บทที่ 1824 ตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ไป๋เฟิ่งหวงที่รังเกียจและไม่อยากเข้ามา สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามา นางกำลังมองฉากนี้ด้วยความระแวงสงสัย

ฟางอ้าวหลินใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว หลังจากถ่ายทอดเสียงคุยกับเหยียนซิวพักหนึ่ง ก็ถูกเหยียนซิวเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์อีก

เมื่อเห็นเหยียนซิวทำเสร็จแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็กล่าวอย่างระแวงสงสัยว่า “ไม่ผิดแน่ เป็นธงเรียกวิญญาณจริงๆ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นคนใช้มัน ทำไมเจ้าถึงควบคุมธงเรียกวิญญาณได้ล่ะ?” นางมองประเมินเหยียนซิวศีรษะจดเท้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือนักพรตผี? ไม่ถูกสิ บนตัวเจ้าปล่อยปราณหยางชัดๆ!”

เหยียนซิวดึงธงเรียกวิญญาณขึ้นมาเก็บ แล้วกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ไปได้แล้ว ทางนั้นจะมีคนเตรียมการให้พวกเราเข้าไป”

“เรื่องเอาชีวิตไปทิ้งน่ะ ข้าไม่สนใจหรอก ไม่ไป!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหยียด แล้วกอดอกหันหลังให้

เหยียนซิวไม่เปลืองคำพูดกับนางเลย เขาหันตัวแล้วเดินออกไป เหมียวอี้สั่งเขาไว้แล้ว บอกว่าปีศาจไป๋เฟิ่งหวงปากแข็ง แต่ไม่กล้าไม่ทำตาม!

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล บนแท่นสังเกตการณ์ เหมียวอี้ขึ้นไปยืนบนที่สูงแล้วทอดสายตามองไปไกล ตรงหว่างคิ้วแสดงอารมณ์กลัดกลุ้ม เยืนอยู่ตรงนี้ครึ่งวันโดยไม่ขยับไปไหน

อวิ๋นจือชิวขึ้นมาบนแท่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นางจ้องแผ่นหลังเหมียวอี้พักหนึ่ง ย่องมาข้างหลังเขา แล้วใช้สองมือโอบเอวเขาไว้ ขณะร่างกายแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา นางก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กำลังกังวลอะไรอยู่?”

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง ลูบไล้มืออ่อนนุ่มตรงเอวตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ครั้งนี้ข้าใช้วิธีการอันตราย ให้พวกเขาสองคนเข้าถ้ำเสือไปเสี่ยงอันตรายสูงมาก ทั้งยังไม่มีทหารสนับสนุน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ไม่มีหวังจะรอดชีวิตกลับมาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเหยียนซิวจะรับมือไหวหรือเปล่า”

“เรื่องเสี่ยงอันตรายเจ้าทำมาน้อยเสียที่ไหนล่ะ ตอนนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าตอนแรกแล้วสินะ?” อวิ๋นจือชิวถาม

“เหอะๆ” เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ

“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ ตอนนี้ให้พวกเขากลับมาก็ยังทันนนะ” อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้ส่ายหน้า “อันตรายบางอย่างนั้นต้องเสี่ยง ถ้าอยากได้การสนับสนุนจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อไป ครั้งนี้ก็ต้องให้คำชี้แจ้งกับนางได้ นี่คือภารกิจแรกที่นางมอบหมายให้ ถ้าข้าออกโรงเอง ก็ยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าความสามารถในการรับมือของสองคนนั้นเปนยังไง เหยียนซิวไม่ถนัดเรื่องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า!”

อวิ๋นจือชิวปล่อยมือจากเขา เดินมาจ้องใบหน้าด้านข้างของเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าพวกเขาทำพลาดแล้วถูกจับได้จะทำยังไง จะไม่เปิดโปงเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เหยียนซิวจะฉวยโอกาสที่ไป๋เฟิ่งหวงไม่ระวังกำจัดนางทิ้ง ส่วนเหยียนซิวก็จะ…” เขาหลับตาลงช้าๆ “เขารับประกันกับข้า ว่าเขาจะไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง”

อวิ๋นจือชิวเข้าใจแล้ว สีหน้าฉายแววหดหู่แวบหนึ่ง นางเข้ามาใกล้ แล้วค่อยๆ เข้าไปแอบอิงในอ้อมกอดเขา…

น่านฟ้าชวดเกิง จวนหัวหน้าภาค แม้ภัยคุกคามจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะจากไปแล้ว แต่ฝั่งหวังจัวก็ยังไม่คลายการป้องกัน เป็นเพราะไม่ค่อยวางใจหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เพียงแค่ไม่ผ่อนการป้องกัน ทั้งยังเรียกทัพใหญ่เกรียงไกรของน่านฟ้าชวดเกิงมาคอยเฝ้าระวังด้วย

กำลังพลของเหยียนซู่ก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน นางเฝ้าป้องกันอยู่บริเวณนอกจวนหัวหน้าภาค

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การตรวจสอบกำลังพลตามกำหนดเวลาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ลาดตระเวนตลอดทางจนมาถึงจุดประการนอกภูเขา แล้วก็เหาะไปตรวจสอบบนท้องฟ้าอีกเล็กน้อย หลังจากมาประจำในจุดป้องกันแล้ว เหยียนซู่ก็เจียดเวลาว่างออกจากหน่วยของตัวเอง แล้วหลบมาเข้ามาในจุดลึกของดาราจักร

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากจุดป้องกันของตัวเอง เหยียนซู่ถลันตัวลงมา แล้วหันมองไปรอบๆ พบว่ามีแต่ฝุ่นละอองหนาแน่น รกร้างว่างเปล่า สุดท้ายสายตาก็จ้องไปด้านข้าง นางได้แต่มองเงาคนสองคนโผล่มาจากระหว่างกองหินตะปุ่มตะป่ำที่อยู่ไกลๆ แล้วก็ถลันตัวมาตรงหน้านาง

สองคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยียนซิวกับไป๋เฟิ่งหวงที่เปลี่ยนแปลงใบหน้าแล้ว แม้ไป๋เฟิ่งหวงจะขมุบขมิบปากด่า แต่สุดท้ายก็ยังตามมา

“ท่านมาจากไหน?” เหยียนซู่มองสอบสวนทั้งสองอย่างระแวดระวัง

“อย่าถามที่มา” เหยียนซิวกล่าว

เมื่อสัญญาณลับสอดคล้องกัน เหยียนซู่ก็ทำสีหน้าสับสนนิดหน่อย ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าฟางอ้าวหลินคือคนของตระกูลเซี่ยโห้ว นึกไม่ถึงด้วยว่าจะให้นางทำเรื่องแบบนี้ ในระหว่างนั้นเสี่ยงอันตรายเกินไป แต่ฟางอ้าวหลินบอกนางว่าไม่ต้องกังวล บอกว่ามีการเตรียมการไว้แล้ว จะไม่ทำร้ายนาง บอกว่าทำร้ายนางไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายฝ่ายตัวเอง ถึงได้พูดโน้มน้าวนางได้

ในเมื่อฟางอ้าวหลินดึงดันจะทำอย่างนี้ นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน เดิมทีตอนนี้นางก็พึ่งพาอยู่ใต้เครือข่ายของฟางอ้าวหลินอยู่แล้ว ประการต่อมา อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้านไหว ถ้ายั่วโมโหตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมา เกรงว่าอีกฝ่ายคงจัดการนางได้ไม่ยาก เมื่อได้มารู้ความลับอย่างนี้แล้วนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย

“เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอะไร?” เหยียนซู่ถามอย่างระแวง

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่อยากจะรู้ว่าพวกเราจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้หรือเปล่า” เหยียนซิวตอบ

เหยียนซู่บอกอีกว่า “ตอนนี้ฝั่งนี้ป้องกันเข้มงวดมาก จะเข้าออกก็ต้องค้นตัวตรวจสอบให้ละเอียด ข้าพาพวกเจ้าเข้ามาทางเขตที่ลูกน้องข้าเฝ้าได้ ขอแค่ยืนยันตัวตนของข้าได้ ลูกน้องข้าก็ไม่ถึงขั้นมาค้นตัว ข้าช่วยได้แค่เท่านี้ ส่วนสถานการณ์ในจวนหัวหน้าภาค ข้าก็ควบคุมอะไรไม่ได้”

“เรื่องอื่นพวกเราย่อมจัดการเอง จะไม่เปิดโปงเจ้า” เหยียนซิวกล่าว

เหยียนซู่พยักหน้าเงียบๆ แล้วก็มองไป๋เฟิ่งหวงอีกแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้จมูกเชิดขึ้นฟ้า ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด นางจึงบอกว่า “ถ้าต้องการจะเข้าไป เกรงว่าจะต้องรบกวนทั้งสองให้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้า ไม่อย่างนั้นคนแปลกหน้าก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย ตอนนี้คุมเข้มมาก”

เหยียนซิวย่อมไม่มีความเห็นอะไร แต่เป็นไป๋เฟิ่งหวงที่ดูไม่พอใจมาก พูดจาแปลกๆ เป็นชุด ทว่าสุดท้ายก็ยังตามเหยียนซิวเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหยียนซู่ ทำแบบนี้เท่ากับเอาชีวิตส่งให้เหยียนซู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สมมุติเหยียนซู่ส่งพวกเขาสองคนให้คนอื่น พวกเขาที่หลบอยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

เหยียนซู่ที่แอบพกสองคนนี้เอาไว้รีบกลับมา นางกลับมาเหาะวนบนท้องฟ้าที่กำลังพลของตัวเองเฝ้าป้องกันรอบหนึ่ง ทำทีเหมือนลาดตระเวน แล้วสุดท้ายก็เรียกลูกน้องไม่กี่คนเหาะฝ่าชั้นบรรยากาศกลับมาด้วยกัน มีลูกน้องติดตามไปด้วยแบบนี้ เวลาผ่านเขตที่ตัวเองป้องกันจะได้ไม่ทำให้ใครสงสัย

ลูกน้องของเหยียนซู่ตามนางมาที่บ้าน หลังจากปรึกษางานกันนิดหน่อยก็ออกไปแล้ว ตอนนี้นางถึงได้ขึ้นมาบนตึก แล้วปล่อยเหยียนซิวกับไป๋เฟิ่งหวงออกมา

บนตึก ทั้งสองจ้องประเมินสภาพพื้นที่รอบๆจวนหัวหน้าภาคที่อยู่บนยอดเขาผ่านซอกหน้าต่าง ขณะเดียวกันเหยียนซิวก็ถือระฆังดาราติดต่อกับเหมียวอี้ อธิบายสถานการณ์ทางนี้ให้ฟัง

“ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ที่นี่จะไม่มีใครขึ้นมา พวกเจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?” เหยียนซู่ถามอยู่ข้างๆ นางเองก็อยากจะเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจเช่นกัน

เหยียนซิวเดินออกจากริมหน้าต่าง ตอบว่า “ไม่รีบ ที่พักของสนมฉินมีใครเข้าออกบ่อยที่สุดไหม?”

เหยียนซู่คุร่นคิดเล็กน้อย “สนมฉินเหมือนจะไม่โผล่หน้าออกมาเลย อยู่ในเรือนตลอด คนข้างกายนางก็เหมือยจะไม่ค่อยออกมาเหมือนกัน ข้าไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แต่ทุกๆ สองสามวันสาวใช้ข้างกายสนมฉินจะไปเก็บดอกไม้สดในหุบเขาด้านข้างด้วยตัวเอง ข้าว่าคงจะเด็ดกลับมาเตรียมให้สนมฉิน”

“สืบจังหวะเวลาที่สาวใช้คนนี้ปรากฏตัวให้ชัดเจน!” เหยียนซิวกล่าว

เหยียนซู่พยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”

“เจ้าทำแผนภาพภายในจวนหัวหน้าภาคได้หรือเปล่า?” เหยียนซิวถาม

เหยียนซู่ตอบว่า “ข้าอยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิงมาหลายปีเหมือนกัน ตอนที่หวังจัวยังไม่ได้เข้ามาพักที่นี่ ข้าก็เข้าออกที่นี่บ่อยอยู่แล้ว ข้าเป็นผู้หญิง เรือนพักผู้หญิงที่ปกติผู้ชายเข้าไม่ได้ ข้าเองก็เคยเข้าไปหลายรอบแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งในลานบ้านข้าก็พอจะวาดออกมาได้ แต่คงจะทำให้ละเอียดเกินไปไม่ได้”

“ในจวนหัวหน้าภาค เจ้าวาดบุคคลในจวนที่เจ้ารู้จักได้หรือเปล่า?” เหยียนซิวถาม

“อันนี้ง่าย แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย” เหยียนซู่กล่าว

“เจ้าแค่ต้องจัดการสามสิ่งนี้ให้ข้าให้ชัดเจน เรื่องอื่นเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาเสี่ยง” เหยียนซิวกล่าวเสี่ยงเรียบ ไม่สะทกสะท้านเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

จนกระทั่งเหยียนซู่ออกไปแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็เดินออกจากริมหน้าต่างแล้วเช่นกัน นางมองสำรวจเหยียนซิวศีรษะจดเท้า แล้วกล่าวเหน็บแนม “เจ้าหน้าตาย ข้ามองไม่ออกเลยนะ สมองเจ้าก็ปลอดโปรงเหมือนกันนี่”

“นายท่านเตรียมวางแผนไว้หลายชุดตั้งแต่แรก ข้าแค่ต้องทำตามก็พอ” เหยียนซิวกล่าว

“เจ้ามันโง่ เขาส่งเจ้ามาตาย เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงถาม

เหยียนซิวไม่ได้สนใจนาง

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ในหุบเขาแห่งหนึ่งนอกจวนหัวหน้าภาค บนพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันละลานตา สตรีสวมชุดนางในที่หน้าตาสวยสดงดงามคนหนึ่งถือตะกร้าเดินมา นางเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในทุ่งดอกไม้ เลือกเด็ดดอกไม้ช้าๆ จนะกระทั่งตอนที่ดอกไม้เต็มตะกร้าแล้วหันตัวกลับมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปรบมือด้านหลัง นางหันตัวมองรอบๆ แต่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนที่นางหันกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าสงสัย ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ผิดปกติ นางจึงหันขวับกลับไปอีกครั้ง

แสงดำสายหนึ่งอาศัยพงดอกไม้พรางตัว ทันใดนั้นก็กระโจนขึ้นมาตรงเท้านาง มากระแทกบนตัวนางพอดี ทั้งตัวนางชะงักค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็เหยียบผ่านพงดอกไม้ช้าๆ เดินไปทางหน้าผาที่อยู่ตรงหน้า ตรงตีนหน้าผาที่รอยแยกรอยหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทำให้คนตะแคงตัวเข้าไปได้พอดี

เหยียนซิวที่อยู่ในถ้ำภูเขาใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองธงเรียกวิญญาณด้ามกระดูกขาวที่กำลังหมุนวนและยังไม่ขยายใหญ่ นางในที่เข้ามายืนเหม่ออยู่ตรงหน้าเขา

ผ่านไปไม่นาน นอกถ้ำก็มีหินก้อนหนึ่งถลันตัวเข้ามาตั้งอยู่ หินเลื้อยขยุกขยิก เปลี่ยนกลับมาเป็นไป๋เฟิ่งหวงแล้ว

เหยียนซิวมองด้วยสายตาสอบถาม ไป๋เฟิ่งหวงจึงพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “วางใจเถอะ เจ้าอยากรนหาที่ตาย แต่ข้าอยากอยู่อีกหลายๆ ปี ในเมื่อข้าส่งสัญญาณได้ ก็แสดงว่ารอบข้างปลอดภัย ไม่มีใครสังเกตเห็น”

ตอนนี้เหยียนซิวถึงได้วางใจ จ้องนางในพร้อมถามด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าชื่ออะไร?”

“เนี่ยนเซี่ย!” นางในตอบกลับอย่างเชื่องช้า

“สนมฉินอยู่ในจวนหัวหน้าภาคหรือเปล่า?” เหยียนซิวถามอีก

ทั้งสองเริ่มถามตอบกันอย่างละเอียด ไป๋เฟิ่งหวงมองอยู่ข้างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตาที่มองเหยียนซิวยิ่งดูระทึกขวัญขึ้นเรื่อยๆ นางระทึกขวัญในวิธีการของเหยียนซิว ไม่เคยได้ยินว่าคนที่เคยใช้ธงเรียกวิญญาณในปีนั้นมีความสามารถนี้ด้วย นางนึกไม่ถึงว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อจะมีคนที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ ถ้าศัตรูตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อเมื่อไร ยังจะมีความลับอะไรได้อีกล่ะ? ตอนนี้นางรู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

ก่อนหน้านี้เหยียนซิวกับฟางอ้าวหลินถ่ายทอดเสียงคุยกัน ไป๋เฟิ่งหวงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เหยียนซิวต้องการให้นางคุ้นเคยสถานการณ์ในจวนหัวหน้าภาคเหมือนกัน เรียกได้ว่าแสดงให้นางเห็นแล้ว ทำให้นางค่อนข้างตกใจ

สิ่งที่ไป๋เฟิ่งหวงไม่รู้ก็คือ พลังอภินิหารนี้ของเหยียนซิวเพิ่งจะฝึกได้เมื่อพันปีก่อนนี้เอง

……………