ อยู่ในรูปลักษณ์ไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณี”
“ขณะถือไม้เท้าให้จินตนาการฉากที่ต้องการเดินทางไป ต้องเป็นฉากที่มีอยู่จริงและดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน หากสำเร็จจะช่วยให้ผู้ถือเดินทางไปยังตำแหน่งดังกล่าวในพริบตา แต่ต้องใช้งานด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง… ฉากในจินตนาการจะต้องตรงกับสถานที่จริงทุกองค์ประกอบ… ห้ามผิดพลาดในเชิงรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว ห้ามแตกต่างจากต้นฉบับ ไม่อย่างนั้นอาจถูกส่งไปยังที่ใดสักแห่งแทน”
“ในทำนองเดียวกัน ขณะถือไม้เท้าดวงดาว หากจินตนาการถึงพลังพิเศษหรือตัวตนใด ไม้เท้าจะจำลองพลังหรือบุคคลดังกล่าวออกมาทันที… อย่างหลังจะเป็นการโจมตีหนึ่งครั้ง แต่เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ ผู้ใช้ต้องเข้าใจพลังพิเศษหรือตัวตนที่ถูกอัญเชิญมาในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความผิดปรกติที่ยากจินตนาการขึ้น ครั้งหนึ่งเคยมีคนพยายามใช้ไม้เท้าดวงดาวเพื่อสร้างพายุสายฟ้า แต่กลับลงเอยด้วยการสาปตัวเองเป็นกบแทน กว่าจะกลับร่างเดิมได้ก็ต้องตามหาคนที่ชำนาญการแก้คำสาปเฉพาะ”
“ไม้เท้าดวงดาวมีความแข็งมากจนสามารถใช้โจมตี เป้าหมายที่ถูกไม้เท้ากระแทกใส่จะเกิดการกลายพันธุ์แบบสุ่ม ผมเคยใช้ไม้เท้าดังกล่าวฟาดใส่คนของชุมนุมแสงเหนือ ทันใดนั้น ร่างกายซีกซ้ายของมันถูกเคลื่อนย้ายไปยังด้านนอกประตู แต่ด้านขวายังคงเดิม ผลลัพธ์จึงลงเอยด้วยการที่เครื่องในของมันทั้งยวงหล่นลงพื้นอย่างน่าสยดสยอง”
“ไม้เท้าดวงดาวจะสุ่มเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองเป็นระยะ หากมิได้ผนึกให้แน่นหนา มีโอกาสที่มันจะหลบหนีจากความควบคุม”
“ผู้ถือจำเป็นต้องทำสมองให้ว่างแทบจะตลอดเวลา เพราะถ้าผุดจินตนาการขึ้นมาแบบสุ่ม ผลลัพธ์จะตรงตามที่อธิบายไปข้างต้น”
“ถ้าไม่มีผู้ถือ ไม้เท้าดวงดาวจะสร้างความผิดปรกติแก่บริเวณโดยรอบไม้เท้า ไม่มีใครเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบใด จึงเป็นการดีกว่าหากจะผนึกไว้เงียบๆ …”
“เผาทิ้งเมื่ออ่านจบ”
เขียนจดหมายเสร็จ โดเรียนอ่านทบทวนหลายรอบจนมั่นใจว่าเนื้อหาที่ส่งไปนั้นไม่ผิดเพี้ยน จึงยัดใส่ซองและติดตราไปรษณียากร
ในเวลาเดียวกัน บนมิติเหนือสายหมอกเทา
ไคลน์อาศัยจุดแสงแห่งการวิงวอนของโดเรียนเพื่ออ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบ
ดูเหมือนเราจะลืมบอกเขาว่า หากมีเรื่องสำคัญให้ส่งข้อมูลมาถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผ่านเดอะฟูล… ช่างเถอะ จะถือว่าสิ่งนี้เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะสมาชิกหลักของชุมนุมทาโรต์ก็แล้วกัน… เพราะถ้ามีสาวกจำนวนมาก ‘ฝากข้อความ’ พร้อมกัน เกรงว่าจะมีหนอนวิญญาณกี่ตัวก็คงไม่พอ… อา… ขณะเดียวกันวิธีนี้ยังเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของเดอะฟูล ช่วยให้ตระกูลอับราฮัมไม่กล้าดูแคลนเดอะฟูลแห่งสายหมอก… ไคลน์พึมพำก่อนจะหันเหความสนใจไปยังสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ทั้งสองชิ้น
