สร้างตำนานไว้ในสถานที่เก้าแห่งนอกโลก… หมายถึงอวกาศใช่ไหม? จ้องมองสูตรโอสถในมือสักพัก ไคลน์เกือบขมวดคิ้ว
มันพบว่าพิธีกรรมดังกล่าวอันตรายยิ่งกว่าการเลื่อนลำดับเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เสียอีก
แม้ว่ากล่องวันวานและสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ของตระกูลอับราฮัม รวมถึงสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่ง อีกหลายชิ้นจะมีพลังในการส่งคนออกไปนอกอวกาศ ทำให้การประกอบพิธีกรรมเป็นเรื่องง่าย แต่มันยังไม่ลืมคำเตือนของหัวหน้านักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่า ซึ่งเคยเตือนเกี่ยวกับการกัดกร่อนที่รุนแรงจากอวกาศ หากไม่ใช่เทวทูต ลำพังการทำความเข้าใจก็อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ถ้ายังไม่เป็นจอมเวทท่องมิติ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกอวกาศกัดกร่อน… แต่ถ้าต้องการเป็นจอมเวทท่องมิติ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องท่องอวกาศ… นี่มันคำถามโลกแตก… บางทีตระกูลอับราฮัมอาจบันทึกพิกัดที่ปลอดภัยนอกโลกเอาไว้ เราอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายเกินไป… นอกจากนั้นยังต้องกลับไปทำนายยืนยันความถูกต้องของสูตรโอสถอีกครั้ง… โดเรียนอาจไม่ได้โกหกเรา แต่ใช่ว่าเขาจะไม่ถูกหลอกมาอีกที… ไคลน์ถอนสายตากลับมาจ้องโดเรียนฝั่งตรงข้าม
“ตะกอนพลังของจอมเวทท่องมิติอยู่ที่ใดบ้าง”
หลังจากท่องพระนามเต็มของเดอะฟูลเสร็จ โดเรียนทำหน้านึก
“มีสองก้อนอยู่ในสถานะสมบัติปิดผนึกของตระกูล หนึ่งก้อนกลายเป็นส่วนผสมของกล่องวันวาน หนึ่งก้อนกล่าวกันว่าอยู่ในมือนิกายแม่มด และอีกหนึ่งก้อนอยู่กับโบสถ์เทพสงคราม อันที่จริงควรจะมีอีกหนึ่งก้อน แต่ไม่มีใครหาพบตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง”
ถ้าเราใช้กล่องวันวานแลกเปลี่ยนกับสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ หนึ่งในสองชิ้นที่ค่อนข้างธรรมดาของตระกูลอับราฮัม ก็คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตะกอนพลังของจอมเวทท่องมิติอีกต่อไป… แต่ปัญหาอยู่ที่พิธีกรรมเลื่อนลำดับนั่น… แก่นสำคัญของพิธีกรรมคือการจารึกตัวตนไว้ในอวกาศ ไม่ว่าจะพยายามดัดแปลงสักเพียงใดก็คงข้ามขั้นตอนที่เกี่ยวกับอวกาศไปไม่ได้… ไคลน์ควบคุมสีหน้าก่อนจะผงกศีรษะให้โดเรียน
“ผมหวังว่าคุณจะค้นพบตอบก่อนพระจันทร์สีแดงเต็มดวง”
กล่าวจบ ร่างกายชายหนุ่มจางลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากถึงขีดจำกัดของฟอร์ส
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ‘กลับไป’ ในลักษณะดังกล่าว โดเรียนก้มลงหน้าลงตามสัญชาตญาณเพื่ออ่านกระดาษที่เขียนพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเดอะฟูล และพบว่ากระดาษแผ่นดังกล่าวก็เลือนหายไปเช่นกัน
“…” จากบรรดาพลังพิเศษมากมายที่ตระกูลเคยบันทึก โดเรียนมิอาจเชื่อมโยงพลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้ากับสิ่งใด จึงหันไปทางฟอร์สและอ้าปากเตรียมถาม
ทันใดนั้นเอง หัวใจของมันพลันรู้สึกเจ็บแปลบ ดวงตาเบิกกว้างกะทันหัน
แย่แล้ว! คำสาปกำลังจะกำเริบ! โดเรียนรีบสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบขวดโลหะใบเล็ก จากนั้นก็รีบเปิดฝาและกระดกเข้าไป
เคร้ง!
