บทที่ 1823 ธงเรียกวิญญาณ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ควบคุมทางเข้าออกนอกประตูดวงดาวไว้แล้ว ทหารสวรรค์หนึ่งพันได้แต่มองทัพใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านไป แทบทุกคนสวมเกราะรบสีดำ แต่ตรงหว่างคิ้วแทบจะเป็นกำลังพลระดับบงกชรุ้งทั้งหมด ไม่มีใครขัดขวาง เบื้องบนออกคำสั่งให้ปล่อยไป อย่าให้เกิดความขัดแย้ง

กำลังพลแปดหมื่นรวมตัวกันออกจากน่านฟ้าชวดเกิง คนแรกที่ได้ข่าวก็ต้องเป็นหวังจัวหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงอยู่แล้ว

“แน่ใจนะว่าเป็นกำลังพลแปดหมื่น?” หลังจากได้รับรายงาน หวังจัวก็ยืนยันอีกครั้ง

รองหัวหน้าภาคของเขาตอบว่า “นายท่าน ไม่ผิดแน่ คนผ่านหน้าพวกเราไปกับตา”

หวังจัวสูดหายใจลึกอย่างตระหนก เจ้าเวรนั่นนำคนมาด้วยจริงๆ! ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาล ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนั่นจะพามาแปดหมื่น นี่คิดจะทำอะไรล่ะ? มาแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่ง จำเป็นต้องนำกำลังพลมาเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ?

ตอนนี้เขาแน่ใจมากว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้คิดจะลงมือกับเขา

ตอนนั้นถ้าทัพใหญ่แปดหมื่นบุกโจมตีจวนหัวหน้าภาคก่อน กำลังสนับสนุนยังมาไม่ถึง เขาไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย

ไอ้บ้าเอ๊ย! หวังจัวด่าในใจ พอลองคิดดูก็เหงื่อแตกแล้ว โชคดีที่ขอความช่วยเหลือทันการณ์ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไปแล้วก็ดี!

ตอนแรกเขาคิดว่าการที่เหมียวอี้ถอนกำลังกลับไปเป็นเพราะอิทธิพลที่หนุนหลังเขาอยู่ คิดว่าเป็นทางตำหนักนารีสวรรค์ที่ถ่ายทอดคำสั่งต่อเหมียวอี้ เขาไม่คิดว่าเหมียวอี้ได้รับแรงกดดันมหาศาลจากทัพตะวันออก กลัวจริงๆ จึงไม่มาแล้ว

หลังจากคนฝั่งเขาได้ข่าวแล้ว ก็คิดเช่นกันว่าเป็นเพราะตำหนักนารีสวรรค์ ค่อนข้างพอใจกับการกระทำของเซี่ยโห้วลิ่ง

“ถอนกำลังไปแล้วเหรอ?”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้รับข่าวรู้สึกงุนงง เขาสงสัยเช่นกันว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยอมรามือแล้วเหรอ

เว่ยซูตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าถอนกำลังจริงหรือเปล่า แต่หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่ออกจากน่านฟ้าชวดเกิงไปไกลแล้วจริงๆ ขอรับ”

วังสวรรค์ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่ได้รับข่าวค่อนข้างงุนงง นึกไม่ถึงว่าจะไม่ทำแล้ว แบบนี้ไม่ค่อยเหมือนลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หรือว่าเฉิงอวี่วางมือแล้ว? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเฉิงอวี่เลยนะ หรือว่าถูกตระกูลเซี่ยโห้วกดดัน? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะทำอะไรกันแน่? ยิ่งนับวันจะยิ่งเดายากแล้วจริงๆ” พอหันกลับมา ก็ถามอีกว่า “แน่ใจนะว่าถอนกำลังออกไปแล้ว?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ดูเหมือนจะถอนกำลังออกไปแล้วจริงๆ ขอรับ เห็นได้ชัดว่ากลับไปแดนรัตติกาล”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา หลังจากจั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ วางระฆังดาราแล้ว ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ท่านอ๋อง ยืนยันได้แล้ว กำลังพลออกจากเขตทัพตะวันออกไปแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงหน้าดำคร่ำเคร่งทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “จัญไรน่ารังเกียจ!”