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มตระหนักว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0 มีผลข้างเคียงรุนแรงจนไม่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
แต่แน่นอน พลังของพวกมันล้วนคู่ควรแก่ความเสี่ยง
เมื่อเทียบกันแล้ว ไม้เท้าดวงดาวเหมาะสมกับเรามากกว่า
เราสามารถขอร้องให้มิสจัสติสสะกดจิตล่วงหน้า เพื่อสั่งจิตให้ใต้สำนึกของเราห้ามสร้างภาพหรือฉากใดขึ้นมาเอง หากอยากสร้างฉากจะต้องเกิดจากเจตจำนงอันแน่วแน่เท่านั้น…
ชักอยากรู้แล้วว่าชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จะเดินทางออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งด้วยการจินตนาการถึงฉากในกรุงเบ็คลันด์ได้ไหม…
แต่ไม่มีวิธีสะกดจิตให้พวกเขาทำแบบนั้น… ไม่มีใครเคยเห็นเบ็คลันด์มาก่อน หากเป็นภาพเหมือนก็ไม่มีทางเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน…
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่เราสามารถใช้อาสาสมัครที่ไม่กลัวตายมาทดสอบ…
ถ้าสิ่งที่เราแลกเปลี่ยนคือไม้เท้าดวงดาว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบป่นมันให้กลับไปอยู่ในสภาพตะกอนพลัง ใครจะไปรู้ สิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อเราในอนาคต… นอกจากนั้น เราอาจจนปัญญาที่จะประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับ…
ด้วยไม้เท้าดวงดาว การรับมือกับหมาป่าอสูรทมิฬก็คงง่ายขึ้น รวมถึงการหลบหนีจากดินแดนเทพทอดทิ้งแม้จะมีเทวทูตมืดขวางทางอยู่ สมบัติชิ้นนี้จะช่วยมอบความมั่นใจให้เราหลายส่วน… ไคลน์ถอนหายใจพลางวางแผน
ทันใดนั้น มันค้นพบอีกหนึ่งความจริง
นั่นก็คือ ถ้าในอนาคตมีคนของตระกูลอับราฮัมมาเป็นสาวกของเดอะฟูลตามโดเรียน การขอยืมกล่องวันวานก็จะไม่ใช่เรื่องยาก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกล่องวันวาน ม้วนคัมภีร์แห่งเทพ หรือไม้เท้าดวงดาว ไคลน์จะได้สิทธิ์ยืมใช้งานสมบัติสองในสามชิ้น และจะกลายเป็นเจ้าของเองหนึ่งชิ้น
การมีสาวกมันดีแบบนี้นี่เอง… เมื่อเวลานั้นมาถึง ตระกูลอับราฮัมจะกลายเป็นกองกำลังภายใต้ชุมนุมทาโรต์… แต่โดเรียนคงไม่รีบร้อนเผยแพร่ความเชื่อเกี่ยวกับเดอะฟูลเร็วนัก เว้นเสียแต่จะมีสมาชิกใกล้คลุ้มคลั่งชนิดที่มิอาจข้ามผ่านพระจันทร์เต็มดวงรอบถัดไป… ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์สัมผัสได้ว่าชุมนุมทาโรต์กำลังเติบโต
แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยเมื่อพบว่าในอนาคตตนอาจต้องคอยตอบสนองคำวิงวอนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
