บทที่ 1074 เหตุผลที่ควรตีกระบี่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,074 เหตุผลที่ควรตีกระบี่

เฉินเซียวเยี่ยนหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ข้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เรื่องราวทุกอย่างล้วนจัดการหมดสิ้น…”

ผู้อาวุโสฉีชี้ไม้เท้าของตนเองไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่เต็มโรงเตี๊ยม “คนเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของเจ้าหรือ?”

เฉินเซียวเยี่ยนเบิกตาโตด้วยความงุนงง

“พวกมันมาขอร้องให้เจ้าตีกระบี่ พวกมันมีความคาดหวังในตัวเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตีกระบี่ให้ผู้ใดหรือไม่ อย่างน้อยก็สมควรอธิบายให้พวกมันรับทราบ”

ผู้อาวุโสฉีวางไม้เท้าลงและหยิบขวดน้ำเต้าขึ้นมาจากข้างเอว เมื่อเปิดฝาจุกออก กลิ่นสุราก็โชยออกมาทันที ชายชรายกขวดน้ำเต้ากรอกสุราเข้าปาก ดื่มด้วยความกระหายคล้ายกับไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตา

เฉินเซียวเยี่ยนเริ่มขบคิดตามที่สหายหมากล้อมของตนเองพูด

หลังจากนั้น

ดูเหมือนนักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจะคิดอะไรขึ้นมาได้

เขาลุกขึ้นและเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมากล้อม

เฉินเซียวเยี่ยนกวาดตามองกลุ่มคนทั่วโรงเตี๊ยมและกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้เฒ่าไม่ได้ตีกระบี่มานานหลายปีแล้ว สองมือล้วนขึ้นสนิม โชคดีที่ทุกท่านยังให้ความเมตตาผู้เฒ่า แต่ความเมตตาของพวกท่านทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกไม่สบายใจ วันนี้ผู้เฒ่าลองคิดทบทวนดูแล้ว หากพวกท่านมีเหตุผลที่เหมาะสมแจ้งให้แก่ผู้เฒ่าได้รับทราบ บางทีผู้เฒ่าอาจจะตีกระบี่ให้กับท่านก็เป็นได้”

กล่าวจบ

โรงเตี๊ยมที่เงียบสงบพลันกึกก้องด้วยเสียงอุทานเสมือนทะเลสาบผืนหนึ่งได้มีก้อนหินขนาดใหญ่โยนลงไปในผิวน้ำที่ราบเรียบ

“ผู้อาวุโสเฉิน ข้าน้อยมีเหตุผล ให้ข้าน้อยได้พูดก่อน…”

“ให้ข้าน้อยพูดก่อนดีกว่าขอรับ เหตุผลของข้าน้อยเร่งด่วนมาก”

“อย่ามาขวางทางข้านะ…”

กลุ่มคนจำนวนมากลุกขึ้นยืนด้วยความบ้าคลั่ง พวกเขาต่างก็หวังที่จะได้พูดเหตุผลของตนเองออกมา ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นโดยทันที มีบางคนถึงกับชักกระบี่ออกมาต่อสู้กันแล้ว

ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมตกอยู่ในความโกลาหล

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็แสดงความตึงเครียดออกมาเล็กน้อย

ในใจเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาชอบกล

ชาวยุทธ์พวกนี้ไม่เคยตายหรืออย่างไร?

กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดตัดหน้าเขา?

เด็กหนุ่มกำมือเป็นหมัด กำลังจะเริ่มลงมือกวาดล้างกลุ่มผู้ขวางทาง

“ทุกท่านใจเย็นก่อน”

ดูเหมือนเฉินเซียวเยี่ยนจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว

เขายืนอยู่บนเวทีไม้ กางสองมือออกกว้างเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ “ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะได้รับโอกาสให้พูดเหตุผลของตนเองครบทุกคน ข้าจะรับฟังเหตุผลของพวกท่านจนจบ แล้วค่อยพิจารณาว่าจะตีกระบี่ให้ผู้ใด”

เมื่อชายชราพูดออกมาเช่นนี้ โรงเตี๊ยมก็กลับมาอยู่ในความเงียบสงบอย่างกะทันหัน

“เริ่มจากสหายที่โต๊ะนั้นก่อนดีกว่า”

เฉินเซียวเยี่ยนชี้มือไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุด

โต๊ะนั้นมีชายฉกรรจ์นั่งอยู่แปดคน ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว น่าจะแบ่งแยกได้เป็นสองสำนัก

สีหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งแปดคนนั้นบอกชัดถึงความประหลาดใจที่ตนเองจะได้บอกเหตุผลเป็นโต๊ะแรก

แต่ในเมื่อทุกคนจะได้รับโอกาสให้พูดเหตุผลของตนเองอย่างครบถ้วน นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าจะพูดก่อนหรือพูดหลัง ก็ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนทั้งสิ้น

ชายฉกรรจ์ทั้งแปดคนหันมองหน้ากันด้วยความลังเล

ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะหนังสัตว์สีขาวดำซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายมือก็ประสานมือลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าน้อยเป็นหัวหน้าสำนักประจิมพลิกฟ้า เคารพเลื่อมใสผู้อาวุโสเฉินมานานแล้ว ครั้งนี้มีโอกาสได้เดินทางมายังเมืองไป๋หยุน จึงอยากจะขอรบกวนผู้อาวุโส ช่วยตีกระบี่ให้แก่บิดาของข้าน้อยสักเล่มหนึ่ง”

“บิดาของข้าน้อยมีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน อีกครึ่งปี บิดาข้าน้อยก็จะมีอายุครบ 100 ปี นับตั้งแต่เล็กจนโต ข้าน้อยเคารพรักบิดาเสมอมา และอยากจะมอบกระบี่เล่มนี้ให้แก่บิดาของข้าน้อยเป็นของขวัญวันเกิด และข้าน้อยก็ยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้ท่านผู้อาวุโสเฉินเป็นศิลาบูชา 1,000 ก้อน…”

เขาพูดจบในลมหายใจเดียว หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ก็จ้องมองไปที่เฉินเซียวเยี่ยนด้วยแววตาคาดหวัง

เมื่อรับฟังจบแล้ว ชายชราก็เพียงยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้ากล่าวว่า “คนต่อไป”

ปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ มอบความหวังให้แก่หัวหน้าสำนักประจิมพลิกฟ้ามากทีเดียว

เขามีหวังแล้ว

ชายฉกรรจ์อดตกตะลึงไม่ได้

แต่เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องหัวเราะออกมา

หัวหน้าสำนักประจิมพลิกฟ้าคนนี้หมดหวังแล้วต่างหาก

เหตุไฉนผู้อาวุโสเฉินต้องไปสนใจงานวันเกิดบิดาของเขาด้วย?

และศิลาบูชา 1,000 ก้อนก็คงไม่ต่างจากเศษเงินสำหรับท่านผู้เฒ่า

หัวหน้าสำนักประจิมพลิกฟ้าต้องการจะโน้มน้าวใจนักหลอมกระบี่ขั้นหกด้วยการนำบิดามาอ้าง… คิดว่ามันจะได้ผลหรือ?

ไม่มีหวังแล้ว

“ผู้อาวุโสเฉินขอรับ ข้าน้อยเป็นเพื่อนสนิทของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเฮยตง ก่อนเขาจะตาย เขาอยากจะได้สัมผัสกระบี่ของผู้อาวุโสเฉินสักครั้ง…”

แว่วเสียงใครบางคนหัวเราะออกมา

หลินเป่ยเฉินรับฟังอยู่ก็เกือบสำลักน้ำชาที่ยกขึ้นดื่มเช่นกัน

จะใช้เหตุผลนี้จริงหรือ?

หากองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิเฮยตงอะไรนั่นเป็นเพื่อนสนิทกับชายผู้นี้จริง ๆ รับรองได้เลยว่าครอบครัวของชายผู้นี้คงถูกสั่งประหารเก้าชั่วโคตรแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิเฮยตงเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ไร้ความสำคัญ ต่อให้นำชื่อองค์จักรพรรดิมาแอบอ้าง ก็หาได้เกิดประโยชน์ไม่

หลังจากนั้น ปรากฏผู้คนระดับเจ้าสำนักอีกเจ็ดถึงแปดคนทยอยลุกขึ้นมอบเหตุผลของตนเอง

บางคนต้องการจะนำกระบี่จากผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนไปมอบเป็นของขวัญให้แก่สตรีที่ตนเองหลงรัก…

บางคนต้องการนำกระบี่ไปมอบให้แก่ภรรยา…

บางคนเป็นศิษย์ที่รักอาจารย์มาก และอาจารย์กำลังป่วยใกล้ตาย จึงอยากจะได้กระบี่จากเฉินเซียวเยี่ยนไปเพื่อทำให้อาจารย์ยิ้มได้อีกครั้ง

