ตอนที่ 1075 มุกล้ำค่าสำเร็จ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส เมื่อแน่ใจแล้วว่าสัมผัสไม่พบลมหายใจใดๆ ของอสูรเหอหม่ายักษ์ตัวนี้ มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นกวัก เงาภูเขาน้อยของมุกบรรพตธาราพังทลายกลายเป็นมุกกลมสีเหลืองหม่นลูกหนึ่งพุ่งย้อนกลับมา

เวลานี้ร่างกายของอสูรเหอหม่ายักษ์ที่เดิมทีมโหฬารแบนแต๊ดแต๋นอนอยู่ที่ก้นแม่น้ำนิ่ง ตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว

หลิ่วหมิงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเก็บเกล็ดที่เหลือไม่มากบนร่าอสูรตัวนี้ขึ้นมา ดวงตาสีเหลืองอร่ามทั้งสองดวงก็ควักออกมาเก็บไว้ด้วย

แม้อสูรยักษ์ตัวนี้จะพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมุกบรรพตธาราที่ควบคุมน้ำจากแม่น้ำมืดได้ดุจเดียวกันก็พอดีถูกข่มเอาไว้ได้

ร่างกายของมันมหึมาเช่นนี้ ในร่างมีน้ำจากแม่น้ำมืดมากมายเต็มเปี่ยมเช่นนี้จะไม่ถูกมุกบรรพตธาราตรึงไว้อย่างง่ายดายได้อย่างไร!

หลังจากหลิ่วหมิงเก็บวัตถุดิบจากอสูรยักษ์เสร็จ เขาก็ใช้เคล็ดวิชา ปราณดำทั่วร่างทะลักออกมาหุ้มตนไว้ตรงกลาง ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพืออีกครั้งกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งเหาะพุ่งขึ้นฟ้า

แม้น้ำจากแม่น้ำมืดจะหนักอย่างยิ่ง แต่ดีที่เขาเป็นผู้ฝึกร่าง พละกำลังของกายเนื้อจึงไม่อ่อนแอ เมื่อมีปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังเสริมจึงพอต้านพลังมหาศาลมุ่งหน้าไปด้านบนได้ เพียงแต่ความเร็วค่อนข้างช้าหน่อยเท่านั้น

ทว่าเขาเพิ่งออกห่างจากก้นแม่น้ำมืดได้ไม่ถึงร้อยจั้ง ทันใดนั้นแรงดึงดูดมหาศาลสายหนึ่งก็จู่โจมมาจากด้านข้าง

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทั้งร่างสูญเสียการควบคุมในทันใด เขาไม่อาจต้านทานได้แม้เพียงชั่วครู่ ได้แต่ถูกแรงดึงดูดล่องหนที่มีพลังมหาศาลสายนี้ลากไป

ในใจเขาหวาดหวั่นยิ่งนัก เขาเงยหน้ามองด้านบน ปรากฏว่าไม่ไกลเบื้องหน้าคือน้ำวนสีดำขนาดมโหฬารยิ่งนักลูกหนึ่ง

ใจกลางน้ำวนมีเสียงครวญครางดังออกมาเลือนราง

แรงดึงดูดสายนี้มาจากน้ำวนเหล่านี้นี่เอง!

อึดใจต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด ร่างกายหมุนกลับบนเป็นล่างกลับล่างเป็นบน หลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้เรื่องราวอีกต่อไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สะลึมสะลือฟื้นตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตนเองอยู่ในพื้นที่ขนาดหลายหมู่อีกแห่งหนึ่ง

ภายในบริเวณนี้ไม่มีน้ำจากแม่น้ำมืดแม้แต่น้อย แต่ปราณหยินที่ล่องลอยอยู่กลับบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

เมื่อเขากวาดสายตามองรอบด้านเพื่อสำรวจอย่างละเอียด เขาก็อดไม่ได้สูดลมหายใจดังเฮือก

ทุกทิศรอบตัวล้วนเป็นน้ำวนสีดำขนาดไม่เท่ากันหลายสิบลูก ล้อมพื้นที่จุดที่ตนอยู่จนกลายเป็นเสากลมต้นหนึ่ง ปราณหยินบริสุทธิ์ที่ใกล้จะกลายเป็นของเหลวแผ่กระจายออกมาจากใจกลางน้ำวนเหล่านี้