เขารู้สึกว่าตัวเองโดนปั่นหัว มาป่วนเงียบๆ ให้ทางนี้วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด พอทางนี้รีบระดมกำลังพลไปสนับสนุน หนิวโหย่วเต๋อก็ถอนกำลังพลกลับไปอย่างเอิกเกริกแล้ว ถ้าไม่ใช่กำลังล้อเขาเล่นแล้วจะเป็นอะไร? ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ปิดบังใครไม่ได้ รอจนกระทั่งข่าวแพร่ออกไป ก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะแน่นอน หัวเราะเยาะที่อ๋องสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขามถูกหนิวโหย่วเต๋อปั่นหัวจนวิตกกังวลขนาดนี้

จั่วเอ๋อร์เข้าใจความคิดของเขา จึงถามเสียงเบาว่า “ทัพใหม่ที่คุณชายใหญ่พาไป ตอนนี้ถอนกำลังได้แล้วใช่มั้ยคะ?”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในศาลาที่ตั้งเดี่ยวอยู่บนเนินเขียวชอุ่ม หลังจากฮ่าวเต๋อฟางฟังซูอวิ้นรายงานจบแล้ว ก็ถามอย่างแปลกใจเช่นกัน “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ?”

“เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ตอนนี้แน่ใจได้แล้วว่าเรื่องที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งเกี่ยวข้องกับสนมฉิน แต่แทนที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะออกหน้า กลับเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ออกหน้าคนแรก ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ค่ะ” ซูอวิ้นตอบ

หลังจากฮ่าวเต๋อฟางเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งสร้างสถานการณ์เพราะตั้งใจจะสร้างความอับอายให้อิ๋งจิ่วกวง หรือเป็นหนิวโหย่วเต๋อเองที่ต้องการปั่นหัวอิ๋งจิ่วกวง เกรงว่าอิ๋งจิ่วกวงคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”

ในป่าภูเขานอกจวนอ๋องสวรรค์โค่ว นายกับบ่าวเดินอยู่บนทางหินเล็กๆ กลางไหล่เขา หลังจากรายงานข่าวเสร็จแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็กล่าวด้วยรอยิ้มเจื่อน “ไม่รู้ว่าถูกตระกูลเซี่ยโห้วบงการ หรือว่าเขากระโจนเข้าใส่ตระกูลอิ๋งแล้วจริงๆ”

โค่วหลิงซวีที่เงียบไปพักหนึ่งกลับถอนหายใจเบาๆ “ครั้งนี้ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว แต่เป็นเรื่องครอบครัว ปั่นหัวทัพตะวันออกจนมึน อย่างน้อยในสายตาอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นอย่างนี้ ครั้งนี้ล่วงเกินอิ๋งจิ่วกวงแรงไปหน่อย คนหนุ่มไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

ด้วยความตั้งใจจะอยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน ทัพใหญ่แปดหมื่นของแดนรัตติกาลกลับถึงแดนรัตติกาลอย่างราบรื่น ทำให้คนมากมายรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ติดตามสถานการณ์รบอยู่ตลอด พอได้ยินว่าไม่ได้สู้กัน ถอนกำลังกลับมาแล้ว ก็ถามสอบสวนเหมียวอี้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น? เหมียวอี้ทำได้เพียงปลอบโยน บอกว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เขามีแผนอีกอย่างหนึ่ง สิ้นเปลืองคำพูดไปมากมายกว่าจะปลอบผู้หญิงคนนี้ให้สงบลงได้ เขาพบว่านางเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ ถ้าไม่ทำให้สนมฉินตายทั้งตระกูลก็จะไม่ยอม

ดาราจักรกว้างใหญ่ คนหกคนเหยียบลงบนดาวดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง เหยียนซิวที่ปลอมตัวแล้วบอกกับห้าคนข้างหลังที่ปลอมตัวแล้วเช่นกันว่า “พวกเจ้าห้าคนกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับนายท่านก่อน เรื่องครั้งนี้ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด ระหว่างทางต้องระวัง อย่าเปิดเผยตัวตน”

ทั้งสองฝ่ายไม่เปลืองคำพูดอะไรมาก บอกลากันตรงนี้ รวดเร็วฉับไวมาก

หลังจากมองคล้อยหลังห้าคนนั้นจากไปแล้ว เหยียนซิวก็รีบติดต่อเหมียวอี้ บอกว่าทำงานเรียบร้อยแล้ว

หลังจากได้รับคำชี้แนะถึงขั้นตอนถัดไปแล้ว เหยียนซิวก็เก็บระฆังดาราแล้วนำแผนที่ดาวออกมาตรวจสอบ ก่อนจะรีบดำหายไปในจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่

ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต เหยียนซิวหาเกาะแห่งหนึ่งที่ลับตาคน หาถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งทีมีลำธารไหลผ่าน หลังจากติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง เขาก็หลบอยู่ที่นี่แล้ว

หลังจากนั้นสองวัน บนท้องฟ้าก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา เหาะวนบนท้องฟ้าเหนือเกาะรอบหนึ่งก่อนจะถลันตัวลงมา เหยียบลงในลำธารระหว่างหุบเขา เป็นชายรูปร่างกำยำคนหนึ่ง หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงผู้หญิงว่า “เจ้าหน้าตาย!”

ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวก็ถลันตัวออกมาจากถ้ำลึก มองประเมินอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า แล้วถามเสียงเบาว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”

เขากำลังส่งสัญญาณลับ ชายหนุ่มร่างกำยำกลับกลอกตามองบน “เลิกทำลับๆ ล่อๆ ได้แล้ว เจ้าแซ่หนิวนั่นเชิญข้ามา” เขาขี้คร้านจะมากพิธี ใบหน้าและร่างกายเลื้อยขยุกขยิก ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้หญิงรูปร่างอรชรอ่อนช้อยที่มีสีขาวตั้งแต่เส้นผมยันปลายเท้า ถ้าไม่ใช่ไป๋เฟิ่งหวงแล้วจะเป็นใครไปได้ “มีวาจาก็รีบเอ่ย มีผายลมก็รีบปล่อย เรียกข้ามาจะให้ทำอะไร?”

เหยียนซิวกลับมามีเสียงแหบพร่าอีกครั้ง ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เข้ามาคุยกันข้างใน” พูดจบก็หันตัวกลับเข้าถ้ำไปแล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงชำเลืองมองปากถ้ำที่เย็นมืดพิศวง “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด อย่ามาทำตัวลึกลับกับข้า” เท้ายังไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่าไม่ให้ความร่วมมือ

เหยียนซิวหยุดเดินแล้วหันกลับมามองนางแวบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปรอบๆ แล้วสุดท้ายก็หันตัวเดินกลับมา ยังคงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฆ่าคนไม่กี่คน!”

ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก! ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม แต่นางก็รู้เช่นกันว่าต้องมีสาเหตุที่ทำให้ระมัดระวังตัวขนาดนี้ จึงเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงเช่นกัน “ฆ่าใคร?”

“ครอบครัวสนมฉิน เจ็ดคน!” เหยียนซิวตอบ

“สนมฉิน?” ไป๋เฟิ่งหวงอึ้งทันที “สนมฉินไหน?” ข่าวบางอย่างไม่อาจเผยแพร่ซี้ซั้วได้ กอปรกับนางไม่มีช่องทางข่าวสารด้านนี้ นอกเสียจากจะคึกโครมจนคนรู้กันทั้งใต้หล้า ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้เรื่องสนมฉินกับโอรสสวรรค์เลยจริงๆ

“สนมของประมุขชิง สนมฉิน!” เหยียนซิวตอบ

“…”  ไป๋เฟิ่งหวงตกตะลึงอ้าปากค้าง ที่จริงนางกลัวประมุขชิงมาก นางเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก กล่าวอย่างตกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อบ้าไปแล้วสินะ คงไม่ได้จะให้ข้าเข้าวังสวรรค์ไปฆ่าคนหรอกใช่มั้ย นี่ไม่ใช่ให้ข้าเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ?”

“คนไม่ได้อยู่ที่วังสวรรค์ อยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิง…” เหยียนซิวเล่าสถานการณ์ของน่านฟ้าชวดเกิงให้ฟังโดยละเอียด

หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถามอย่างระแวง “มีคนลงมือเท่าไร?”

“แค่พวกเราสองคน จากสถานการณ์ทางนั้น คนไปเยอะจะไม่สะดวก” เหยียนซิวตอบ

“พวกเราสองคนเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตาโต ตอนนี้นางอยากจะบีบคอเหมียวอี้ให้ตายคามือ ชั่วพริบตานั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เหลวไหล! เรื่องแบบนี้อาศัยแค่พวกเราสองคนจะทำสำเร็จเหรอ? ข้างในมียอดฝีมือตั้งเท่าไรคอยคุ้มกัน อีกทั้งรอบข้างก็มีกำลังพลมากมายคุ้มกัน ต่อให้ข้าจะแปลงร่างได้ แต่ก็ทนการตรวจสอยไม่ไหวหรอก ถ้าตรวจสอบเจอพิรุธขึ้นมา ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ?”