แต่ละคนล้วนมีเหตุผลที่สร้างสรรค์เกินคาดคิด

เป็นไปตามคาด แม้แต่ผู้อาวุโสฉีที่นั่งดื่มสุราจากน้ำเต้าอยู่ที่โต๊ะหมากล้อมก็ยังอดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะไม่ได้

บัดนี้ ภายในโรงเตี๊ยมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราจากน้ำเต้าของท่านผู้เฒ่าซอมซ่อคนนี้

แต่ถึงอย่างนั้น เฉินเซียวเยี่ยนก็ตั้งใจรับฟังเหตุผลของทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ฟังดูน่าขบขันสักเพียงใด แต่ชายชราก็จะยิ้มแย้มและรับฟังจนจบเสมอ

ทำให้ทุกคนรู้สึกมีความหวังในหัวใจ

ในที่สุด หลังจากรับฟังเหตุผลของบุคคลลำดับที่ 15 จบลง เฉินเซียวเยี่ยนก็กล่าวออกมาอย่างแช่มช้าว่า “ทุกท่านได้โปรดรอสักครู่ ผู้เฒ่าจำเป็นต้องขบคิดเหตุผลของสหายลำดับที่ 15 ผู้นี้เล็กน้อย รบกวนพวกท่านอยู่ในความสงบ แล้วเราจะมาเริ่มกันต่ออีกครั้ง”

เมื่อกล่าวจบ ชายชราก็เดินกลับไปนั่งหลับตาอยู่ที่โต๊ะหมากล้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมได้แต่หันมองหน้ากัน

หลังจากนั้น เสี่ยวเอ้อร์ก็นำสุราอาหารจำนวนมากมาแจกจ่ายให้แขกทุกโต๊ะได้รับประทาน

“แต่เราไม่ได้สั่งนะ”

ใครบางคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“กราบเรียนคุณชาย อาหารและสุรามือนี้เป็นผู้อาวุโสเฉินเลี้ยงดูพวกท่าน ขอเชิญทุกท่านรับประทานได้เต็มที่ขอรับ…”

เถ้าแก่ใหญ่เดินออกมาอธิบาย

ทุกคนยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ

“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเฉิน”

“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเฉิน”

“อิอิ ผู้อาวุโสเฉินให้เกียรติเลี้ยงสุราอาหารข้าหนึ่งมื้อ เรื่องนี้นับว่าสามารถนำไปพูดคุยได้ชั่วชีวิตแล้ว”

“ถูกต้อง เรื่องนี้สามารถนำไปเล่าขานได้ชั่วชีวิตจริง ๆ”

หลายคนตั้งใจพูดออกมาเสียงดัง

เพราะกลัวว่าจะได้ยินไปไม่ถึงหูเฉินเซียวเยี่ยน

“ให้ตายสิ”

หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มด้วยความรังเกียจ “เจ้าคนพวกนี้ประจบสอพลอเก่งเกินไปแล้ว”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พูดเสียงดังไม่แพ้กันว่า “สมแล้วที่ผู้อาวุโสเฉินเป็นวีรบุรุษในใจข้าน้อย สมแล้วที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า สมแล้วที่เป็นชายชาตรีควรค่าต่อการเคารพนับถือ ฮ่า ๆๆ สุราอาหารที่ผู้อาวุโสเฉินจัดเลี้ยงในวันนี้ นับว่ามีรสชาติยอดเยี่ยมที่สุดจริง ๆ…”

ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน

ควับ!

เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้คือปีศาจน้อยที่กวาดล้างสำนักยุทธ์คนนอกไปเมื่อคืนไม่ใช่หรือ?

เหตุไฉนถึงได้ประจบเอาใจผู้อาวุโสถึงขนาดนี้?

ช่างไม่เหมาะสมกับบุคลิกของหลินเป่ยเฉินผู้ยโสโอหังเอาเสียเลย

“จะ… เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”

เสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ

ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น

และพบว่ามันเป็นเสียงของหูเหม่ยเอ๋อร์ ศิษย์น้องเล็กจากคฤหาสน์กำยานนั่นเอง

นางจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน มือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่ สีหน้าสื่อความหมายเป็นนัยว่า ‘ในที่สุด… ข้าก็เจอเจ้าแล้ว’!!!