เมื่อเขาเงยหน้ามองอย่างอึ้งทึ่งก็เห็นว่าเหนือศีรษะราวร้อยจั้ง ยังมีน้ำวนขนาดยักษ์ใหญ่ราวร้อยจั้งอีกลูกหนึ่งกำลังหมุนอย่างเชื่องช้า

หลังจากหลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาก็พบว่าพื้นดินตรงจุดที่ตนอยู่มีลวดลายจิตวิญญาณประหลาดหลายวงสลักอยู่มากมายเต็มไปหมด ก่อตัวเป็นค่ายกลชั้นจำกัดขนาดมหึมาอย่างยิ่งอันหนึ่ง

ยามที่ตัวเขาอยู่ใจกลางค่ายกลนี้ ไม่เพียงสัมผัสความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกจากน้ำของแม่น้ำมืดรอบด้านไม่ได้ แต่แรงดึงดูดมหาศาลของน้ำวนรอบด้านก็ไม่มีผลด้วย

ดูจากเศษหินจำนวนหนึ่งบนพื้นของสถานที่แห่งนี้กับภูมิประเทศที่ผลุบโผล่อยู่รอบด้าน ชั้นจำกัดประหลาดอันนี้เหมือนจะซ่อนอยู่ใจกลางร่องน้ำมหึมาสักแห่งที่ก้นแม่น้ำมืด

“ไม่ใช่ว่าใครบางคนวางชั้นจำกัดไว้อีกหรอกนะ?” หลิ่วหมิงมองสำรวจรอบด้านแล้วอดไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย

แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนธรรมดา ความคิดแล่นเร็วไวรอบหนึ่งก็กลับมาสุขุมอีกครั้ง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลับตารอคอย

หนึ่งวัน สองวัน…

เจ็ดวันให้หลังหลิ่วหมิงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็มั่นใจว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดถือครอง มิเช่นนั้นคงปรากฏตัวนานแล้ว

หากเป็นเช่นนี้จริง สถานที่แห่งนี้ซ่อนเร้นเช่นนี้ย่อมเป็นสถานที่ฝึกฝนอันยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตามไม่ว่าการกลั่นหยดพลังวารี การหลอมมุกบรรพตธาราหรือการใช้น้ำจากแม่น้ำมืดฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำก็ไม่ใช่จะลุล่วงได้ในสามปีห้าปี

หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดพักหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ

เขาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มจัดพื้นที่รอบด้าน

ก่อนอื่นต้องก่อแท่นเรียบหยาบๆ สักแท่นใต้แม่น้ำ หลังจากนั้นต้องวางค่ายกลชั้นจำกัดไว้บนแท่นหลายๆ ชั้น…

เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หลิ่วหมิงจึงปล่อยแมงป่องกระดูกกับหัวบินออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

“ปราณหยินเข้มข้นนัก…”

ทันทีที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วสัมผัสกับปราณหยินที่โถมคลั่งหนาวเสียดกระดูกรอบด้าน ร่างกายก็สั่นระริก

“ที่นี่คือใต้แม่น้ำมืด ปราณหยินไม่เพียงเข้มข้นแต่ยังรุนแรงยิ่งนัก ทว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อการฝึกปรือพลังเวทในร่างของพวกเจ้าอย่างมาก ไม่แน่อาจทำให้พวกเจ้าสองตัวหาโอกาสทะลวงระดับได้ ข้าเตรียมตัวจะฝึกฝนอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานาน พวกเจ้าก็อยู่ข้างๆ ฝึกวิชาของตนเองไป” หลิ่วหมิงเอ่ยนิ่งๆ

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์พยักหน้า พวกมันหมุนตัวอยู่กับที่แล้วเผยร่างจริงออกมา จากนั้นพุ่งวูบเดียววิ่งไปด้านข้างฝึกวิชาของตน

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนแท่นเรียบใกล้ๆ ที่เพิ่งใช้วิชาก่อขึ้นเมื่อครู่ มือข้างหนึ่งล้วงแหวนเก็บของสีดำอ่อนวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

ของสิ่งนี้ก็คือของจากบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าตนนั้น!

