ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 130 ไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มคนนี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานถาม “พิธีสวรรค์พิจิตต้องให้คนแสดงที่มาด้วยหรือ”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ราวกับสายน้ำ สงบไร้คลื่นราวกับน้ำในสระ อย่างไรก็ตามหากมีคนที่มีการบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งอยู่ที่นี่ อาจจะสามารถได้ยินว่ามันไม่ใช่สายน้ำแต่เป็นน้ำแข็ง น้ำแข็งที่ถูกอายุนับหมื่นปี

ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึง ไม่มีใครคาดว่าคนผู้นี้จะตอบอย่างเย็นชาแบบนี้

พิธีสวรรค์พิจิตดูเหมือนจะบอกว่าสวรรค์เป็นผู้เลือก แต่จากกฎของมันจะเห็นได้ว่าอันที่จริงแล้วอยู่ที่ความแข็งแกร่งของคน ไม่ว่าจะชนะผ่านการปกป้องของวิญญาณบรรพบุรุษหรือผ่านความแข็งแกร่งของตนเอง ที่มาของคนผู้นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เอามาใช้ตัดสิน พิธีสวรรค์พิจิตทั้งหมดนับจากอดีตกาลก็ไม่เคยถามหาที่มาของคน

สมาชิกสภาผู้อาวุโสพบว่าตัวเองไร้คำพูดจะกล่าวไปครู่หนึ่ง มองไปทางชายหนุ่มอย่างโมโหแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะสวมหมวกไผ่สานนั่นเอาไว้ได้จนจบ”

……

……

ดวงตะวันส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอยู่กลางฤดูหนาว แต่ก็ยังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง

ดวงอาทิตย์สีแดงเหนือยอดเขาลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ หมอกชื้นที่ปกคลุมสองฝั่งแม่น้ำแดงถูกไล่ไปจนหมด เหลือไว้แค่ภาพอันงดงามจับตา

การต่อสู้บนลานประลองในเมืองไป๋ตี้ดำเนินไปอย่างดุเดือด การต่อสู้ที่โดดเด่นหาใดเปรียบและจังหวะอันตรายเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ

บนถนน ข้างผนังขาวริมทุ่งหญ้า ตรงหน้าเมืองพระราชวัง ชาวบ้านเผ่าปีศาจส่งเสียงโห่ร้องอย่างต่อเนื่อง แต่บางครั้งก็หยุดอ้าปากค้างไป

มียอดฝีมือหนุ่มเผ่าปีศาจที่มีชื่อเสียงมากมายเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่ก็มีม้ามืดอยู่ไม่น้อย

มีคนที่เป็นตัวแทนของเผ่าที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาจำนวนหนึ่งที่แสดงพลังอันแข็งแกร่งน่าประหลาดใจออกมา

ลานประลองหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับวังหลวงกับหอเทียนโส่วเป็นที่สนใจของทุกคน แม้ว่ามันจะไม่เสียงดังเท่าไหร่แต่สายตาที่จับจ้องนั้นมีสมาธิอย่างมาก

เมื่อพิธีสวรรค์พิจิตดำเนินไป สายตาส่วนใหญ่ก็จับจ้องไปที่ลานประลองสามแห่ง

คนสามคนยืนอยู่บนลานประลองเหล่านั้น

เสี่ยวเต๋อ องค์ชายรองของดินแดนต้าซีและชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน

ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นกลางของเผ่าปีศาจและหลานของจักรพรรดินี เสี่ยวเต๋อกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซีจึงเป็นที่สนใจของผู้คน อย่างไรก็ตามในตอนนั้นเอง สายตามากมายยิ่งกว่าโดยเฉพาะสายตาของคนสำคัญที่ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ของวังหลวงเล็งไปที่ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน

ชายหนุ่มคนนี้ลึกลับเกินไป

จนถึงตอนนี้ นอกจากชื่อที่ลงทะเบียนไว้ซึ่งน่าจะเป็นชื่อปลอม ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของเขาแม้แต่อย่างเดียว ชายหนุ่มดูเหมือนจะมีพลังวิเศษบางอย่าง ก่อนที่คู่ต่อสู้จะมีโอกาสโจมตี ตอนที่พวกเขาก้าวขึ้นลานประลองก็ล้มลงหมดสติไปอย่างประหลาด

