เซวียนหยวนผ้อตกใจอยู่บ้าง ไม่มีใครเคยรู้ว่าเขาฝึกวิชาใด แต่เปี๋ยยั่งหงกลับเปิดโปงออกมาในคำถามเดียว
เห็นสีหน้าเขาเปี๋ยยั่งหงก็รู้ว่าตัวเองเดาถูก “เป็นวิชาที่เฉินฉางเซิงเลือกให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
เซวียนหยวนผ้อพยักหน้า
เปี๋ยยั่งหงชื่นชม “ข้ารู้สึกว่าเขามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรยอดเยี่ยม แต่ไม่รู้เลยว่าเขามีสายตายอดเยี่ยมเช่นกัน เขาเป็นเจ้าสำนักที่มีฝีมือทีเดียว”
เซวียนหยวนผ้อคิดแล้วก็ตอบ “นั่นยากจะบอกได้”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่แขนขวาของเซวียนหยวนผ้ออีกครั้งและกล่าว “ข้าเห็นว่าเจ้าฝึกมันได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนเจ้าจะมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย”
เซวียนหยวนผ้อใช้กระดาษเช็ดคราบน้ำมันที่เหลืออยู่บนนิ้วมืออย่างไม่สนใจ
เปี๋ยยั่งหงพูดขึ้นอีกครั้ง เสียงของเขาเข้าหูเซวียนหยวนผ้อและจี้ไปที่ใจของเขา
“ชักนำอัสนีสวรรค์หมายถึงซ่อนอัสนีสวรรค์ ซ่อนพายุฟ้าคะนองไว้จนไม่เหลือร่องรอย เจ้าไม่ผิดในจุดนี้เรียกได้ว่าสามารถฝึกได้ดีมาก”
เปี๋ยยั่งหงเสริม “แต่เจ้าออกจะทำมันอย่างจงใจเกินไปบ้าง”
เซวียนหยวนผ้อเงยหน้าขึ้นและถามอย่างประหลาดใจ “ท่านจะบอกอะไร”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่เขาและกล่าว “ต้นไม้ฝังรากลึกลงในดินอุดมสมบูรณ์ ไม่ปล่อยให้ฟ้าดินได้เห็น ไม่ทนทุกข์จากลมแรง ได้รับการขัดเกลาจากเพลิงปฐพี ค่อยๆ เริ่มมีประกายสายฟ้า สะสมพลังงานรอจนถึงตอนที่มันจะออกมาจากพื้นดินและพลันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่พุ่งสู่สวรรค์ ใบไม้มีประกายของสายฟ้า จะมีใครต้านทานพลังของมันได้”
สายตาเซวียนหยวนผ้อมองตามสายตาของเปี๋ยยั่งหงไปที่แขนขวาของตัวเอง
แขนขวาของเขาเหี่ยวแห้งอย่างชัดเจน ขัดกับแขนซ้ายกำยำอย่างมาก ทำให้ดูน่าอนาถไม่น้อย
ลูกค้ามากมายในโรงเตี๊ยมเล็กๆ เชื่อว่านี่เป็นแผลเก่าที่เกิดจากความพ่ายแพ้ใต้มือของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ในจิงตูและเยาะเย้ยเขาอยู่หลายครั้ง
มีแต่เขาที่รู้ว่ามีกำลังน่ากลัวซ่อนอยู่ในแขนขวาที่ดูเหมือนพิการนี้
แน่นอนมีบางคนที่มองมันออก
เซวียนหยวนผ้อรู้ได้ในที่สุดว่าคนตรงหน้าเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นแปดมรสุมในตำนาน
เขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในทันที ถามหาคำแนะนำ “ท่านหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ‘จงใจ’ ”
เปี๋ยยั่งหงอธิบาย “สายฟ้าเป็นไปตามกฎธรรมชาติของฟ้าดิน คนสามารถซ่อนเจตจำนงของมันแต่ไม่อาจซ่อนความแหลมคม เหมือนกับตอนที่ต้นไม้ทะลวงสวรรค์พุ่งขึ้นในวันเดียวหลังจากซ่อนอยู่ใต้หินและดินมาหลายพันปี แม้ว่ามันจะดูโอ่อ่า มันก็เสียคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดไป”
เซวียนหยวนผ้อถามต่อ “ข้าขอถามท่านว่าคุณสมบัตินั้นคืออะไร”
เปี๋ยยั่งหงถาม “ใช้อะไรฝึกวิชาอัสนีสวรรค์”
เซวียนหยวนผ้อตอบในทันที “กำปั้น”