ตอนที่ออกจากหุบเขาสิ้นสูญหลิ่วหมิงค้นมาจากโครงกระดูกของเขา

ตอนนั้นเขาเพียงใช้จิตสัมผัสกวาดดูไวๆ ครั้งหนึ่งยังตกตะลึงยิ่งนักกับข้าวของมากมายที่เก็บอยู่ด้านใน

แต่น่าเสียดายที่ของเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีเฉพาะในยมโลก อีกทั้งเกินกว่าครึ่งมีประโยชน์กับเผ่ายมโลกเท่านั้น สิ่งที่หลิ่วหมิงใช้ได้น้อยยิ่งกว่าน้อย

แต่หากแลกของเหล่านี้เป็นหินยมโลก คงจะเป็นตัวเลขที่สูงเทียมฟ้าจินตนาการไม่ถึง

หลิ่วหมิงสำรวจของในแหวนใหม่อีกครั้ง แล้วจัดแจงแบ่งประเภทวัตถุดิบด้านในใหม่ก่อนจะเก็บไปอย่างระมัดระวัง

ต่อจากนั้นเขาก็สงบใจโคจรลมปราณอยู่พักหนึ่ง แล้วโบกมือส่งปราณสีดำสายหนึ่งออกมาก่อตัวเป็นฝ่ามือใหญ่หนึ่งจั้งข้างหนึ่ง คว้าไปทางชั้นจำกัดเหนือศีรษะ

“ซู่” เสียงน้ำดังขึ้น ชั้นจำกัดที่มือปราณสีดำสัมผัส มีคลื่นน้ำสีดำซัดเข้ามา มือใหญ่ฉวยโอกาสกอบน้ำจากแม่น้ำมืดมาได้ก้อนใหญ่

มือของหลิ่วหมิงเปล่งแสงสีดำโอบน้ำจากแม่น้ำมืดเอาไว้ ก่อนจะโคจรพลังเวทใช้วิชาพันกลั่นวารีหลอมหยดพลังวารีต่อ

สิบกว่าวันให้หลัง น้ำจากแม่น้ำมืดที่ถูกปราณสีดำหุ้มอยู่ก็กลายเป็นหยดพลังวารีสีดำสนิทดั่งหมึกขนาดเท่าเมล็ดถั่วหยดหนึ่ง

หลังจากเขาเก็บมันเข้าไปในกล่องหยก หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาว สีหน้าเขียวคล้ำอยู่เลือนราง

ก้นแม่น้ำมืดแห่งนี้ ปราณหยินหนักหน่วงเป็นที่สุด ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกรุกรานร่างกายเขาไม่หยุดหย่อน

ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่เป็นอะไร แต่นานเข้า แม้แต่หลิ่วหมิงก็รู้สึกทนไม่ไหว

นี่เพิ่งจะสิบกว่าวันสั้นๆ ร่างกายของเขาก็ชาหน่วงอยู่บ้างแล้ว

แต่เขาคาดเดาสภาพเช่นนี้เอาไว้ในใจบ้างแล้วจึงไม่ตระหนก

เวลานี้แมงป่องกระดูกกับหัวบินต่างขดตัวอยู่ไม่ไกล บนร่างต่างมีปราณดำสายหนึ่งลอยขึ้นมาล้อมตัวเองเอาไว้เป็นก้อน ทั้งคู่เข้าสู่สภาวะฝึกฝนแล้ว เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากปราณหยินและไอเย็นรอบด้านแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งแล้วเรียกตำราสีดำเล่มหนึ่งออกมา

สิ่งนี้ย่อมเป็นเคล็ดวิชากระดูกดำสิบขั้นแรกที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงมอบให้เขาเมื่อครั้งนั้น หลายปีนี้เขาศึกษาเคล็ดวิชาในตำราเล่มนี้จนแตกฉานนานแล้ว

เขาเคลื่อนพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณโคจรไปยังเส้นลมปราณตามเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่ห้าทันที

ปราณหยินกับไอเย็นของแม่น้ำมืดที่รุกล้ำเข้ามาในร่างหลิ่วหมิงราวกับร้อยสายน้ำไหลสู่มหาสมุทร พวกมันทยอยไหลเข้าสู่เส้นลมปราณและกระดูกทั่วทั้งร่าง

เวลาผันผ่านไปทีละน้อย ครึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็ลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าฟื้นกลับมาเป็นปกติ

เคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่ห้าต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำมืดชำระร่างจึงจะฝึกฝนได้ ตอนนี้ตัวเขาอยู่ที่ก้นแม่น้ำมืด น้ำจากแม่น้ำมืดแค่ยกมือก็หามาได้

เดิมทีหลิ่วหมิงคิดจะกลั่นหยดพลังวารีแล้วหลอมมุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูกให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ อย่างไรที่แห่งนี้ก็คือก้นแม่น้ำมืด ยามใดอันตรายจะมาเยือน ผู้ใดก็ไม่อาจคาดเดาได้ การเพิ่มพูนพลังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

