หลิ่วหมิงพยักหน้าให้อสูรเลี้ยงทั้งสองตัว

เวลานี้สีหน้าของเขาดูซีดเผือดยิ่งนัก การหลอมอาวุธเวททั้งวันทั้งคืนเช่นนี้เป็นบททดสอบพลังเวทและพลังจิตอย่างหนึ่ง

โชคดีที่สุดท้ายก็หลอมมุกบรรพตธาราสิบสองลูกนี้สำเร็จ

มุกบรรพตธาราที่ใช้หยดพลังวารีแม่น้ำมืดหลอมจนสำเร็จเหนือกว่าที่เขาคาดหวังไว้

นี่ต้องขอบคุณผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนยุคโบราณไม่ทราบนามผู้นั้น เขาไม่เพียงเตรียมวัตถุดิบที่หายากในโลกหล้าไว้มากมายปานนั้น แต่ยังหลอมมุกสิบสองลูกนี้ให้เป็นร่างตั้งต้นของอาวุธเวทไว้แล้วอีกด้วย

สภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้ปราณหยินบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อรวมกับมีหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเต็มเปี่ยม จึงทำให้กระบวนการหลอมวัตถุดิบจิตวิญญาณของมุกเหล่านี้ดำเนินไปอย่างสมดุลและราบรื่นยิ่งนัก แทบจะไม่มีอุปสรรคอันใดก็สำเร็จลุล่วง

แม้เขายังไม่ได้ทดสอบพวกมัน แต่อาวุธเวทที่สำเร็จครึ่งเดียวลูกนั้นเมื่อตอนแรกยังร้ายกาจเช่นนั้น ของที่เสร็จสมบูรณ์สิบสองลูกนี้ พลังย่อมไม่ต้องบอกก็รู้

จากการคาดคะเนของเขา หากตั้งมหาค่ายกลบรรพตธาราขึ้นมา แม้จะเผชิญหน้ากับผู้ทรงพลังระดับดาราพยากรณ์ก็ยังสู้ซึ่งหน้าได้อย่างสูสีไม่ด้อยกว่ามากนัก

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือการใช้มุกบรรพตธาราเหล่านี้ผลาญพลังเวทมหาศาลเกินไปจริงๆ แม้แต่พลังเวทที่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปมากของเขาก็ฝืนใช้อาวุธเวทมุกบรรพตธาราสิบสองลูกได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น

ส่วนการตั้งมหาค่ายกลบรรพตธารายิ่งเป็นเรื่องที่ใจสู้แต่ร่างกายไม่ไหว

หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากินแล้วหลับตานั่งทำสมาธิ

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้จึงถอยไปด้านข้างฝึกฝนต่ออย่างว่าง่าย

สามวันสามคืนหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ลืมตาขึ้นอีกหน

เวลานี้สีหน้าของเขายังแลดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงมุกบรรพตธาราสิบสองลูกที่เก็บอยู่ในร่าง ดวงตาก็เผยแววตายินดีเปี่ยมล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เขาลุกขึ้นยืนแล้วขยับร่างกาย กระดูกส่งเสียงดังกร๊อบติดกันเป็นพรวน

สิบปีนี้พลังเวทของหลิ่วหมิงไม่ก้าวหน้าขึ้นสักเท่าไร แต่เคล็ดวิชากระดูกดำที่เขาหมั่นเพียรฝึกฝนอยู่เสมอบรรลุถึงขั้นที่เก้าได้อย่างราบรื่นแล้ว

เนื่องจากเดิมทีเขาอยู่ในระดับแก่นเสมือนที่ห่างจากการผนึกแก่นแท้เพียงเส้นกั้น ดังนั้นนี่จึงเท่ากับเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นเก้าของระดับผลึกขั้นปลาย ไม่ได้เพิ่มพูนพลังเวทในร่างเขาแต่อย่างใด แต่เขากลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพละกำลังของกายเนื้อตนแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

ต้องรู้ว่าแต่เดิมระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขาก็เหนือกว่าผู้ฝึกฝนที่ฝึกร่างระดับเดียวกันอยู่แล้ว วันนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำรวดเดียวจนถึงขั้นที่เก้า กายเนื้อจะแข็งแกร่งระดับใด แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ชัดนัก

สิ่งที่เขารู้มีเพียงอย่างเดียวคือพลังมหาศาลที่แฝงอยู่ยามเขาใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬตอนนี้ แม้แต่ยอดเขาลูกหนึ่งก็คงทลายได้อย่างง่ายดาย ส่วนอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปยิ่งไม่อาจทำอันตรายเขาได้แม้แต่น้อย