เปี๋ยยั่งหงยิ้ม “ข้าแค่พอมีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง”
ในการต่อสู้ครั้งใหญ่ในสุสานเทียนซู เขาได้เห็นกำปั้นสะท้านโลกของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ด้วยตัวเอง ทำให้เกิดความรู้แจ้งครั้งใหญ่
ช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาก็เริ่มใช้กำปั้นเช่นกัน ดังนั้นในโลกหลังจากเทียนไห่ ก็ไม่มีใครที่มีกำปั้นแข็งแกร่งไปกว่าเขาอีกแล้ว
เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครอีกแล้วที่มีประสบการณ์และการเรียนรู้ในเรื่องนี้มากไปกว่าเขาอีกแล้ว
“ทำไมจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ใช้ปิ่นไม้หงส์น้อยหรือหยกสมประสงค์แต่กลับเป็นกำปั้นในการสู้กับท่าน”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่ดวงตาของเซวียนหยวนผ้ออย่างสุขุมและกล่าว “นั่นเป็นเพราะกำปั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ยกขึ้นวางลงได้ตามใจ เทียบกับกระบี่ ทวนหรือวัตถุภายนอกอื่นๆ แล้วมันสามารถใช้ออกได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่า และความเร็ว…ก็คือความแข็งแกร่ง”
ดวงตาเซวียนหยวนผ้อเป็นประกายขึ้นมา
เผ่าปีศาจให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์กับมารเสียอีก ในฐานะสมาชิกเผ่าปีศาจเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่สาเหตุที่เขาตื่นเต้นกับคำพูดของเปี๋ยยั่งหง มันเป็นเพราะคำพูดที่เผยหลักการสำคัญอย่างมากสำหรับเขา
ไม่ว่าจะเป็นวิชาเต๋า เพลงกระบี่หรือค่ายกล ต่างก็ล้วนใช้ในการต่อสู้ ล้วนมีรากฐานร่วมกัน สุดท้ายก็อยู่ที่ความเร็วและพลัง ไม่ว่ามันจะโอ่อ่าผ่าเผยหรือเปล่า มีการเคลื่อนไหวทรงพลังหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันเลย
ซ่อนพายุฟ้าคะนองทำให้สะสมกำลังแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เหมือนกับที่เปี๋ยยั่งหงกล่าว มันส่งผลต่อความเร็วของวิชาที่เขาใช้
แล้วจะทำให้ทั้งสองอย่างอยู่ในจุดสูงสุดพร้อมกันได้อย่างไร
ราชันย์แห่งหลิงไห่ถามออกไป
เปี๋ยยั่งหงใช้ประสบการณ์ที่ได้มาจากการบำเพ็ญเพียรหลายร้อยปีและการต่อสู้นับไม่ถ้วนอธิบาย
เซวียนหยวนผ้อยิ่งฟังยิ่งมีสมาธิ ถึงกับลืมหายใจ
ห้องเปลี่ยนเป็นเงียบผิดปกติ ลมพัดผ่านรอยแยกของประตูกระดาษ พัดผลึกแก้วและเจดีย์ทั้งสามบนพื้นอย่างแผ่วเบา
หากไม่ใช่เพราะอู๋ฉยงปี้พ่นลมอย่างหมดความอดทน การบรรยายเต๋าอาจดำเนินไปอีกนานทีเดียว
เซวียนหยวนผ้อได้สติกลับมาและคำนับเปี๋ยยั่งหงแล้วออกจากห้องไป
เมื่อเขายืนอยู่บนพื้นกระดานไม้นอกห้อง มองไปที่ควันที่ลอยขึ้นจากเตาที่อยู่ไกลออกไปในลานบ้าน เขาคิดเงียบๆ ไปเป็นเวลานาน คำพูดของเปี๋ยยั่งหงค่อยๆ ผสานรวมเข้ากับประสบการณ์ของเขา ทำให้เขาแก้ปัญหามากมายในการบำเพ็ญเพียรได้ ถึงกับรู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้กับเส้นแบ่งขั้น
เขาสูดหายใจลึกแล้วก็เดินทางผ่านก้อนกรวดขาวไปถึงบ่อน้ำ เขาใช้กระบวยไม้รดน้ำต้นสนเตี้ยๆ ก้มหน้าลงใช้น้ำเย็นในบ่อล้างหน้า หลังจากยืนยันว่าล้างความง่วงไปหมดแล้ว เขาก็เช็ดหน้าและออกไปจากลานบ้าน