มันขยับตัวเร็วเกินไปจนฝาขวดโลหะตกพื้น
ฟอร์สมองดูใบหน้าอาจารย์ที่เริ่มซีดเผือด หัวใจหญิงสาวเริ่มเต้นแรงและทำอะไรไม่ถูกไปสักพัก
ในฐานะอดีตศัลยแพทย์ เธอตัดสินใจฉับไวและรีบถาม
“อาจารย์… คุณหัวใจวายหรือ? ต้องกินยาตัวไหนเป็นพิเศษไหม?”
หลังจากถามจบ ฟอร์สเพิ่งตระหนักว่าตนตื่นเต้นเกินไปจนเป็นไอ้งั่ง
ของเหลวในขวดโลหะที่อาจารย์เพิ่งดื่มเข้าไปจะต้องเป็นยาที่ว่านั่นอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ให้ช่วยอะไรอีกไหมคะ? ฉันบันทึกพลังของ ‘แพทย์’ เอาไว้ด้วย” ฟอร์สซักถามขณะเห็นสีหน้าของอาจารย์เริ่มดีขึ้น
โดเรียนส่ายหน้า นัยว่าสบายดี
ขณะเดียวกันก็ตัดพ้อภายในใจ
นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมทำตามแผนของฉันและอัญเชิญเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมาทันที ทำให้ฉันไม่มีเวลาดื่มยานี้…
…
ทะเลโซเนีย เมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์ ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม
โทสะสีครามจอดเทียบท่าในยามเย็น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความเสียหายของเส้นทางเดินเรือรอบเกาะโซเนียที่โบสถ์วายุสลาตันสร้าง เริ่มดึงดูดความสนใจจากครึ่งเทพฝ่ายฟุซัค มี ‘กัปตัน’ มากมายต้องสังเวยชีวิต กองเรือของพวกมันเสียหายหนักหน่วง
อัลเจอร์·วิลสันและลูกเรือสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายได้โดยการซ่อนตัวในป่าดิบชื้นของเกาะพลางฉวยโอกาสโจมตีท่าเรือเป็นระยะ จนกระทั่งโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพเรือโลเอ็นประกาศบรรลุเป้าหมาย พวกมันทยอยเดินทางกลับเกาะปาซูเพื่อพักผ่อน
ถัดมา อัลเจอร์จงใจเข้าร่วมสงครามเพื่อแสดงความจริงใจ แสดงความศรัทธาและความฮึกเหิม ลงเอยด้วยการได้รับคำชมจากพระคาร์ดินัล
และเนื่องจากอัลเจอร์มีความคุ้นเคยกับน่านน้ำรอบหมู่เกาะรอสต์เป็นอย่างดี มันจึงถูกส่งมาเสริมกำลังรบทางทะเลเพื่อป้องกันหนึ่งในอาณานิคมสำคัญ
แน่นอนว่าเพื่อมิให้ขัดแย้งกับตัวตนที่สร้างขึ้นในอดีต และเพื่อกรุยทางไปสู่อนาคตอันสดใส อัลเจอร์และลูกเรือจอดเทียบท่าบายัมในฐานะโจรสลัดรับจ้าง
ในสงครามที่เกิดขึ้น มีโจรสลัดจำนวนมากถูกว่าจ้างโดยอาณาจักรเพื่อชดเชยความสูญเสียทางกองทัพเรือ เฉกเช่นทหารรับจ้างในช่วงสงครามยุคสมัยที่สี่
อาศัยแสงท้องฟ้าที่ยังพอมีแสง อัลเจอร์ลงจากเรือและตรงไปเข้าพบ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนภายในมหาวิหารคลื่นสมุทร
ในฐานะผู้ขับขานสมุทรลำดับห้า มันสิทธิ์เข้าพบพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตันและอาวุโสใหญ่แห่งทูตพิพากษาได้โดยตรง
ขณะย่างกราย อัลเจอร์พบใบหน้าที่คุ้นเคย
ชายวัยกลางคนสวมชุดทางการ แว่นตา และโบหูกระต่าย บรรยากาศอ่อนโยนและเป็นมิตร แต่อัลเจอร์ทราบดีว่านี่คือสาวกของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นโจรสลัด ปัจจุบันเป็นพ่อค้าที่ทำธุรกิจกับทางการและตลาดมืดไปพร้อมๆ กัน
“ราล์ฟ ไม่ได้เจอกันนาน” อัลเจอร์กล่าวทักทายลูกครึ่งโลเอ็น ฟุซัค และชาวรอสต์
ราล์ฟผงะเล็กน้อย ราวกับจำหน้ากัปตันโทสะสีครามไม่ได้
“อัลเจอร์? กัปตันเรือผีสิงของพวกเราคนนั้น?” ผ่านไปสักพัก มันเริ่มนึกออก
อัลเจอร์ยิ้มและพูด
“ฉันเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นเชียว?”
