ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 134 อีกหมัดหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลมยังไม่มีเวลาที่จะพัด ฝูงชนยังไม่ทันกะพริบตาไม่ต้องพูดถึงอ้าปาก

ดาบอยู่ตรงหน้าเซวียนหยวนผ้อแล้ว แทบจะตัดคอเขาจนหัวหลุดลงมา

เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้วแต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าดาบของเนี่ยฉื่อยังเร็วยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้อีก มันสายเกินไปแล้วที่จะห้าม เจ้าหน้าที่ประจำโต๊ะลงทะเบียนก็เตรียมตัวไว้แล้วแต่ก็ยังไม่อาจสะกดความปีติในใจได้ แม้ว่าจะมีเวลาไม่พอให้ยิ้มออกมาก็ตาม

ในเวลาอันสั้นที่แม้แต่เสียงยังไม่กระจายตัวไป รอบลานประลองเกิดความแน่นิ่งชวนขนลุกที่เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าหวาดกลัว

ในที่สุดก็เกิดเสียงกระจ่างใสดังขึ้นทำลายความเงียบและเวลาก็กลับสู่ความเร็วปกติ

ไม่ใช่เสียง เช้ง ของดาบ ไม่ใช่เสียงศีรษะกลิ้งลงจากคอแต่เห็นเสียงทึบๆ ดังตุ๊บ

มันเหมือนเสียงของผลไม้เน่าตกลงพื้นกลายเป็นของแหลกเละ

มันเหมือนกับถุงหนังใส่สุราบี้แบนเพราะโดนผู้อาวุโสเผ่าเซียงนั่งทับ

มันเหมือนกับกำปั้นทุบใส่โคลน

ใช่แล้วเสียงนี้คล้ายที่สุด เพราะมันแทบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

ดาบของเนี่ยฉื่อราวกับสายฟ้าฟาดแต่หมัดของเซวียนหยวนผ้อเร็วยิ่งกว่า

ไม่มีใครเห็นกำปั้นของเขา แม้แต่เงาเลือนรางก็ไม่เห็น

ตอนที่ดาบอยู่ห่างจากคอเขาไปครึ่งฉื่อ หมัดของเขาก็กระแทกใส่ใบหน้าของเนี่ยฉื่อแล้ว

พลังที่เหนือจินตนาการของกำปั้นนี้ถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่

ใบหน้าของเนี่ยฉื่อเริ่มผิดรูป จมูกยุบลง เบ้าตาแตกออก คางร้าว เลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากใบหน้าราวกับดอกไม้บาน

ใต้กำปั้นของเซวียนหยวนผ้อ ใบหน้าของเขาเป็นเหมือนกับบ่อโคลน

คอของเขาหักลงแทบจะในเวลาเดียวกัน ศีรษะห้อยลงไปด้านหลัง

ดูเหมือนกับผลไม้สีแดงสุกงอมห้อยลงจากกิ่งไม้

เป็นภาพที่ประหลาดและน่ากลัวอย่างมาก

เนี่ยฉื่อสมกับชื่อเสียงยอดฝีมือเผ่าปีศาจเพราะเขาไม่ตายคาที่ คอที่หักเกิดเสียงที่ไม่อาจฟังรู้เรื่องตอนที่ร่างกายของเขาส่ายไหวอยู่บนลานประลอง ในที่สุดก็ล้มลงกับพื้นและของเหลวโสโครกแผ่กระจาย เขาตายแล้ว

ทั้งบนและนอกลานประลองมีแต่ความเงียบงันไม่มีเสียงใดเลยแม้แต่เสียงเดียว

กรรมการเผ่าหลี่มองไปที่เซวียนหยวนผ้อด้วยสีหน้างุนงง

ผู้ชมที่ยังไม่มีโอกาสที่จะอ้าปากล้วนตะลึงงันลืมที่จะส่งเสียงร้องออกมา

เจ้าหน้าที่ประจำโต๊ะลงทะเบียนตั้งใจจะฉลองการตายของเซวียนหยวนผ้อ ในที่สุดก็ยิ้มแต่มันน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

เซวียนหยวนผ้อมองดูกำปั้นของตัวเองอย่างเหม่อลอย

เขามองไปที่ศพของเนี่ยฉื่อและส่ายหน้า “เจ้าเร็วเกินไป”

ในพิธีสวรรค์พิจิตวันนี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะฆ่าใคร

แต่ดาบของคู่ต่อสู้เร็วเกินไป จิตสังหารรุนแรงเกินไป

จะเปลี่ยนกำลังเป็นความเร็วได้อย่างไร จะใช้แรงจนถึงขีดจำกัดได้อย่างไร

กรรมการเผ่าหลี่พูดออกมาอย่างไม่ละเอียดเกินไป

เคลื่อนไหวไปตามใจ

โจมตีไปตามใจ

แม้ว่าจะไม่มีการทำพิธีเป็นทางการ เซวียนหยวนผ้อก็เคยรับลั่วลั่วเป็นอาจารย์ และลั่วลั่วก็เป็นศิษย์หญิงคนเดียวของเฉินฉางเซิง

จากสิ่งนี้เขาก็นับเป็นผู้สืบทอดจากวัดเก่าเมืองซีหนิง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นศิษย์ของสำนักฝึกหลวงที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเฉินฉางเซิงมาเป็นเวลานาน

ไม่ว่าจะทำตามใจหรือปล่อยให้ใจพาไป ก็คือการบำเพ็ญใจตน และใจนั้นก็เป็นเต๋าเพียงอย่างเดียวในโลกที่ไม่อาจบำเพ็ญได้

ตอนที่เขาบอกว่าดาบของคู่ต่อสู้เร็วเกินไป มันไม่ใช่การประชดประชันแต่เป็นความจริง

ดาบนี้เร็วเกินกว่าเขาจะใช้ความคิด เร็วเกินกว่าจะพิจารณา เขาได้แต่ลงมือไปตามสัญชาตญาณ

ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด มีแค่เคลื่อนไหวก่อนที่จะคิดจึงเป็นการทำตามใจอย่างแท้จริง

.……

……

.……

……

เซวียนหยวนผ้อเดินลงจากลานประลอง

ฝูงชนแหวกออกราวสายน้ำ

เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจเลิกคิ้วเล็กน้อยตอนที่มองเซวียนหยวนผ้อ เขาเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาและออกคำสั่งให้สืบความเป็นมาของเซวียนหยวนผ้อ

ในการประลองรอบแรก เซวียนหยวนผ้ออาศัยกำลังเอาชนะทายาทเผ่าเซียงไปอย่างโง่งม นั่นก็พอที่จะทำให้เขากับเจ้าหน้าที่จากสภาผู้อาวุโสตกตะลึงแล้ว

แต่นี่ไม่อาจเทียบกับความตกใจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้

เพราะเนี่ยฉื่อเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจอย่างแท้จริง

ตอนที่เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจเห็นดาบที่ไวปานสายฟ้าของเนี่ยฉื่อ เขาก็มั่นใจว่าแม้แต่เขาก็ไม่ใช่คู่มือของเนี่ยฉื่อ

แต่เนี่ยฉื่อแพ้ให้กับกำปั้นของหนุ่มเผ่าหมีคนนี้

หากเนี่ยฉื่อเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง แล้วเจ้าหนุ่มเผ่าหมีนี่เป็นอะไร

……

……

เซวียนหยวนผ้อเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กนั่น

นี่เป็นครั้งที่สามที่เขามายังโต๊ะตัวนี้ในวันนี้

เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง

ในตอนแรกใบหน้าเจ้าหน้าที่มีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตกใจและหลีกหนีแล้วก็มาเป็นอับอายและโมโห

ตอนนี้เจ้าหน้าที่หน้าซีดขาวราวกับทนทุกข์จากความหนาวเย็น แต่เขาก็หลั่งเหงื่ออยู่ตลอด

ตอนที่เซวียนหยวนผ้อเดินมาที่โต๊ะและเงาทอดมาทางตัวเขา เขาก็เริ่มเหงื่อไหลเป็นทาง ทำให้เสื้อเปียกชุ่มไปทั่วกาย

เจ้าหน้าที่ด้านข้างถามด้วยความเป็นห่วง “เฉาซือเป็นอะไรไป”

เซวียนหยวนผ้อรู้จักชื่อเจ้าหน้าที่คนนี้ในที่สุด

เจ้าหน้าที่พึมพำไม่กี่คำ พยายามที่จะใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อออก แต่ก็ยังห่างจากความเพียงพอไปไกล

เซวียนหยวนผ้อรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขาไม่สนใจ หลังจากยืนยันรายละเอียดบางอย่างในการลงทะเบียนเขาก็จากไป

เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หลังของเซวียนหยวนผ้อ ไม่อาจที่จะสะกดความทรงจำเรื่องที่เขาได้พูดเอาไว้ในโรงเตี๊ยมน้อยเมื่อหลายวันก่อน

เขามึนเมาอย่างมากในตอนนั้นและก็ลืมไปมากแล้วแต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้เขาหวาดกลัวจนจำถ้อยคำพวกนั้นขึ้นมาได้ชัดเจน

“เขาไม่ได้พิการหรอกหรือ!”

“เจ้าเชื่อคำโอ้อวดของเจ้าพิการนี่หรือ ยอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่…ไม่บอกเลยล่ะว่าเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย!”

“นี่ เจ้าลูกหมี หยุดอยู่ตรงนั้น!”

“ดูแขนเขาสิ พิการไร้เรี่ยวแรง ทำได้แค่ล้างจาน แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไปของสำนักฝึกหลวง”

“เราพูดถึงสำนักฝึกหลวงใดกัน! หากเจ้ามีความสามารถ เจ้ามาล้างจานที่นี่ทำไม”

ตอนที่เขาคิดเรื่องไร้สาระที่เขาเคยพูดเอาไว้พวกนี้ เขาก็เริ่มเหงื่อไหลเป็นทางอีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

แล้วจากนั้นเขาก็จำได้ว่าเขาถึงกับถ่มน้ำลายตรงหน้าคนผู้นั้น ซึ่งทำให้เขาเริ่มรู้สึกมึนงงจนแทบจะหมดสติ

เซวียนหยวนผ้อเหินออกจากฝูงชนและไปยังมุมถนน จากนั้นก็เอาซาลาเปาเนื้อออกมาจากถุงและเริ่มกิน

หลังจากประลองครั้งแรกเขาก็ตระหนักว่าการประลองนั้นช่างสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ดังนั้นเขาจึงไปที่ร้านซาลาเปาและซื้อซาลาเปาเนื้อถาดสุดท้ายมา

ดังที่คาดไว้ แม้ว่าเขาจะต่อยไปแค่สองหมัดก็ยังรู้สึกหิวโหยอย่างมาก

ซาลาเปาเย็นแล้ว เนื้อที่ฉุ่มฉ่ำก็เริ่มแห้งไปบ้าง จึงไม่อร่อยอีกแล้วแต่เขาก็ยังกินมันอย่างขะมักเขม้น

ฝูงชนก็มองเขาอย่างขะมักเขม้นพอกัน

การต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นบนลานประลองแต่ไม่มีใครสนใจดู

ทุกคนมองไปที่ถนนด้านนอก ดูเซวียนหยวนผ้อ ดูมือของเขา

มันเหมือนกับซาลาเปาเนื้อในมือเขาเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดในโลก