“พระองค์… พระองค์ทรงมาโปรดพวกเราทุกคน…”
ถ้อยคำเจือเสียงสะอื้นดังก้องไปทั่วทางเข้าเมืองจันทรา ทำให้บรรดาผู้ที่กำลังยืนรอต่างตกอยู่ในภวังค์
…
ณ ชายขอบม่านหมอกสีเทา ข้างกองไฟที่ลุกโชนเงียบงัน
ไคลน์ที่กินเห็ดอีกรอบก่อนจะสลายเหล็กเสียบสีดำทิ้ง ออกตามหาหลุมลึกที่มหานักบวชนีมเล่าให้ฟัง
ทันใดนั้นก็เหยียดมือขวาออกไปจับความว่างเปล่าและดึง ‘ตัวเอง’ เมื่อสิบห้านาทีก่อนออกมา
หลังจากประสานสายตากัน ร่างต้นไคลน์ก็เลือนหายเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มวิ่งตรงยาวไปจนกระทั่งก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง
ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของไคลน์ลุกขึ้นและเริ่มดีดนิ้วหลายครั้ง สร้างเปลวไฟตลอดทางไปจนถึงจุดหมาย
จนกระทั่งหยุดลงเมื่อมาถึงใกล้กับหลุมลึกซึ่งเคยเป็นเนินเขา จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปดึงโจนาส·โคลเกอร์ออกจากความว่างเปล่า
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเคาต์แห่งการเสื่อมถอยพลันยุบพองก่อนจะแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์
มันใช้มือข้างหนึ่งหยิบตะเกียงออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และใช้อีกข้างลูบหน้าผากพลางพึมพำ
“ทำไมเราต้องแปลงโฉมหุ่นเชิด? แถวนี้ไม่มีใครสักหน่อย… จะปล่อยให้ตัวเองเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำไม่ได้”
ไม่กี่วินาทีถัดมา ภาพฉายของหุ่นเชิดเดินถือตะเกียงตรงไปทางหลุมลึกที่อยู่ไม่ห่าง
ไคลน์อาศัยแสงสว่างช่วยให้เห็นว่าหลุมลึกที่ตนตามหาไม่ได้ลึกมากขนาดนั้น ก้นหลุมกับพื้นเรียบห่างกันไม่เกินสองเมตร แต่แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับสมัยที่ยังเป็นเนินเขา นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดินด้านใน ‘หลุมลึก’ ค่อนข้างนุ่มและมีก้อนหินประปราย เต็มไปด้วยพืชกลายพันธุ์ที่ยากจะเดาต้นตระกูล ไม่มีจุดใดโดดเด่นกว่าที่อื่น
หลังจากตรวจสอบอยู่สักพัก ไคลน์เปิดเนตรวิญญาณและเนตรด้ายวิญญาณเดินเข้าไปในหลุมลึกอย่างใจเย็น ตรงไปทางเส้นทางที่คำนวณไว้พลางเก็บทุกรายละเอียดรอบตัวอย่างครบถ้วน
มันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงสะดุ้งขณะก้าวเดิน
ชายหนุ่มตระหนักว่าความคิดของตนเริ่มเฉื่อยชา แต่สมองกลับยังคำนวณได้ตามปรกติ!
ความรู้สึกคล้ายกับเพิ่งตื่นหลังจากนอนเป็นเวลานาน สมองตื้อจนขาดความเฉียบแหลม
เป็นประสบการณ์ที่ใครหลายคนย่อมต้องเคยพบเจอ ผู้วิเศษเส้นทางอื่นอาจไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติ แต่สำหรับนักทำนายมากประสบการณ์อย่างไคลน์ สภาวะเช่นนี้ถือว่าไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรง
หากปล่อยให้ควบคุมลึกไปกว่านี้ ผลลัพธ์จะเหมือนกับการถูกนักเชิดหุ่นเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ… เป็นอิทธิพลที่หลงเหลือจากหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์? ไม่สิ… ถ้าโคทาร์ไม่ได้ตั้งใจทิ้งไว้ อิทธิพลเหล่านี้ก็ต้องมาจากการเผยร่างสัตว์ในตำนาน… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หน่วยสืบสวนของเมืองจันทราก็ต้องคลุ้มคลั่งกันหมด… มันจงใจทิ้งไว้? ด้วยเหตุผลอะไร? บอกกับผู้อื่นว่าตนเคยมาที่นี่? ไคลน์เดินวนรอบจุดเกิดเหตุด้วยท่าทีฉงน แต่สุดท้ายก็ไม่พบความผิดปรกติใด
ไตร่ตรองสักพัก ร่างต้นไคลน์ที่ซ่อนตัวในช่องว่างประวัติศาสตร์ก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เริ่มเดินถอยหลังสี่ก้าวเพื่อส่งตัวเองไปยังมิติเหนือหมอก
มันจะใช้พลังทำนาย!