อีกประการหนึ่งเนื่องจากดึงน้ำจากแม่น้ำมืดรอบตัวมาชำระร่างนานปี เขาจึงพบว่ากระดูกของตนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามนี้มีแสงสีทองอ่อนชั้นหนึ่งเคลือบอยู่

ความเปลี่ยนแปลงประการนี้ไม่เพียงทำให้เขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่มีปราณหยินเข้มข้นของก้นแม่น้ำแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ความเร็วที่ร่างกายดูดซับปราณหยินเปลี่ยนเป็นพลังเวทก็เร็วขึ้นเท่าทวีอีกด้วย

ยามนี้ต่อให้เขาไม่โคจรพลังเวทก็แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมารอบร่างได้ เหมือนกับเผ่ายมโลกทั่วไปขึ้นทุกที

เมื่อเห็นหลิ่วหมิงลุกขึ้นยืน เฟยเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลก็หยุดฝึกฝน ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งเข้ามาประชิดข้างกายหลิ่วหมิง

“นายท่าน!”

หลิ่วหมิงหันหันไปมองเฟยเอ๋อร์ ในดวงตามีรอยยิ้มอ่อนโยน เขายื่นมือไปลูบหัวทุยๆ ของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นมา

“มีอะไร?”

“ฝึกฝนที่ก้นแม่น้ำแห่งนี้น่าเบื่อเกินไปแล้วจริงๆ ! นายท่าน ตอนนี้ท่านก็หลอมอาวุธเวทมุกบรรพตธาราสิบสองลุกสำเร็จแล้ว พลังเพิ่มขึ้นมาก พวกเราสมควรไปจากที่แห่งนี้ได้แล้วกระมัง?” ปากน้อยของเฟยเอ๋อร์บ่นพึมพำแล้วมองหลิ่วหมิงอย่างคาดหวัง

หลิ่วหมิงฟังจบก็ขมวดคิ้วนิดๆ

นับตั้งแต่มาถึงยมโลก ไม่รู้ทำไมนิสัยของเฟยเอ๋อร์จึงเปลี่ยนเป็นใจร้อน สิบปีนี้ที่อยู่ก้นแม่น้ำมืด ปราณหยินอันบ้าคลั่งที่นี่ยั่วยุอารมณ์ของมันอยู่บ่อยครั้ง เฟยเอ๋อร์เรียกให้หลิ่วหมิงออกจากที่นี่ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งแล้ว

“เฟยเอ๋อร์ หากเจ้ารู้สึกว่าฝึกฝนจนเหนื่อยแล้วก็เข้าไปอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณหลับสักตื่นเถิด!” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเช่นนี้

ตอนนี้เขาเพิ่งหลอมมุกบรรพตธาราสำเร็จ เคล็ดวิชากระดูกดำก็เพิ่งฝึกฝนบรรลุขั้นเก้าอย่างหวุดหวิด หากศึกษาขั้นสิบให้แตกฉาน ไม่แน่อาจผนึกแก่นแท้ได้เลยก็เป็นได้ เวลานี้ย่อมไม่ใช่เวลาที่จะออกไปจากที่นี่

“ก็ได้” เฟยเอ๋อร์พึมพำ ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นปราณดำสายหนึ่งมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ สายตาจับอยู่บนชั้นจำกัดน้ำวนสีดำที่อยู่ด้านนอก ดวงตาเผยแววตาครุ่นคิด

มีจุดหนึ่งที่เมื่อครู่เฟยเอ๋อร์พูดไม่ผิด เมื่อเขาหลอมมุกบรรพตธาราสิบสองลูกสำเร็จ เขาก็อยากทดสอบพลังของมันสักหน่อยจริงๆ ดูว่าจะเปิดชั้นจำกัดนี้ได้หรือไม่

ชั้นจำกัดที่นี่ ระหว่างหลายปีนี้ที่เขาฝึกฝนอยู่ด้านใน เขาก็เคยทดลองทำลายมันไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง

สิ่งที่เหนือคาดก็คือชั้นจำกัดที่แลดูธรรมดาสามัญรอบด้านกลับร้ายกาจไม่ธรรมดา เขาใช้สิ้นสารพัดวิธีอยู่หลายครั้งก็ทำให้มันสะเทือนไม่ได้แม้แต่น้อย

ดังนั้นการที่เขาอยู่ที่นี่มายาวนานสิบปี ด้านหนึ่งเพื่อหลอมมุกบรรพตธาราสิบสองลูกให้สำเร็จทั้งหมดในรวดเดียวก็จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็เพราะถูกบีบบังคับหมดหนทางด้วย

คิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกางสองแขนออก แสงสีเหลืองแสบตาส่องสว่าง มุกบรรพตธาราสามเม็ดลอยออกมา

อาวุธเวทชุดเช่นมุกบรรพตธารานี้ ไม่ใช่ว่าต้องอยู่ครบสิบสองลูกเท่านั้นจึงจะใช้ร่วมกันได้ สองเม็ด สามเม็ด สี่เม็ดล้วนแปรเปลี่ยนประสานให้แตกต่างกันได้ ค่อนข้างมหัศจรรย์ทีเดียว นี่ก็เป็นจุดที่ลี้ลับของอาวุธเวทมุกบรรพตธาราชุดนี้

พลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ควบคุมมุกบรรพตธาราหกลูกได้ค่อนข้างจะชำนาญ แต่หากจะทำลายชั้นจำกัดน้ำวนสีดำตรงหน้า มุกบรรพตธาราสามเม็ดก็น่าจะเพียงพอแล้ว

มุกบรรพตธาราสามเม็ดที่มีปราณสีเหลืองเวียนวนอยู่บนผิวลอยขึ้นลงอยู่เบื้องหน้าเขา

เวลานี้หลิ่วหมิงกลับหลับตา ราวกับว่ากำลังสัมผัสบางสิ่งอยู่

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาพลันลืมตาขึ้น

“ไป”

เขาตวาดเบาๆ คำหนึ่งแล้วสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป มุกบรรพตธาราสามเม็ดเบื้องหน้าเปลี่ยนตำแหน่ง เรียงตัวเป็นเส้นตรง จากนั้นพุ่งตรงไปยังตำแหน่งหนึ่งบนน้ำวนสีดำขนาดยี่สิบกว่าจั้งเบื้องหน้า

“ฟึบ!”

มุกบรรพตธาราเม็ดที่หนึ่งชนน้ำวนสีดำ อาวุธเวทมุกบรรพตธาราไม่ได้เปล่งแสงสีตระการตาออกมาเท่าใดนัก มันเพียงปล่อยเมฆจิตวิญญาณสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่งออกมาบนผิว จนมองเห็นภาพขุนเขาสายน้ำด้านในตัวมันได้เลือนราง

ไม่มีภาพประหลาดที่ส่งเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า แต่น้ำวนสีดำที่หลิ่วหมิงแทบจะจนปัญญาต่อกรกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง ทว่าพริบตาเดียวก็กลับมาสงบ

แต่ในตอนนี้เอง “ฟึบ” เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง มุกบรรพตธาราเม็ดที่สองพุ่งเข้าชนบ้าง

น้ำวนสีดำสั่นสะเทือนในทันใด ความเร็วที่เคลื่อนหมุนฉับพลันเพิ่มขึ้นมาก ดูมีเค้าลางว่าจะไม่มั่นคง

ไม่รอให้มันฟื้นตัว มุกบรรพตธาราเม็ดที่สามก็โถมเข้ามาถึง

“บึ๊ม!”

เสียงฉีกขาดดังขึ้น น้ำวนสีดำหมุนอย่างบ้าคลั่ง จุดที่ถูกมุกบรรพตธาราโจมตีแหวกออกเป็นช่องขนาดเท่าโอ่ง

เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ปรากฏตรงหน้า หลิ่วหมิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลังจากหลอมมุกบรรพตธาราสำเร็จ เขาถึงเข้าใจว่าอาวุธเวทมุกบรรพตธาราช่างสมชื่อของมัน หนักแน่นดุจขุนเขา นุ่มนวลดุจสายน้ำ ไม่ต้องกระตุ้นพลังมหัศจรรย์อย่างอื่นของอาวุธชิ้นนี้ เรียกอาวุธชิ้นนี้ออกมาทับคนตรงๆ ผู้ฝึกฝนธรรมดาก็ต้านพลังของมันซึ่งหน้าไม่ได้อย่างแน่นอน

พร้อมกับที่ช่องโหว่ปรากฏ น้ำจากแม่น้ำมืดจำนวนมากก็ทะลักดัง “ซู่” เข้ามาทางโพรงขนาดใหญ่ที่ฉีกขาดบนชั้นจำกัดสีดำแล้วทำท่าจะสาดกระเซ็นไปรอบด้าน

หลิ่วหมิงโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป มุกบรรพตธาราสามเม็ดที่อยู่ใกล้กับน้ำวนแยกกันเปล่งแสงเรืองรองสีดำสายหนึ่งออกมาประสานกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นเงาแม่น้ำใหญ่สีดำสายหนึ่ง โอบน้ำจากแม่น้ำมืดที่ทะลักเข้ามาเอาไว้