ตอนนี้ชายหนุ่มชนะมาสี่รอบแล้ว ไม่ว่ากรรมการเผ่าหลี่หรือสมาชิกสภาผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองก็ไม่อาจมองออกว่าเขาใช้วิชาใด แม้แต่แม่ทัพของราชสำนักเผ่าปีศาจ ชงซิงเหอ ก็ไม่อาจสังเกตเห็นอะไรตอนที่เขามาดูการประลองรอบสาม

เขาเป็นใครกัน เขามาจากเผ่าไหน

……

……

ตอนที่สายตาส่วนใหญ่มองไปที่เมืองพระราชวังและหอเทียนโส่ว ตอนที่คนสำคัญไม่กี่คนที่รู้ความจริงกำลังมองไปทางชายหนุ่มสวมหวกไผ่สานด้วยสีหน้าผสมปนเป มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในลานประลองที่อยู่ไกลออกไป มันแต่ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนในตอนนั้น

ลานประลองนี้ถูกจัดไว้บนถนนต้นสนที่เขตยากจนของเมืองไป๋ตี้ มันห่างจางกลางเมืองและอยู่ใกล้กับแม่น้ำ เมื่อจิงกระโดดขึ้นและตกลงในแม่น้ำแดง ทำให้กลิ่นเหม็นจากโคลนตมใต้แม่น้ำลอยขึ้นมาและโชยไปตามสายลม เป็นกลิ่นที่ชวนอ้วก มียอดฝีมือคนไหนจะมาประลองที่นี่

ในตอนเช้าตรู่ เมื่อเสียงกลองรบดังขึ้นในเมืองและกระจายไปถึงถนนต้นสน ทรายซึ่งปกคลุมลานประลองที่สร้างขึ้นจากหินในเวลาชั่วข้ามคืนเริ่มสั่นสะเทือน แต่นอกจากกรรมการเผ่าหลี่ ผู้ดูแลสองคนกับเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องแล้ว พื้นที่นี่ก็แทบไม่มีคนอื่นอีก

แม้ว่าทั่วโลกจะฉลองกับพิธีสวรรค์พิจิต ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป และพวกคนชั้นล่างที่อาศัยอยู่บนถนนต้นสนก็ยังต้องทำงาน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องทนหิวในคืนนี้ เมื่อคิดถึงท้องที่ว่างเปล่าแล้ว การต่อสู้บนลานประลองที่แม้จะน่าสนใจก็ยังต้องปล่อยไปก่อน

ก่อนจะออกไปทำงาน พวกเขาย่อมต้องเติมท้องให้เต็มก่อน เตาหินหยาบๆ นานับชนิดเริ่มมีควันลอยขึ้นมา ในกระทะมีน้ำมันที่ดำหลังจากถูกใช้มาหลายวัน อาหารที่ทำจากแป้งหลากชนิดเริ่มถูกโยนลงไปจนเกิดฟอง ในขณะเดียวกันชาวบ้านเผ่าปีศาจที่ไม่ได้ล้างหน้าด้วยซ้ำอ้าปากหาวยืนต่อแถว

เซวียนหยวนผ้อไม่ได้นอนมากนักเมื่อคืน ดังนั้นเขาจึงตื่นเช้ากว่าคนอื่น ส่งผลให้เขาสามารถซื้ออาหารเช้าได้ก่อนในยามเช้าอันเร่งรีบ

ลานบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอกอยู่ในหมอกควันจางๆ เป็นผลมาจากหม้อต้มน้ำที่อยู่บนเตา

พื้นที่ด้านหลังประตูกระดาษก็มีหมอกควันจางๆ ถุงกระดาษบรรจุซาลาเปาเนื้อกับหมั่นโถวร้อนกรุ่นถูกเปิดออก ควันที่ลอยออกมามีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง

เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้กำลังกินหมั่นโถว

เซวียนหยวนผ้อกำลังกินซาลาเปาเนื้อ ซาลาเปาลูกนี้ขนาดไม่เล็กใบกว่าใบหน้าเขาสักเท่าไหร่ ตอนที่เขากัดกลิ่นหอมและน้ำจากเนื้อชุ่มฉ่ำเริ่มหยดออกมา