อาศัยข้อมูลด้านเวลาและสถานที่อย่างเจาะจง รวมถึงคำอธิบายของนีม การสำรวจสถานที่จริงด้วยตัวเอง และชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่กำลังส่องแสง ไคลน์เชื่อว่าปัจจัยในการทำนายครบถ้วนตามความต้องการขั้นต่ำแล้ว
แม้จะยังไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่ชายหนุ่มมองว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง นอกจากนั้นถ้าเหตุการณ์ ‘เนินเขากลายเป็นหลุมลึก’ เกี่ยวข้องกับตนและปราสาทต้นกำเนิดจริง โอกาสทำนายสำเร็จก็จะสูงขึ้นมาก ผลลัพธ์อาจชัดเจนและไม่ถูกแทรกแซง
ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่มัวรีรอ ปากกาหมึกซึมและกระดาษหนังถูกเสกขึ้นมาเขียนข้อความ:
“วันที่ 28 มิถุนายนปี 1349 แห่งยุคสมัยที่ห้า ความผิดปรกติที่เกิดขึ้นที่นี่”
ชายหนุ่มวางปากกาลงและถือกระดาษไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างทำการดึงดินในหลุมลึกหนึ่งกำมือมาจากอดีตเพื่อเป็น ‘สื่อกลาง’
ไคลน์เอนหลังพิงพนักพลางท่องประโยคทำนายเจ็ดครั้งในสภาพดังกล่าว ตามด้วยการเข้าฌานเพื่อสะกดจิตตัวเองให้หลับ
ท่ามกลางโลกแห่งความฝันอันพร่ามัว มันมองเห็นกลุ่มหมอกสีเทาหนาแน่น และเห็นเนินเขาที่สูงราวสิบเมตรซึ่งถูกพืชกลายพันธุ์ปกคลุม
ไม่กี่วินาทีถัดมา กลุ่มหมอกหนาแน่นพลันปั่นป่วนพร้อมกับ ‘คาย’ เงาสีดำ
เงาดำดูคล้ายกับผ้าม่านกำมะหยี่ผืนใหญ่ที่ดูดซับแสงสว่างรอบตัวเข้าไป
ม่านมายาขยายขนาดในสภาพโปร่งแสงจนกระทั่งปกคลุมเนินเขาทั้งลูก
เนินเขาอันตรธานหายไปทั้งอย่างนั้นจนเหลือเพียง ‘หลุมลึก’
หลังจากนั้น พืชประหลาดรอบหลุมลึกเริ่มถูกแผ่ปกคลุม ด้ายวิญญาณสีดำของพวกมันยืดยาวออกไปหา ‘ม่านดำ’ ผืนดังกล่าว
‘ม่าน’ ทวีความโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า หากไม่ใช่เพราะมีเนตรวิญญาณ ไคลน์คงไม่ทราบว่า ‘ม่าน’ ผืนดังกล่าวยังคงปกคลุมปากหลุมอยู่
ฉากความฝันเกิดการสั่นไหวบิดเบี้ยวจนกระทั่งฉายภาพใหม่
หน่วยลาดตระเวนของเมืองจันทราจำนวนหาคนเดินมาถึงจุดเกิดเหตุและพบว่าเนินเขาหายไปโดยถูกแทนที่ด้วยหลุมลึก
พวกมันชะงักงันและรีบหันหลังกลับทันที ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจสอบ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ร่างขนาดมหึมาโผล่ขึ้นในทิศทางตรงกันข้าม
เป็นหมาป่าอสูรขนสั้นแปดขา สูงสี่ถึงห้าเมตร
กลางหน้าผากแซมด้วยขนสั้นสีเทา รูม่านตาสีดำสนิทปกคลุมสามในสี่ส่วนของดวงตา เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์
หมาป่าอสูรทมิฬเงยหน้าขึ้นพร้อมกับอ้าปากคล้ายเตรียมหอน แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ร่างหนึ่งปรากฏกายด้านข้างมันในวินาทีถัดมา เป็นมันเองอีกตัวหนึ่ง