“นายย่อมมีวิธีการทำให้เจ้าเข้าไปอยู่แล้ว” เหยียนซิวกล่าว

“ถุย! ทำไมตัวเขาเองเข้าไปไม่ได้ล่ะ?” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหน็บแนม บอกเพียงว่า “ไม่ไป!”

เหยียนซิวไม่เถียงอะไรกับนางเลย และไม่โน้มน้าวนางด้วย เขาถลันตัวเข้าไปในถ้ำมืด แล้วสลัดมือโยนคนคนหนึ่งลงพื้น ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฟางอ้าวหลินหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่

ฟางอ้าวหลินที่ถูกควบคุมวรยุทธ์ไว้เงยหน้ามองไปรอบๆ ถ้ำมืดสลัว เมื่อขาดพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม จึงมองไม่ออกถึงสภาพแวดล้อมในถ้ำ เพียงเห็นเงาคนรางๆ ยืนอยู่ตรงหน้า จึงโซเซลุกขึ้นมา แล้ตะคอกถามด้วยความโมโห “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

เขาอยู่ในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงช่วงหนึ่ง ถ่อมาตั้งไกล เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของเหยียนซู่สักหน่อย ใครจะคิดว่าระหว่างทางกลับจะถูกยอดฝีมือซุ่มจู่โจม พลังเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ถูกชิงตัวมาที่นี่อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เหยียนซิวพลิกมือ เรียกของสิ่งหนึ่งออกจากกำไลเก็บสมบัติ ธงเล็กด้ามหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นทีละนิดขณะหมุนวนอยู่บนฝ่ามือ ในมือเขาคว้าจับด้ามธงที่ไม่รู้ว่าใช้กระดูกขาวหลอมสร้างไปมากมายเท่าไร บนด้ามธงเป็นแผ่นสีดำ บนนั้นมีตัวอักษรสำหรับคนตายแถวหนึ่ง ไอสีดำพวยพุ่งเป็นพักๆ ทำให้คนรู้สึกถึงความอัปมงคล เหมือนกับธงเรียกวิญญาณของเฮยหวังในปีนั้นมาก นี่ก็คือธงเรียกวิญญาณที่เหยียนซิวหลอมสร้างขึ้นมา แต่เห็นได้ชัดว่าประณีตกว่าของเฮยหวังมาก ทั้งยังเปลี่ยนขนาดได้ด้วย

ฟางอ้าวหลินเห็นเหตุการตรงหน้าไม่ชัด เพียงรู้สึกได้ถึงความหนาวยะเยือก เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงถอยหลังช้าๆ พร้อมเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าคือหัวหน้าภาคที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้ง พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหยียนซิวที่กำลังจ้องเขาโบกธงเบาๆ แสงดำสายหนึ่งยิงออกมาจากตัวอักษรบนธง โดนใบหน้าฟางอ้าวหลินพอดี ชั่วพริบตานั้นฟางอ้าวหลินยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ร่างกายเหมือนจะสั่นไหวตามจังหวะผ้าธงที่สั่นเบาๆ เป็นฉากที่พิศวงมาก

“ธงเรียกวิญญาณ!” เสียงอุทานของไป๋เฟิ่งหวงดังขึ้นในถ้ำ

เหยียนซิวไม่หันหน้ากลับมาแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเสียงตะคอกของฟางอ้าวหลินจะดึงดูดให้ไป๋เฟิ่งหวงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ปักด้ามธงกระดูกขาวลงบนพื้น เหยียนซิวยืนอยู่ใต้ธงสีดำที่กระเพื่อมไอสีดำเย็นยะเยือกออกมา สีของดวงตาทั้งคู่เริ่มประหลาดขึ้นทีละน้อยขณะจ้องฟางอ้าวหลิน

เห็นเพียงฟางอ้าวหลินเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เดินมาตรงหน้าเหยียนซิวแล้ว

เหยียนซิวพลันลงมือ ใช้นิ้วจิ้มบนร่างกายเขาต่อเนื่องกันไม่กี่ครั้ง คลายผนึกพลังบนตัวฟางอ้าวหลิน

ธงเรียกวิญญาณสะบัดเองโดยไร้ลม ฟางอ้าวหลินที่อยู่ใต้แผ่นธงหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกจากกำไลเก็บสมบัติ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปหาใคร

……………………