ในทะเลหมอกที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม อนาคตกาลกำลังแล่นไปยังทะเลคลั่งโดยมีกองเรือล้อมรอบ
พลเรือเอกดวงดาวแทบมิได้กระทำสิ่งใดในระยะหลัง มีเพียงการรอให้นิกายมอสส์ตอบสนองคำร้อง ปัจจุบันเธอกำลังดื่มด่ำไปกับแสงแดดที่ส่องผ่านกลุ่มหมอกหนาทึบพลางเดินไปบนดาดฟ้าเรือ
แคทลียาชำเลืองสายตาไปเห็นแฟรงค์·ลี
รองกัปตันแห่งอนาคตกาลและ ‘หมายเลขสอง’ ของกลุ่มโจรสลัดดวงดาวกำลังแต่งกายในกางเกงสีฟ้าอ่อนและเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุมสองเม็ดบน เผยให้เห็นแผงขนหน้าอกดกหนาสีน้ำตาล มองผิวเผินอาจเข้าใจผิดว่าชายคนนี้คือหมียักษ์
มันกำลังยืนริมหัวเรือพลางมองออกไปยังจุดห่างไกล มีใครทราบว่าแฟรงค์กำลังคิดสิ่งใด แต่สีหน้าค่อนไปทางหดหู่
แคทลียาจงใจลดความเร็วขณะเลี้ยวกลับเข้าเขตห้องโดยสาร
“กัปตัน!” แฟรงค์ตื่นจากภวังค์ทันทีที่เห็นอีกฝ่าย คล้ายกับกำลังรอให้พลเรือเอกดวงดาวตั้งคำถาม
แคทลียาชะงักพลางดันแว่นตาเลนส์หนาบนสันจมูกขึ้น:
“คุณกำลังจมอยู่กับเรื่องใด”
แฟรงค์เรียบเรียงคำพูดและกล่าวออกไป
“ผมกำลังใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และผลงานการรังสรรค์ของตัวเองในช่วงหลายปีหลัง”
“…ได้คำตอบว่าอย่างไร” แคทลียาถามให้ความร่วมมือ
แฟรงค์พยักหน้าพลางตอบด้วยสายตากระอักกระอ่วน
“มีหลายสิ่งที่ผมต้องนึกทบทวนดูใหม่… เกือบทุกสิ่งที่ผลสร้างขึ้นยังขาดแก่นสำคัญไป”
แคทลียาฉงนเล็กน้อยแต่ไม่กล้าถามเพิ่มเติม แต่หลังจากพิจารณาสักพัก เธอตระหนักว่าตนควรใส่ใจพฤติกรรมของลูกเรืออนาคตกาลทุกคน:
“แก่นสำคัญ?”
สีหน้าแฟรงค์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ทั้งหมดยังขาดดวงวิญญาณ!”
“เป็นเรื่องดีแล้วที่ข้าวสาลี องุ่น และเห็ดไม่มีดวงวิญญาณ…” แคทลียาเล่าความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว “นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวล ตอนนี้คุณยังเป็นเพียงลำดับ 5 ดรูอิด”
แฟรงค์โพล่งขึ้นด้วยดวงตาเบิกโพลงทันทีที่ได้ยิน
“จริงด้วย… ผมเข้าใจแล้ว!”
แคทลียาขมวดคิ้วแผ่วเบาจนมองไม่เห็น
“คุณเข้าใจอะไร”
แฟรงค์หายจากอาการหดหู่โดยสิ้นเชิง
“ผมเข้าใจปัญหาแล้ว… ผมปรารถนาในสิ่งที่เกินกว่าขอบเขตความสามารถของดรูอิด… ดังนั้นกัปตัน ผมไม่อยากเป็นแค่ดรูอิดอีกต่อไป ผมจะเป็นนักถลุงโลหะโบราณ!”
