พิธีสวรรค์พิจิตเป็นขั้นตอนที่เรียบง่ายอย่างมากและเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อการประลองดำเนินไป แต่ละรอบผู้แข่งขันก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง ทำให้พิธีดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะยังเป็นช่วงเช้าของวัน การคัดเลือกก็ดำเนินไปเกินครึ่งแล้ว
ผู้ชนะบนหลายลานประลองได้ถูกตัดสินแล้ว ตอนนี้กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดตามเขตที่พวกเขาได้รับการจัดสรร อีกด้านหนึ่ง ลานประลองในบริเวณของวังหลวงกับหอเทียนโส่วจบลงนานแล้ว เกิดผู้ชนะที่ไม่มีใครกล้าท้าประลองด้วย
เสี่ยวเต๋อ องค์ชายรองของดินแดนต้าซีและชายหนุ่มลึกลับสวมหมวกไผ่สานที่ยืนอยู่บนลานประลองของตน
ชาวเผ่าปีศาจมองไปที่ร่างบนลานประลองเหล่านั้นอย่างเคารพเทิดทูน แม้ว่าจะดูอ้างว้างแต่ก็ภาคภูมิ
ความสนใจส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เสี่ยวเต๋อ ในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจรุ่นกลาง ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาในการประลองก็น่าหวาดกลัวเกินไป แม้แต่รองผู้บัญชาการองครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงหรือขุนพลเผ่าปีศาจหลายคนก็รับมือเขาได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
ชัยชนะของเขานั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว
เมื่อหวังผ้อเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และเซียวจางถูกราชสำนักต้าโจวไล่ล่า เสี่ยวเต๋อก็ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับสองของประกาศเซียวเหยา
ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ของต้าลู่ย่อมไม่มาร่วมพิธีสวรรค์พิจิต ผู้อาวุโสที่เก็บตัวของสำนักต่างๆ ในแดนใต้ของเผ่ามนุษย์ย่อมไม่หน้าหนามาขอแต่งงานกับองค์หญิงลั่วลั่ว ดังนั้นนอกจากเหลียงหวังซุนมาด้วยตัวเอง หรือขุนพลเทพอันดับต้นๆ เข้ามาร่วมด้วย ใครจะเอาชนะเสี่ยวเต๋อได้
คนธรรมดาส่วนใหญ่ในเมืองไป๋ตี้คิดเช่นเดียวกัน
คนที่สามารถแต่งกับองค์หญิง ทนรับการชำระจากเพลิงเถื่อนและกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไปก็น่าจะเป็นเสี่ยวเต๋อ
เสี่ยวเต๋อรู้ความลับมากกว่าคนธรรมดา แต่เขาก็ยังคิดเช่นเดียวกัน
ยอดฝีมือของต้าลู่ต้องมีความมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือไม่ว่าจักรพรรดินีจะคิดอย่างไร ไม่ว่าจะมีการต่อสู้ทางการเมืองเบื้องหลังพิธีสวรรค์พิจิตอย่างไร เมื่อพิธีดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมเนียม เขาก็จะไม่แพ้เพราะไม่มีใครเอาชนะเขาได้
เขายืนอยู่บนลานประลอง รู้สึกถึงสายตาที่มองมาจากรอบกาย เขาก็ไม่หลงใหลไปกับมันหรือรู้สึกรำคาญ
คนอื่นบนลานประลองก็สุขุมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานหรือองค์ชายรองของดินแดนต้าซี หรือว่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจคนอื่น พวกเขาล้วนเป็นคนสำคัญจึงคุ้นเคยกับการเป็นที่สนใจของฝูงชน
ในตอนนี้ พวกเขาแค่ต้องรอเงียบๆ รอให้ผู้ผ่านการคัดเลือกคนอื่นที่เหลือปรากฏกายขึ้น
ส่วนพวกที่ผ่านการคัดเลือกพวกนั้นจะส่งผลอย่างไรกับพวกเขา พวกเขาไม่สน คนที่สามารถเอาชนะการต่อสู้มากมายหลายรอบมาได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา แต่คนที่มาจากเขตยากจนห่างไกลจะสามารถทำให้พวกเขากลัวได้อย่างไร
ในตอนนี้ มีชาวบ้านบางคนมองลงไปด้วยสายตาสงสัย
วังหลวงกับหอเทียนโส่วตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเมือง หากต้องการเดินไปก็ต้องเดินขึ้นเนินไม่ก็ต้องเดินผ่านบันไดสู่สวรรค์ที่ทอดตัวอยู่ตรงใจกลางเมือง
เสียงทุ้มดังมาจากตีนบันไดสู่สวรรค์ ดังเหมือนกับเสียงกลองรบ
ฝูงชนรู้ว่ามันไม่น่าใช่เสียงกลองรบเพราะยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงตอนเย็นที่จะเป็นช่วงสรุปพิธีสวรรค์พิจิต แล้วมันเป็นเสียงอะไร ทำไมถึงได้หนักแบบนั้นแต่ก็ยังน่าตื่นเต้นจนปราณของเพลิงเถื่อนก็ดูเหมือนจะทรงพลังยิ่งกว่าเดิม
น้ำรอบหอเทียนโส่วพลันเริ่มเกิดคลื่น ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานมองดูเงียบๆ ราวกับว่าเห็นบางอย่างในคลื่นน้ำนั่น
องค์ชายรองของดินแดนต้าซีมองดูฝุ่นฟุ้งขึ้นจากก้อนอิฐตรงหน้าเมืองพระราชวังและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยใช้ความคิด
เสี่ยวเต๋อมองไปทางบันไดสู่สวรรค์ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
ยอดฝีมืออย่างพวกเขาย่อมตระหนักได้นานแล้วว่าเสียงที่มาจากด้านล่างไม่ใช่เสียงกลองแต่เป็นเสียงฝีเท้า
ปัญหาก็คือมีคนมากมายแค่ไหนถึงจะเดินจนเกิดการสั่นสะเทือนขนาดทำให้น้ำรอบหอเทียนโส่วเกิดคลื่นได้ ทำให้ฝุ่นจากอิฐหน้าเมืองพระราชวังฟุ้งขึ้นได้
คนพวกนี้ต้องเดินด้วยความเป็นระเบียบเพียงใดถึงไม่เกิดเสียงอื่นใดนอกจากเสียงย่ำเท้าราวกับเสียงตีกลองรบ
ผู้คนมองลงไปมากขึ้น
สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชมที่มีให้กับเสี่ยวเต๋อกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซีก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตกใจ
……
……
ชาวบ้านมากมายปรากฏตัวขึ้นบนบันไดสู่สวรรค์ พวกเขาสวมชุดเรียบง่ายธรรมดา บ้างก็สวมเสื้อผ้าเก่าขาด ทั้งหมดส่งกลิ่นเหม็นทีเดียว
พวกเขามาจากเมืองตอนล่างอย่างเห็นได้ชัด บางทีอาจมาจากเขตริมแม่น้ำด้วยซ้ำ
ชาวเมืองที่สวมเสื้อผ้าหรูหราตอนบนของเมืองย่อมเยาะเย้ยเสื้อผ้าขาดวิ่นของกลุ่มคนยากจนเหล่านี้ พวกคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์พกถุงหอมติดตัวยอมยกมือขึ้นมาปิดปากปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นเหม็นเหงื่อที่มาจากคนจนพวกนั้นและมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าดูถูก แต่วันนี้พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะว่าคนจนพวกนี้มีมากเกินไป
บันไดสู่สวรรค์เต็มไปด้วยคนมากมายนับไม่ถ้วน นี่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
ฝูงชนเดินเงียบๆ ขึ้นมาราวกับคลื่นซัดฝั่ง กลบบันไดสู่สวรรค์ไว้ใต้เกลียวคลื่นและมุ่งหน้ามาทางเมืองพระราชวัง
เจ้าหน้าที่ซึ่งรับหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยย่อมคิดถึงคำว่า ‘การรวมตัวประท้วง’ ขึ้นมาและสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที แต่ก็ตระหนักได้ในทันทีว่าไม่ใช่แบบนั้น แม้ว่าฝูงชนยากจนจากเมืองชั้นล่างจะมีสายตาจริงจังแต่ก็ไม่บ้าคลั่งมีแค่ความเคารพและปรารถนา
ชาวบ้านพวกนี้อยากใช้พิธีสวรรค์พิจิตเป็นข้ออ้างมาหน้าเมืองพระราชวังที่ปกติแล้วเป็นเขตหวงห้ามเพื่อดูทิวทัศน์อย่างนั้นหรือ
แต่นี่ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะไม่มีความหวาดกลัวหรือกระวนกระวายบนใบหน้าของฝูงชน ในทางกลับกันพวกเขาดูจะภาคภูมิใจแทน
ที่สำคัญ ฝูงชนที่ยากจนไม่แม้แต่จะมองไปที่เมืองพระราชวังอันโอ่อ่าแต่มองตรงไปเท่านั้น
.……
……
.……
……
เห็นภาพนี้มีคนสำคัญมากมายของเผ่าปีศาจที่ต้องเลิกคิ้วขึ้น รวมถึงคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินตรงหน้าตำหนักที่สูงที่สุด มู่ฮูหยิน
ขุนนางเผ่าปีศาจคนหนึ่งถามขึ้นด้วยใบหน้ามืดมน “เกิดอะไรขึ้น”
เจ้าหน้าที่ซึ่งได้ไปถามตอนที่พวกฝูงชนออกจากเมืองตอนล่าง ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่คนนั้นรายงาน “พวกเขาติดตามผู้ผ่านการคัดเลือกมา”
ขุนนางถามอย่างประหลาดใจ “เมืองด้านล่างจะสร้างคนแบบไหนได้กัน ต่อให้มีคนแข็งแกร่งก็ตาม ทำไมถึงมีคนมากมายตามเขามาด้วย”
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีชาวบ้านติดตามผู้ผ่านการคัดเลือกมายังเมืองพระราชวังเพื่อดูเรื่องตื่นเต้น
แต่ที่ผิดปกติก็คือวันนี้มีคนจากเมืองด้านล่างติดตามผู้ผ่านการคัดเลือกมามากมายเกินไป
และคนพวกนี้ก็มีอารมณ์แตกต่างไปจากปกติอยู่บ้าง
……
……
ฝูงชนที่ยากจนจากตอนล่างของเมืองไม่ได้มองไปที่เมืองพระราชวัง ไม่ได้มองไปที่หอเทียนโส่ว พวกเขาแค่มองตรงไป
ตรงหน้าของพวกเขามีคนผู้หนึ่ง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มเผาหมีธรรมดาคนหนึ่ง ดูสำรวมจนแทบจะดูเหมือนทึมทึบอยู่บ้าง
หนุ่มเผ่าหมีคนนี้สวมชุดสะอาดเรียบง่ายและมีใบหน้าธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น
แต่มีคนสำคัญมากมายที่สังเกตเห็นว่าฝูงชนจากเมืองตอนล่างรักษาระยะห่างจากหนุ่มเผ่าหมีผู้นี้เอาไว้
หากบอกว่าฝูงชนจากเมืองตอนล่างเป็นเหมือนกับคลื่นใหญ่ หนุ่มเผาหมีก็เหมือนกับก้อนหินที่น้ำทะเลหนีห่างด้วยความกลัว
ความห่างนี้อาจเป็นตัวแทนของความเคารพเช่นกัน
ฝูงชนจากเมืองตอนล่างมองไปที่ชายหนุ่มเผ่าหมีด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
นอกจากความเคารพ ก็ยังมีความชื่นชมและความสับสนอยู่เจือจาง
มันเหมือนกับว่าพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความตกใจจนแม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อาจที่จะสลัดทิ้งไปได้หมด
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่