ตอนนี้เองช่องโหว่ที่ถูกมุกบรรพตธาราแหวกออกก็เปล่งแสงหม่นหมองสีดำรุมเข้าไปยังจุดที่โหว่อยู่อย่างฉับพลัน ช่องโหว่ที่ฉีกขาดบนชั้นจำกัดน้ำวนกลับเป็นเหมือนเดิมด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจก็กลับสู่สภาพเดิม

“โหว่จนถึงขั้นนี้ยังฟื้นคืนสภาพเดิมได้เองอีก ผู้ที่วางชั้นจำกัดแห่งนี้ วิชาค่ายกลคงล้ำเลิศเป็นแน่แท้!” หลิ่วหมิงสะบัดมือเก็บมุกบรรพตธาราทั้งสามเม็ดกลับมา สายตาจับอยู่บนชั้นจำกัดน้ำวนสีดำพลางพึมพำกับตนเอง

เขาขยับร่างกายวูบเดียวก็เหาะมาถึงหน้าชั้นจำกัดแล้วแนบฝ่ามือบนนั้น จากนั้นแผ่จิตสัมผัสสายหนึ่งซึมเข้าไปด้านใน

วิ้ง ม่านแสงชั้นจำกัดฉับพลันระเบิดประกายน้ำสีดำสนิทดั่งหมึกสายหนึ่งออกมา ม้วนกลับไปฟาดบนร่างหลิ่วหมิง

พลังมหาศาลอันหนาวยะเยือกจู่โจมมาอย่างเหิมเกริม ทั้งร่างของหลิ่วหมิงราวกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง ร่าวกายหนักอึ้งปลิวถอยไปกระแทกพื้น

เสียงดังสนั่น เกิดหลุมลึกขนาดหนึ่งจั้งกว่าหลุมหนึ่งบนพื้นทันที

“นายท่าน!”

เซียเอ๋อร์ตื่นตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงฝึกใช้อาวุธเวทมุกบรรพตธาราแล้ว เมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงตกใจยิ่งนักรีบเหาะเข้ามา ใบหน้างามเผยสีหน้าร้อนรน

ในหลุมลึก เสื้อผ้าของหลิ่วหมิงกลายเป็นสีเทามอมแมม แต่บนร่างไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย

ทว่าในเวลานี้ท่าทางของเขาประหลาดอยู่บ้าง สีหน้าราวกับกำลังเหม่อลอย

เซียเอ๋อร์เห็นสีหน้าเช่นนี้ของหลิ่วหมิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน

หลิ่วหมิงยืนเช่นนี้อยู่หนึ่งเค่อ ทันใดนั้นก็เงยหน้าหัวเราะดังลั่น

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว!”

เขาหัวเราะลั่นอยู่พักหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในหลุมลึกทั้งแบบนั้น

เดิมทีเขาก็ห่างจากระดับแก่นแท้อยู่เพียงก้าวเดียว วิชาที่ฝึกฝนก็เป็นวิชาสายวิญญาณอันลี้ลับอย่างที่สุดสองวิชา วันนี้เขาอยู่ในชั้นจำกัดน้ำวนที่ก้นแม่น้ำมืดซึ่งปราณยมโลกเข้มข้นกว่าบนแดนยมโลกหลายเท่าจนแม้แต่เผ่ายมโลกทั่วไปก็ไม่อาจอยู่ได้นานมาเป็นเวลาสิบปี ทำให้ทะเลจิตวิญญาณในร่างตนอยู่ในสภาวะอันลี้ลับ

ตัวเขาในเวลานี้น่าจะเหมือนเผ่ายมโลกเสียยิ่งกว่าคนของเผ่ายมโลกทั่วไปเสียอีก

พริบตานั้นที่ถูกพลังของชั้นจำกัดน้ำวนสีดำดีดออกมาเมื่อครู่ “แก่นเสมือน” เหนือทะเลจิตวิญญาณในร่างก็ปล่อยพลังออกมาต่อต้านสายหนึ่งจนกระตุ้นบางสิ่งเข้า ฉับพลันเขาก็รู้สึกเหมือนพงหญ้ารกที่ปิดทางถูกทางออก ทำให้เขารู้สึกเหมือนสามารถผนึกแก่นแท้ได้ตลอดเวลา

“ไม่ผิด ความรู้สึกนี้นั่นเอง!”

โอกาสผนึกแก่นแท้อันน้อยนิดที่ปรารถนาก็หาไม่ได้ครั้งนี้ เขาย่อมต้องคว้าไว้ทันที พลังเวทฉับพลันโถมเข้าสู่ศิลาหุนเทียนที่อยู่ในทะเลจิตรับรู้ในทันใด