เสียงตีกลองดังยังออกมาจากตอนบนของเมืองอย่างต่อเนื่อง
เสียงคลื่นจากแม่น้ำแดงดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
คนบนถนนต้นสนตื่นแล้ว เพื่อนบ้านอ้าปากหาวแคะขี้ตา พวกเขายังถือเหยือกต่อแถวซื้ออาหารเช้ากันอยู่
มีคนงานบางคนที่กินเสร็จแล้วนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้านนอกร้านโจ๊ก ยกเท้าขึ้นยามพูด ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องเสียงกลองที่ดังมาจากส่วนบนของเมืองหรือคลื่นรุนแรงจากแม่น้ำแดง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจในพิธีสวรรค์พิจิต มีบางคนพูดถึงเรื่องที่ว่าจะไปลานประลองไหนดีหลังจากทำงานเสร็จแล้ว
เซวียนหยวนผ้อเดินไปตามถนน
ผู้หญิงสองสามคนจากพื้นที่นี้ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาถามว่าเขากินเข้าเช้าหรือยัง เขาก็ยิ้มและพยักหน้าตอบไป คนงานที่คุ้นหน้าเขาถามว่ากิจการของโรงเตี้ยมน้อยนั่นเป็นอย่างไรบ้าง เถ้าแก่คิดจะขายสุราถูกถ้วยละสองเหรียญอีกทีเมื่อไหร่ เขาส่ายหน้าบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้
จากนั้นเจ้าของร้านขายซาลาเปาเนื้อก็ถามเขาว่าเขาจะรีบไปไหนตั้งแต่เช้า
เขาหยุดและตอบ “ข้าจะไปร่วมพิธีสวรรค์พิจิต”
ถนนเงียบไปครู่หนึ่ง แม้แต่ไอน้ำที่ลอยขึ้นจากซึ้งก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นและดังต่อเนื่องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น มันดังมากขึ้นเรื่อยๆ แฝงด้วยความขบขันหรือเยาะหยัน เห็นใจหรือเหยียดหยาม
เซวียนหยวนผ้อลูบศีรษะและหัวเราะ
……
……
ลานประลองที่เซวียนหยวนผ้อไปนั้นอยู่บนถนนต้นสน อยู่ใกล้จนเดินไปได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นรถม้าช่วยประหยัดเงินไปได้
ตอนที่เขามาถึงที่ตั้งของลานประลอง ก็มีคนดูมาห้อมล้อมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม รายชื่อผู้เข้าร่วมยังไม่ถึงเต็มสองหน้าด้วยซ้ำ
นี่เป็นที่ห่างไกล อยู่ห่างไปจากเมืองพระราชวังกับหอเทียนโส่ว ไม่มีคนสำคัญมาดูที่แห่งนี้และไม่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งจะมาปรากฏกาย จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มียอดฝีมือคนไหนมาทดสอบตัวเองที่นี่ คนที่คิดจะลงทะเบียนตรงลานประลองนี้มักเป็นคนที่ไม่สนในพิธีสวรรค์พิจิตได้ อย่างเช่นชาวบ้านเผ่าปีศาจที่ต้องการจะต่อสู้สักหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านเผ่าปีศาจและก็ดูเหมือนการทะเลาะกันในตลาดมากกว่า หลังจากปะทะกันไม่กี่รอบก็มักจะยอมแพ้ไป
กรรมการเผ่าหลี่ประจำลานประลองนี้กับผู้ดูแลทั้งสองรู้สึกว่าการประลองพวกนี้ช่างน่าเบื่อ เจ้าหน้าที่จากถนนต้นสนรู้สึกเบื่อยิ่งกว่า เจ้าหน้าที่ดูแลการลงทะเบียนถึงกับเริ่มง่วงขึ้นมา หัวของเขาเริ่มก้มต่ำลง ดูราวกับมันจะฟาดใส่ขอบโต๊ะได้ทุกขณะ
เซวียนหยวนผ้อเดินมาที่โต๊ะและเคาะมันเบาๆ
เจ้าหน้าที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา เงยหน้าขึ้นอย่างโมโห เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อระบายอารมณ์แต่ก็ตัวแข็งไป