ราล์ฟขมวดคิ้ว
“บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปมาก คล้ายกับมหาสมุทรและเมฆมืดก่อนเกิดพายุ”
สายตาเฉียบแหลม… แต่นั่นเป็นสิ่งที่เราจงใจให้เห็น… หลังจากดื่มโอสถผู้ขับขานสมุทร หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ เราก็คงดูไม่เหมือนคนของโบสถ์วายุสลาตันสักเท่าไร… อัลเจอร์ถอนหายใจยาว
“เพราะมีเรื่องให้กังวลไม่น้อยทีเดียว… แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันได้รับการว่าจ้างจากโบสถ์วายุสลาตัน”
ดวงตาราล์ฟหรี่ลงเล็กน้อย ภายในใจเริ่มเกิดความหวาดระแวง แต่สุดท้ายก็ขำแห้งและกล่าว
“ถือเป็นข่าวดี… ถ้าไม่มีสงครามล่ะนะ”
อัลเจอร์ชำเลืองไปยังจุดที่ราล์ฟเดินผ่านมาและถาม
“มีโรงเรียนใหม่… ตั้งแต่ตอนไหน?”
เพียงกวาดสายตาก็มองเห็นอาคารสูงสี่ชั้น สนามซีเมนต์ ลานหญ้า และเด็กเล็กมากมายกำลังวิ่งเล่น
เด็กเหล่านั้นมีผิวสีเข้ม แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นเข้มเท่ากับชนเผ่าท้องถิ่น เส้นผมหยักศกเพียงเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือกลุ่มของเด็กลูกครึ่ง
ราล์ฟมองย้อนกลับไปก่อนจะถอนหายใจพลางยิ้ม
“นายก็เคยบริจาคเงินให้กองทุนการกุศลของฉันไม่ใช่หรือ? ภายใต้การนำทางจากพระองค์ ฉันนำเงินไปสร้างโรงเรียนตามเมืองใหญ่บนเกาะ เน้นการมอบความรู้ อาหารวันละสามมื้อ และหอพักสำหรับเหล่าเด็กๆ ที่ถูกสังคมกีดกัน… วัยเด็กของพวกเราช่างหม่นหมอง และฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องพบเจอสิ่งเดียวกัน”
ขณะราล์ฟตอบ อัลเจอร์เอาแต่จ้องไปทางโรงเรียน จนกระทั่งราล์ฟพูดจบ อัลเจอร์ถอนสายตากลับและพูด
“ฉันคิดว่านายจะเก็บไว้ใช้เองสักครึ่งนึงเสียอีก”
ราล์ฟระเบิดเสียงหัวเราะ
“ดูเหมือนว่าฉันจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตานายสินะ… คิดว่าโรงเรียนพวกนี้เป็นยังไงบ้าง?”