มีเพียงการเป็นเทวทูตและดึงพลังจากปราสาทต้นกำเนิดได้มากขึ้น ตนจึงจะกล้านำหนอนวิญญาณขึ้นมาช่วยตอบสนอง
ถ้าวิธีนั้นยังไม่ได้ผล เห็นทีต้องให้อาโรเดสรับหน้าที่ปัญญาประดิษฐ์ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์… ไคลน์นวดหน้าผากก่อนจะส่งตัวเองออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก กลับมายังดินแดนเทพทอดทิ้งอีกครั้ง
…
กลางดึกสงัด บนน่านน้ำในหมู่เกาะรอสต์
สัตว์ทะเลขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำไปยังปลายทางด้วยความเร็วสูง
นี่คือ ‘ผู้ช่วย’ ที่อัลเจอร์วิงวอนต่อเทพสมุทร คาเวทูว่า ลำพังผู้ขับขานสมุทรยังไม่มีพลังพอจะบงการสัตว์ทะเลตัวใหญ่ขนาดนี้
อันที่จริง มันสามารถว่ายน้ำจากบายัมมายังที่นี่ได้เอง แต่เกรงว่านั่นจะทำให้เหนื่อยเกินไปจนมิอาจรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน
ไม่กี่วินาทีถัดมา สัตว์ทะเลอ้าปากกว้าง อัลเจอร์ว่ายออกมาและพบกับแนวปะการังอันงดงาม
หลังจากแหวกผ่านสิ่งกีดขวางสักพัก แสงสีน้ำเงินเข้มสว่างขึ้นตรงมุมสายตาอัลเจอร์
มองผ่าน ‘แสงสีน้ำเงินเข้ม’ เข้าไป มันได้พบกับวังปะการังอันงดงาม
สิ่งนี้เป็นของจริง แต่จะไม่มีใครมองเห็นจนกว่าจะได้รับสื่อกลางที่ถูกต้อง
อัลเจอร์จ้องสักพักก่อนจะว่ายไปข้างหน้า เมื่อมาถึงนอกรั้ววังจึงผลักประตูเข้าไป
น้ำกระเพื่อมหยุดลงที่นี่ อัลเจอร์อาศัยแรงลมผลักตัวเองผ่านประตูม่านน้ำเข้าไปด้านใน
มันมองไปรอบตัวและพบกับจิตรกรรมฝาผนังทั้งสองฝั่ง
เนื้อหาของภาพวาดไม่ใช่สิ่งที่น่าตกตะลึง เป็นฉากที่ชาวเอลฟ์พยายามต่อต้านพายุและคลื่นยักษ์
แต่อัลเจอร์เริ่มสังเกตเห็นว่าเรือลำดังกล่าวมิได้กำลังแล่นกลางทะเล หากแต่เป็นท่ามกลาง ‘สีดำ’ อันท่วมท้น
ฉากดังกล่าวทำให้อัลเจอร์นึกถึงคำหนึ่งทันที:
นรก
ฉากนี้ดูคล้ายกับนรกที่บรรยายไว้ในตำนาน แต่ก็แค่คล้าย แถมยังไม่มีปีศาจ… ดูเหมือนกับสิ่งที่โผล่ออกจากใต้ดินมากกว่า… นี่คือภาพจิตรกรรมที่บันทึกประวัติศาสตร์เอลฟ์? แต่ไม่เห็นเหมือนกับตำนานเอลฟ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย… มิสเตอร์เวิร์ลเคยบอกว่า ภาษาเอลฟ์ถูกสร้างจากชื่อของเอลฟ์รุ่นแรก… อัลเจอร์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเดินไปทางขั้นบันไดเก้าขั้น
เมื่อขยับเข้าใกล้ มันได้พบกับบัลลังก์สองแห่งและผลึกปะการังสีน้ำเงินเข้ม
บนกิ่งปะการังมีแสงสายฟ้าสีเงินสว่างวาบ ช่วยมอบความสว่างให้กับสภาพแวดล้อม
อัลเจอร์กลั้นลมหายใจ เดินขึ้นบันไดเก้าขั้นอย่างเชื่องช้า
มันเหยียดมือขวาออกไปหยิบปะการังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ท่ามกลางเสียงคลื่นทะเลซัดสาด น้ำทะเลนอกวังพลันเกิดความโกลาหล สำหรับผลึกปะการังที่ถูกห่อหุ้มด้วยชั้น ‘สีน้ำเงินเข้ม’ มันสลายตัวและหลอมรวมเข้ากับร่างอัลเจอร์
เส้นสายฟ้าทยอยผลิบานทีละหนึ่งราวกับกลีบดอกไม้
………………………