หมาป่าอสูรทมิฬก้าวขาทั้งแปดอย่างเรียบง่าย แต่ร่างของมันกลับมาโผล่ข้างหลุมลึกในพริบตา
หลังจากกวาดสายตารอบตัว มันก้มศีรษะลงคาบ ‘ม่าน’ โปร่งใสที่ทำให้เนินเขาหายไปทั้งลูก
ม่านผืนดังกล่าวมีชีวิตขึ้นมาทันทีพร้อมกับหดและม้วนตัว ห่อหุ้มร่างหมาป่าอสูรไว้ประหนึ่งเป็นอาภรณ์โปร่งแสงโทนดำ
หมาป่าอสูรตัวสั่นอยู่สักพัก ราวกับมันกลายเป็นหุ่นเชิดภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
แต่แน่นอนว่า ‘ร่าง’ ดังกล่าวคือภาพฉายทางประวัติศาสตร์ ร่างต้นของมันรีบสลายภาพฉายทิ้งในพริบตา
‘ม่าน’ ที่สูญเสียเหยื่อทำได้เพียงหล่นลงพื้นและแผ่ขยายออกไปทุกทิศ
หมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์ยังไม่ยอมแพ้ มันเปลี่ยนให้สัตว์ประหลาดรอบตัวกลายเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ก็อัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์เพื่อบุกเข้าไปหา ‘ม่าน’ หนแล้วหนเล่า เผชิญความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน แต่ท้ายที่สุดก็ทำสำเร็จด้วยการใช้หุ่นเชิดฝูงใหญ่กรูเข้าไปหยิบและควบคุมม่าน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเงียบงันประหนึ่งละครใบ้
ถัดมา หมาป่าอสูรร่างยักษ์บังคับให้หุ่นเชิดนำ ‘ม่าน’ มาให้ตน
ทันใดนั้นเอง สายหมอกสีเทาในบริเวณใกล้เคียงเกิดความผันผวนก่อนจะก่อตัวเป็นกระแสวังวนที่มีขนาดใหญ่เท่าเนินเขา
กระแสวังวนสร้างแรงดูดล่องหนอันทรงพลัง ส่งผลให้ม่านและโคทาร์ถูกดูดเข้าไปในวังวนโดยพร้อมเพรียง!
ฉากดังกล่าวท่วมท้นไปด้วยกระแสคลื่นและละอองแสง ทำให้ไคลน์ยากที่จะมองเห็นรายละเอียด
เมื่อเหตุการณ์กลับสู่สภาพปรกติ หมาป่าอสูรโคทาร์ทำการห่อ ‘ม่าน’ โปร่งใสไว้รอบตัวและรีบหนีออกจากหมอกทึบด้วยความเร็วสูง
ในเวลาเดียวกัน หน่วยสืบสวนของเมืองจันทราได้รุดมาถึงจุดเกิดเหตุและพบว่าเทพรับใช้โบราณรายนี้กำลังจากไป
โคทาร์หันมาชำเลืองเล็กน้อยแต่มิได้หยุดฝีเท้า ยังคงวิ่งตรงเข้าไปในความมืดมิด
ความฝันแตกกระจายและจบลงตรงนี้ ไคลน์ถูกบังคับให้ตื่น
ชายหนุ่มนั่งหลังตรงพลางใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว:
ใช่ว่าหมอกทึบสีเทาจะไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนที่เราจะไปถึง เพียงแต่ชาวเมืองจันทราไม่เคยเห็น… เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะไม่มีใครทราบว่าม่านหมอกสีเทาแผ่ขยายออกไปไกลแค่ไหน…
‘ม่าน’ ที่กลุ่มหมอกสีเทาพ่นออกมาคืออะไร? มันสามารถขยายขนาดปกคลุมเนินเขาและทำให้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์… ในสภาพหดตัว มันสามารถสวมใส่ลงบนตัวหมาป่าอสูรทมิฬและเปลี่ยนให้กลายเป็นหุ่นเชิด… น่าจะเป็นสมบัติระดับสูงของเส้นทางนักทำนาย…
มันถูกคายออกมาจากกลุ่มหมอกเพราะเราทำการผูกมัดปราสาทต้นกำเนิดเป็นของตัวเอง?