อัลเจอร์จ้องอีกฝ่ายหัดจรดเท้าสักพักก่อนจะตอบ
“นายคิดว่าฉันเคยเข้าโรงเรียนหรือ”
มันเว้นวรรค
“กองทุนการกุศลของนายตั้งอยู่บนถนนเส้นไหน บางทีฉันอาจแวะไปหาเมื่อมีธุระ”
เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายถูกว่าจ้างโดยโบสถ์วายุสลาตัน ราล์ฟไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตนกับกลุ่มต่อต้าน เพียงขำแห้งและตอบ
“มาบริจาคน่ะได้ แต่ถ้ามาเพราะอย่างอื่นก็ไม่ต้อง”
หลังจากแจ้งตำแหน่งอาคารกองทุน ราล์ฟเดินทางกลับบ้าน จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองและเคาะประตู
“ท่านเดนิส ผมมีเรื่องมารายงาน”
ภายในห้อง เสียงทุ้มต่ำและน่าเกรงขามดังขึ้น
“เข้ามา”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
โดเรียนผู้อาศัยในหอพักเช่า เดินตรงมาทางหน้าต่าง หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าก็เริ่มมืด
คืนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์สีแดงเปล่งปลั่งเต็มดวง เป็นอีกครั้งที่คำสาปของตระกูลอับราฮัมจะกำเริบ
โดเรียนไม่ได้โกนหนวดมาหลายวันแล้ว รอบปากเต็มไปด้วยหนวดเคราสีขาว ลากยาวไปถึงเส้นกรามและจอน ไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนอย่างมาก
เฝ้ามองสักพัก โดเรียนก้มศีรษะลงพลางเปล่งภาษาคนยักษ์
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
หลังจากท่องจบ มันเดินกลับมานั่งบนโซฟากลางห้อง รอคอยให้พระจันทร์เต็มดวงและเข้าสู่ช่วงเวลาที่พลังวิญญาณเข้มข้นที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ณ วังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่คอยอยู่บนเก้าอี้เดอะฟูลทำการกวักมือเสกกระดาษคน
กระดาษคนแผ่นดังกล่าวอัดแน่นด้วยพลังของปราสาทต้นกำเนิด จากนั้นก็ลอยผ่านจุดแสงการสวดวิงวอนของโดเรียนและประทับร่าง
ระหว่างนี้ ไคลน์จงใจซ่อน ‘เอฟเฟกต์’ และปล่อยให้ ‘เทวทูต’ โอบกอดโดเรียนอย่างเงียบงัน
มันรู้สึกว่าหากมิสเตอร์ฟูลสำแดงอิทธิฤทธิ์ท่วมท้นเกินไป นั่นอาจทำให้สมาชิกตระกูลอับราฮัมตกใจกลัว จึงเลือกที่จะลงมือเงียบๆ
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้นทุกข์ทรมานเสมอ โดเรียนหยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลาเป็นครั้งคราว จะได้ทราบว่ายังเหลือเวลาอีกกี่นาทีก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะทำให้พลังวิญญาณบนโลกเอ่อล้น – สิ่งนี้สามารถคำนวณได้ด้วยความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับ
จนกระทั่งใกล้รุ่งสาง โดเรียนงอตัวโดยสัญชาตญาณ หวังต้านรับความเจ็บปวดที่จะมาพร้อมคำสาป
ทว่า เวลากลับผ่านไปด้วยความเงียบเชียบ ปราศจากเสียงเพรียกทำลายโสตประสาทโดยสิ้นเชิง
ขณะแสงจันทร์สีแดงเข้มส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบร่างของโดเรียน มันยืนขึ้นด้วยอาการมึนงงพลางพบว่าบรรยากาศรอบตัวอยู่ในความสงบสุข เงียบงัน และผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง ปราศจากสิ่งผิดปรกติทั้งปวง
โดเรียนมองออกไปนอกหน้าต่างและได้พบกับพระจันทร์สีแดงอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง สง่างาม อ่อนโยน และชวนฝัน ราวกับกำลังแขวนคล้อยอยู่ภายในใจมัน
เงียบงันอยู่สักพัก โดเรียนก้มศีรษะลงพลางหยิบนาฬิกาพกออกมา
“…” มันยกมือขวาขึ้นมาขยี้ตา จากนั้นก็ปิดหน้าเอาไว้เป็นเวลานาน
เคราสีขาวบนใบหน้าของมันกำลังเลอะคราบน้ำตาและน้ำมูก
…………………………