อู๋ฉยงปี้มีสีหน้าน่าเกลียดตอนที่ถาม “ทำไมเจ้ากินซาลาเปาเนื้อในขณะที่พวกเรากินหมั่นโถว”

เซวียนหยวนผ้อไม่คิดจะเสียแรงตอบ เขากินซาลาเปาเนื้อต่อไป ดูดนิ้วที่เบื้อนน้ำมันจากเนื้ออยู่เป็นระยะๆ ดูเอร็ดอร่อยอย่างมาก

อู๋ฉยงปี้มีหน้าน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิมน้ำเสียงแหลมสูงขึ้น “เจ้าทำแบบนี้ให้พวกข้าดูใช่ไหม! ชั่วช้า!”

เซวียนหยวนผ้อไม่สนใจนางเหมือนเคย

หลังจากปรับพลังอยู่คืนหนึ่ง เปี๋ยยั่งหงก็ฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่กลิ่นอายความตายบนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไป

เขามองไปที่เซวียนหยวนผ้อและถาม “ซาลาเปานั่นไส้อะไร”

“เนื้อกับต้นหอม” เซวียนหยวนผ้อพูดอู้อี้

เปี๋ยยั่งหงถอนหายใจ “กลิ่นหอมจริงๆ”

เซวียนหยวนผ้อตอบสนองในที่สุด เขารีบกลืนอาหารจากนั้นก็อธิบายอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านลำบาก แต่เจ้าสำนักบอกว่าหลังจากได้รับบาดเจ็บหนักไม่ควรกินอาหารมัน ท่านควรกินโจ๊กแต่ไม่อาจกินซาลาเปาเนื้อ”

คำว่าเจ้าสำนักย่อมหมายถึงเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพตลอดมา ดังนั้นผู้คนในสำนักฝึกหลวงรวมถึงเซวียนหยวนผ้อย่อมได้รับอิทธิพลมาอย่างล้ำลึก

เปี๋ยยั่งหงหัวเราะ

อู๋ฉยงปี้กล่าวอย่างโมโห “กินซาลาเปาเนื้อให้ติดคอตายไปเลย!”

เซวียนหยวนผ้อไม่สนใจนาง อธิบายกับเปี๋ยยั่งหงต่อไป “ข้าต้องออกแรงมากในวันนี้ดังนั้นจึงต้องกินมากขึ้นหน่อย”

แม้ว่าจะบาดเจ็บหนักเปี๋ยยั่งหงก็ยังมีจิตสัมผัสที่แหลมคม ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงตีกลองและเสียงพูดคุยภายนอกอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ้อรวมกับสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืนว่าจำเป็นต้องทำเรื่องบางอย่างในช่วงไม่กี่วันนี้ เขาก็พอรู้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาถาม “เจ้าจะเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตอย่างนั้นหรือ”

อู๋ฉยงปี้มีนิสัยแปลกประหลาด แต่ก็มีประสบการณ์มากมาย นางรู้ว่าพิธีสวรรค์พิจิตมีความสำคัญต่อชาวเผ่าปีศาจเช่นใดและตัวแข็งไป จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏบนใบหน้าของนางตอนที่กล่าวกับเซวียนหยวนผ้อ “แม้แต่หมีธรรมดาอย่างเจ้าก็ยังมีความคิดหวังเลื่อนลอยจะแต่งกับลูกสาวของจักรพรรดิขาวหรือ”

แม้ว่าเซวียนหยวนผ้อจะมีความอดทนอดกลั้น เขาก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนี้ออกจะเกินทนไปหน่อย เขากล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “เจ้าจะรู้อะไร”

สายตาอู๋ฉยงปี้จับจ้องไปที่แขนขวาลีบเล็กไร้กำลังของเขาและเย้ย “ข้ารู้แค่เจ้าพิการ”

เปี๋ยยั่งหงก็สังเกตเห็นแขนขวาที่ดูประหลาดของเซวียนหยวนผ้อแต่เขามีปฏิกิริยาต่างไปจากอู๋ฉยงปี้ ใบหน้ามีความประหลาดใจตอนที่ถาม “เจ้าฝึกวิชาอัสนีสวรรค์อย่างนั้นหรือ”