ลำดับ 4 ของเส้นทางนักเพาะปลูก จุดเริ่มต้นของครึ่งเทพ
พลเรือเอกดวงดาวผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบรักษาอากัปกิริยาของกัปตันและครึ่งเทพ หญิงสาวพยักหน้าอ่อนโยน:
“การมีเป้าหมายถือเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า การไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”
ความนัยแฝงก็คือ เธอไม่ต้องการให้แฟรงค์มีความหวัง หากเป็นไปได้ก็ควรเลิกคิดเกี่ยวกับเป้าหมายดังกล่าว
แฟรงค์·ลีผู้ ‘ได้รับกำลังใจ’ พยักหน้าหนักแน่นทันที
“ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
เพื่อป้องกันไม่ให้แฟรงค์·ลีไปถึงเป้าหมายเร็วเกินไป แคทลียาตัดสินใจควบคุมพัฒนาการด้วยมือตัวเอง
“ฉันก็จะช่วยอีกแรง”
กล่าวคือ ต่อให้แคทลียาค้นพบวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง เธอก็จะบอกแฟรงค์ว่ายังไม่มีความคืบหน้า
แฟรงค์ดีใจมากและรู้สึกขอบคุณกัปตันของตนจากก้นบึ้ง
“ผมจะเขียนจดหมายถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์และขอให้เขาช่วยอีกแรง… เขาเป็นเพื่อนที่ดีของผม!”
สิ่งที่แฟรงค์ยังไม่ทราบก็คือ ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา จดหมายจำนวนมากที่มันเขียนถูกส่งถึงเป้าหมายผ่านขั้นตอนอันซับซ้อน:
หลังจากมอบจดหมายให้ผู้ส่งสาร ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จะนำไปส่งให้ฟอร์ส และฟอร์สก็จะมอบให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยตรงในชุมนุมทาโรต์หรือไม่ก็ถ่ายทอดเนื้อหาผ่านมิสเตอร์ฟูล
แคทลียาดันกรอบแว่นอีกครั้งพลางหันหลังกลับเข้าเขตห้องพักโดยไม่กล่าวคำใด
กลับถึงห้องกัปตัน เธอพบจดหมายถูกวางอยู่ข้างอุปกรณ์เดือนเรือโดยที่ยังไม่ทันจะได้คิดสิ่งใด
แคทลียาเกิดความยินดีทันที เธอรีบเดินไปหยิบขึ้นมาเปิดอ่านโดยไม่ได้พึ่งพาพลังพิเศษ
เป็นจดหมายจากแบร์นาแดต หลังจากพ้นช่วงเกริ่นตามมารยาท อีกฝ่ายเขียนว่า:
“ถ้ามีเวลาว่าง เราสามารถแอบพบกันได้ที่ลาชา”
ลาชาคือเกาะที่ค่อนข้างลับบนทะเลหมอก บนเกาะมีวังของราชินีเงื่อนงำซ่อนอยู่ – ชื่อของมันคือ ‘มรกตนคร’
แคทลียาอ่านทวนซ้ำหลายครั้งด้วยมุมปากที่ยกโค้งโดยไม่รู้ตัว
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันตก ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เป็นอีกครั้งที่เอ็มลิน·ไวท์ได้พบกับสุภาพบุรุษบารอนผีดูดเลือด คาซีมี·โอดรา
“ลอร์ดนีบาสกล่าวเช่นไร” เอ็มลินฝืนข่มอารมณ์โดยไม่เผยความกระหายมากเกินไป
คาซีมีจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงของเอ็มลินก่อนจะกล่าว
“ท่านแจ้งว่าตระกูลของเราไม่มีตะกอนพลังของเอิร์ลว่างอยู่ เจ้าทำได้เพียงรอให้เหล่าเอิร์ลในปัจจุบันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือสิ้นอายุขัยและทิ้งมรดกไว้”