แต่ตอนนี้ดูแล้วการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำคงต้องเลื่อนขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่อาจอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้

แม้ทำเช่นนี้จะถ่วงความเร็วการกลั่นหยดพลังวารี แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงใช้ความสามารถในการแบ่งสมาธิทำสองสิ่ง จิตครึ่งหนึ่งโคจรเคล็ดวิชาพันกลั่นวารี กลั่นหยดพลังวารีไม่หยุด ส่วนจิตอีกครึ่งหนึ่งตรากตรำฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ

เวลาล่วงเลยอย่างรวดเร็ว ก้นแม่น้ำมืดเงียบสงบดุจดั่งยามแรก ไม่เคยมีผู้ใดรบกวน

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี

วันนี้เวลานี้ด้านในชั้นจำกัดที่ก้นแม่น้ำมีไอหมอกสีเหลืองหม่นที่มีประกายน้ำสีดำไม่น้อยแทรกอยู่ด้านในแผ่อยู่เต็มไปหมด

ทั้งสองสิ่งผสานรวมกันสาดซัดดั่งคลื่นสมุทรท่วมเต็มทั้งชั้นจำกัด

ใจกลางหมอกสีเหลืองกับแสงสีดำ เสียงท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาดังออกมาเลือนราง มีคลื่นพลังเวทมหาศาลสายแล้วสายเล่าส่งออกมาไม่หยุด ชั้นจำกัดสีดำเกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก

วันนี้ใจกลางไอหมอกสีเหลืองมีเสียงหวีดแหลมดังก้อง ไอหมอกกับประกายน้ำทั้งหมดทะลักเข้าไปที่จุดหนึ่งราวกับวาฬสูบน้ำ หายไปไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว

หลังจากไอหมอกหดหายไป รอบตัวมนุษย์ผู้สวมชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็มีมุกกลมสีเหลืองเข้มสิบสองลูกลอยก่อตัวเป็นรูปแบบประหลาด เคลื่อนวนอย่างเชื่องช้า

มนุษย์ผู้สวมชุดสีน้ำเงินผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิง

ในเวลาสิบปีนี้เขากลั่นทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก ในที่สุดก็กลั่นหยดพลังวารีออกมาได้เพียงพอ ไม่เพียงหลอมมุกบรรพตรธาราที่สำเร็จกึ่งหนึ่งลูกนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ ยังหลอมมุกบรรพตธาราสิบเอ็ดลูกที่เหลือจนสำเร็จเป็นอาวุธเวทที่แท้จริงจนหมดอีกด้วย

มุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูกมีหมอกสีเหลืองเข้มเบาบางลอยวนเวียนอยู่บนผิว มองทะลุผ่านหมอกบางจะเห็นเลือนรางว่าด้านในมุกแต่ละลูกมีภาพขุนเขากับสายน้ำที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่ภาพหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่าน สายธารไหลไม่ขาดสาย พลังชีวิตเปี่ยมล้น

หากพินิจให้ละเอียดจะพบว่าสายน้ำที่อยู่ในมุกบรรพตธาราที่สำเร็จมาก่อนครึ่งหนึ่งลูกนั้นเหนียวข้นและกว้างขวางสู้สิบเอ็ดลูกที่เหลือไม่ได้ นี่คงเป็นเพราะในตัวมันไม่ใช่น้ำจากแม่น้ำมืดทั้งหมดกระมัง

แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสามารถดึงหยดพลังวารีธรรมดาที่ผสานเข้าไปด้านในแล้วออกมาได้

สองมือของหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชา ก่อนจะอ้าปากพ่นแสงเรืองรองสีเหลืองสายหนึ่งออกมา มุกบรรพตธาราสิบสองลูกเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงสีเหลืองถูกแสงเรืองรองม้วนเข้าไปในร่าง

“ยินดีกับนายท่าน ในที่สุดก็หลอมอาวุธเวทมุกบรรพตธาราสำเร็จ!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลด้านหลังหลิ่วหมิงรีบเอ่ยแสดงความยินดี

ในเวลาสิบปีนี้ทั้งสองตรากตรำฝึกฝนไม่หยุดหย่อน พลังเวทจึงก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย

ตราประทับมงกุฎสีทองบนหน้าผากเซียเอ๋อร์แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิมจนเหมือนเปลวเพลิงสีทองดวงหนึ่ง ส่วนร่างกายของเฟยเอ๋อร์ก็ดูเติบใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วนเช่นกัน