เปลี่ยนพืชพรรณโดยรอบให้เป็นหุ่นเชิดได้ด้วย… ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก…
นึกออกแล้ว… อาหารใน ‘หมู่บ้านสายหมอก’ ก็มีด้ายวิญญาณเช่นกัน พวกมันยืดยาวไปยังใจกลางวิหารสีดำ ใครก็ตามที่กินอาหาร ร่างกายจะระเหยและอันตรธานหายในพริบตา… จากนั้นก็ลงเอยด้วยการถูกแขวนไว้บนยอดวิหารในสภาพหุ่นเชิด…
กล่าวคือ ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ก็บริวารเร้นลับสามารถเปลี่ยนพืชที่แฝงพลังวิญญาณให้มี ‘ด้ายวิญญาณ’ และครอบงำในฐานะหุ่นเชิด?
…ม่านผืนดังกล่าวคือตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ก็บริวารเร้นลับ?
พิจารณาจากสภาพของหมาป่าอสูรทมิฬ คำตอบน่าจะเป็นอย่างหลัง…
นี่คือเหตุผลที่หนึ่งในตะกอนพลังบริวารเร้นลับสาบสูญเป็นเวลานาน? มีเพียงเบาะแสเลือนรางจนไม่มีใครหาพบ?
ก่อนที่ปราสาทต้นกำเนิดจะมีเจ้าของ กลุ่มหมอกสีเทาในแถบนี้คอยดึงดูดตะกอนพลังระดับสูงของทั้งสามเส้นทางเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและกักขังพวกมันเอาไว้? จุดประสงค์คืออะไรกันแน่?
เป็นแรงดูดที่ทรงพลังมาก… กระทั่งหมาป่าอสูรโคทาร์ก็ยังหวาดผวา… ความคิดเดียวในหัวคือการเผ่นหนีโดยไม่หยุดฝีเท้า…
เจ้านั่นรู้อะไรเข้า? หรือกำลังกลัวอะไร?
ไคลน์เริ่มเผยสีหน้าตื่นเต้นหลังจากลองวิเคราะห์สักพัก
หากตนประสบความสำเร็จในการล่าหมาป่าอสูรทมิฬ รางวัลตอบแทนจะมีมูลค่ามหาศาลชนิดที่มิอาจกะเกณฑ์ได้!
แต่แน่นอน หมาป่าอสูรทมิฬผู้ครอบครอง ‘ม่าน’ ย่อมทรงพลังกว่าแต่ก่อน ความจริงดังกล่าวทำให้ไคลน์สูญเสียความเชื่อมั่นที่จะล่าสำเร็จ
ท่ามกลางกระแสความคิด มันฉุกคิดบางสิ่งได้
พิจารณาจากลำดับเหตุการณ์ หมาป่าอสูรทมิฬน่าจะมี ‘ม่าน’ ติดตัวไปในตอนที่ผ่านซากเมืองนอร์ธ…
โคทาร์เปลี่ยนเมืองนอร์ธให้กลายเป็นเมืองแห่งหุ่นเชิด… แต่เจตนาไม่ใช่การลงหลักปักฐานหรือเพิ่มจำนวนกองทัพ… หรือว่ามันกำลังเตรียมประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็น ‘บริวารเร้นลับ’ ?
…………………………