อายุขัยของผีดูดเลือดยืนยาวมากเมื่อเทียบกับมนุษย์ แม้แต่ผีดูดเลือดทั่วไปที่ไม่มีบรรดาศักดิ์ก็ยังอยู่ได้นานถึงสามร้อยปี ด้วยปัจจัยดังกล่าว เผ่าพันธุ์จึงมี ‘ตำแหน่ง’ เต็มเกือบจะตลอดเวลา
ลำพังการเลื่อนลำดับเป็นบารอนหรือไวเคาต์ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ทำได้เพียงรอขุนนางเดิมตายหรือไม่ก็หาตะกอนพลังจากแหล่งภายนอกมาเอง รวมถึงการสะสมคะแนนผลงานจำนวนมากเพื่อลัดคิวมรดก
การเป็นเอิร์ลนั้นยากกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับสองลำดับข้างต้น เพราะเอิร์ลผีดูดเลือดหมายถึงครึ่งเทพซึ่งมีอายุขัยนานกว่าพันปี กล่าวคือ ไวเคาต์ผีดูดเลือดที่รอรับตะกอนพลังจากเอิร์ลส่วนใหญ่จะเสียชีวิตไปก่อน
ด้วยเหตุผลข้างต้น ตำแหน่งเอิร์ลจะถูก ‘แทนที่’ ทันทีที่ว่างลง แทบไม่มีโอกาส ‘เหลืออยู่ในคลัง’
สำหรับตะกอนพลังบารอนและไวเคาต์ อาจมีบางช่วงที่ในคลังมีเก็บไว้เป็นก้อนหรือไม่ก็ในรูปแบบสมบัติปิดผนึก แต่จำนวนก็ไม่มากนัก และทุกการแจกจ่ายถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
คำตอบไม่เกินความคาดหมายของเอ็มลินไปนัก มันเพียงจ้องบารอนคาซีมีพลางพยักหน้า
“กล่าวคือ ถ้ามีเอิร์ลเสียชีวิต ข้าก็จะได้สืบทอดใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” คาซีมีส่ายหน้า “แม้เจ้าจะสร้างผลงานไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่ใช่ลำดับหนึ่งของคิว”
“ข้าอยู่อันดับเท่าไร” เอ็มลินขมวดคิ้วก่อนจะรีบคลายด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความอยากของตน
คาซีมีกระแอมแห้ง
“สิบสอง”
…คงไม่ทันวันสิ้นโลกแน่… ในเมื่อท่านบรรพบุรุษต้องการให้เราเป็นผู้กอบกู้เผ่าพันธุ์ เหตุไฉนถึงไม่จัดแจงเรื่องนี้ไว้ด้วย? โอสถปราชญ์สีชาดของเราย่อยเสร็จนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว… หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบ… เอ็มลินไตร่ตรองสักพักก่อนจะตั้งคำถาม
“หากข้าหาตะกอนพลังเอิร์ลจากภายนอกได้ เบื้องบนบนจะช่วยประกอบพิธีกรรมไหม”
คาซีมีพ่นลมหายใจ
“แน่นอน!”
เอ็มลินไม่มัวแช่อยู่นาน มันรีบขึ้นรถม้ากลับบ้านตัวเอง
มันไม่ได้แวะไปที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยวอีกเลยนับตั้งแต่เฟเนพ็อตประกาศสงคราม เอ็มลินได้ยินจากเดอะสตาร์ว่าประตูของวิหารถูกทำลายและหลายสิ่งด้านในถูกขโมย ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่สำหรับคนจรจัด
ส่วนหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ใช้เวลาครึ่งเดือนในห้องขังด้านหลังประตูยานิส ส่วนอีกครึ่งเดือนจะถูกย้ายขึ้นมาพักด้านบนวิหารนักบุญแซมมวลติดกับห้องของอาร์ชบิชอปแห่งเบ็คลันด์ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกเดือน
นั่นเพราะทางโบสถ์รัตติกาลกังวลว่าหากขังบิชอปยูทรอฟสกี้ไว้หลังประตูยานิสนานเกินไป อีกฝ่ายจะได้รับความเสียหายเชิงร่างกายในระดับที่มิอาจฟื้นฟูให้กลับเป็นปรกติ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน โบสถ์รัตติกาลจำเป็นต้องยื้อเวลาและรักษาโอกาสในการเจรจากับโบสถ์พระแม่ธรณี
แม้เอ็มลินจะไม่ใช่สาวกของรัตติกาลและเกลียดการเข้าไปเหยียบวิหาร แต่มันก็หาโอกาสเยี่ยมเยียนหลวงพ่อยูทรอฟสกี้บ่อยครั้ง
จะหาตะกอนพลังเอิร์ลได้จากไหนกัน… เอ็มลินที่รู้สึกว่าตนกำลังล้าหลังและอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยกอบกู้เผ่าพันธุ์ กวาดสายตาไปตามถนนอันเงียบสงัดพลางเค้นสมองคิดหาทุกวิถีทาง
จากนั้นก็ผุดไอเดีย
มาดามเฮอร์มิทเคยเล่าให้ฟังว่า นักบุญมืดแห่งชุมนุมแสงเหนือได้ต้อนแกะดวงวิญญาณราชาหมอผีเข้าไป… นั่นเทียบเท่ากับตะกอนพลังเอิร์ล ถ้าเราสามารถล่าครึ่งเทพเส้นทางคนเลี้ยงแกะได้เหมือนกับนักบุญเร้นลับ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย…
แต่หลังจากมีบทเรียน เกรงว่านักบุญมืดคงไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ อีกแล้ว…
นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่เทวทูตจะกำลังจับตามอง…
ปัญหาข้างต้นคือสิ่งที่ชาวชุมนุมทาโรต์ปรึกษาหารือกันมาสักพัก ทุกคนได้ข้อสรุปตรงกันว่า เนื่องจากเหตุการณ์สังหารครึ่งเทพของชุมนุมแสงเหนือเพิ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งปี คงเป็นการดีกว่าหากจะไม่ไปยั่วยุพวกมันเพิ่มเติม
หากไม่นับตะกอนพลังราชาหมอผีที่นักบุญมืดถือครอง เอ็มลิน·ไวท์คิดได้เพียงอย่างเดียว:
โรงเรียนกุหลาบ!
ไม่ว่าจะแวมไพร์เทียมของโรงเรียนชีวิตหรือสาวกดวงจันทร์บรรพกาลแห่งทวีปใต้ ปัจจุบันพวกมันคือสมาชิกโรงเรียนกุหลาบ
จริงอยู่ที่อาจมีราชาหมอผีบางคนรักอิสระและไม่ต้องการเข้าร่วมองค์กรใด แต่ข้อมูลของพวกมันก็หาได้ไม่ง่ายนัก
เอ็มลินนึกถึงชื่อหนึ่งทันทีที่นึกถึงโรงเรียนกุหลาบ
มาริค!
มาริคคือสมาชิกโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนา เป็นขั้วตรงข้ามกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการบางสิ่งจากโรงเรียนกุหลาบ บางทีพวกเราอาจร่วมมือกันได้… เอ็มลินพยักหน้าแผ่วเบา
…
ชาวเมืองจันทราจำนวนมากมารวมตัวที่หน้าทางเข้าพลางจ้องไปยังทิศตะวันออกเป็นระยะ
ส่วนใหญ่เป็นญาติของคณะเดินทางที่นำโดยมหานักบวช คนกลุ่มดังกล่าวถือเป็นตัวแทนของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งหมด
จนกระทั่งแสงสว่างผุดขึ้นท่ามกลางความมืด มหานักบวชนีมพารุสและทุกคนเดินย่างกรายเข้าใกล้เมือง
ชายคนหนึ่งรีบเดินออกไปมองหาพี่สาว จนกระทั่งพบอีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมกับคราบน้ำตา
สตรีชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ผู้มิได้พิการสัมผัสถึงการจ้องมองจากน้องชายทันที จึงเปิดปากเปล่งเสียงด้วยน้ำตานองหน้า
“พระองค์… พระองค์ทรงมาโปรดพวกเราทุกคน…” หญิงสาวเริ่มสะอื้นเสียงดัง เป็นการปลดปล่อยความโศกเศร้าและสิ้นหวังที่ครอบงำจิตใจมาแสนนาน
………………………