ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 136 แสงโพล้เพล้เดียวกัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“คู่ต่อสู้คนแรกของเขาคือทายาทของเผ่าเซียง ทั้งสองคนใช้กำลังอย่างเดียวปะทะกันและทายาทเผ่าเซียงเป็นฝ่ายแพ้”

บนแท่นสังเกตการณ์ภายในเมืองพระราชวัง กรรมการเผ่าหลี่ที่รับหน้าที่ตัดสินแพ้ชนะโค้งกายเล็กน้อย บนแท่นสังเกตการณ์ค่อนข้างว่างเปล่า สมาชิกสภาผู้อาวุโสและขุนนางขั้นสูงของราชสำนักเผ่าปีศาจอยู่ในตำหนักหินที่มืดหม่น กำลังมองดูรายงานที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาอย่างเคร่งขรึม

เมื่อได้ยินคำพูดของกรรมการเผ่าหลี่ มีหลายคนมองไปที่ร่างใหญ่ยักษ์บนเก้าอี้สูงสุด

ผู้อาวุโสใหญ่เป็นผู้นำของเผ่าเซียงเช่นกัน

ทำไมทายาทเผ่าเซียงถึงไปประลองที่ถนนต้นสน แล้วยังแพ้อีกด้วย

ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่ยังคงปิดอยู่ราวกับว่ากำลังหลับ ไม่ตอบสนองต่อคำพูดพวกนี้ พวกผู้มีอำนาจใจตำหนักส่ายหน้าและกลับไปสนใจรายงานต่อ ขุนนางขั้นสูงคนหนึ่งพลันกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตะลึง “คู่ต่อสู้คนต่อมาคือเนี่ยฉื่ออย่างนั้นหรือ”

คำพูดนี้ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้นในตำหนักหิน เห็นได้ชัดว่านี่ทำให้ทุกคนในตำหนักประหลาดใจ สำหรับคนสำคัญในเผ่าปีศาจเนี่ยฉื่อก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่ก็ยังนับว่าเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงทำให้พวกเขาต้องคิด หากเป็นเขาจริงแล้วเขาแพ้ได้อย่างไร

“เนี่ยฉื่อถูกต่อยตายเพราะดาบของเขาเร็วสู้หมัดของคู่ต่อสู้ไม่ได้”

กรรมการเผ่าหลี่เผ่าหลี่ไม่รอฟังเสียงอุทานด้วยความตกใจจากในโถง ก้มหน้าและกล่าวต่อ “ในรอบที่สามคู่ต่อสู้ของเขาคือหานเสี้ยวเต้า”

เสียงตะลึงดังออกมาจากในตำหนัก “รอเดี๋ยวนะ หานเสี้ยวเต้าที่เจ้าพูดถึงคือคนที่พวกเรารู้จักนั่นใช่ไหม”

เสียงของกรรมการสั่นยามที่ตอบกลับ “ขอรับ แล้วเขาก็แพ้เช่นกัน”

อีกคนถามด้วยความสงสัย “จากนั้นเล่า”

กรรมการเผ่าหลี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนความสะเทือนใจจากการประลองยังไม่หมดไป

“คู่ที่สี่ก็คืออู๋อวี้ซึ่งพ่ายแพ้เช่นกัน”

“อู๋อวี้?” คนผู้หนึ่งถามด้วยความตกใจ “เจ้าแน่ใจนะ เขาแพ้ได้อย่างไร”

ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่ก็สังเกตเห็นว่ามีชื่ออันโด่งดังหลายชื่อบนรายงานและขมวดคิ้ว “รอเดี๋ยว ข้าไม่เข้าใจ ทำไมถึงมียอดฝีมือมากมายไปปรากฏตัวบนลานประลองห่างไกลที่เมืองด้านล่าง”

กรรมการคนนั้นก้มหน้าต่ำลงอีกไม่กล้าที่จะตอบคำถาม

ไม่มีเพื่อนขุนนางหรือสมาชิกสภาผู้อาวุโสตอบคำถามเขา

ความเงียบอย่างบังเอิญนี้แฝงไว้ด้วยความอับอายอยู่บ้าง

ผู้มีอำนาจมากมายในตำหนักหินรู้คำตอบ เพราะพวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ดำเนินการเรื่องนี้

นอกจากคนแข็งแกร่งอย่างเสี่ยวเต๋อ ผู้อาวุโสเผ่าและขุนนางในราชสำนักเผ่าปีศาจไม่มีความหวังว่าจะได้รับชัยชนะในพิธีสวรรค์พิจิตได้แต่กับองค์หญิง พวกเขาแค่หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ช่วยยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของเผ่าตัวเองได้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกและมีสิทธิ์ได้รับคำอวยพรจากวิญญาณบรรพบุรุษ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ถึงกับมีโอกาสที่จะทะลวงผ่านได้ในเวลาอันสั้น

เพราะเหตุนี้เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหลายต่างก็บังเอิญส่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ไม่โดดเด่นเกินไปแต่ก็มีพรสวรรค์ไปยังเมืองส่วนล่างที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ พวกเขาหวังว่ามันจะเพิ่มโอกาสที่จะเลี่ยงศัตรูแข็งแกร่งทำให้พวกเขามีโอกาสชิงหนึ่งในสามตำแหน่งที่จัดสรรให้กับเมืองส่วนล่างได้

นี่เป็นการกระทำที่มีเหตุผลอย่างมาก มีเผ่าต่างๆ มากมายที่คิดแบบเดียวกัน ในบางแง่มุมพวกเขาก็ยังอาจจบลงด้วยการปะทะกันเอง แต่การประลองในเมืองส่วนล่างก็ยังง่ายกว่าแถวเมืองพระราชวังกับหอเทียนโส่ว

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะจบลงแบบนี้

ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของเผ่าต่างๆ ที่แบกความหวังเอาไว้ล้วนแพ้หมดแล้ว

พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มเผ่าหมีที่ธรรมดามากคนหนึ่ง

ทันใดนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถามอย่างเคร่งเครียด “ต่อให้เขาสามารถเอาชนะมาได้หกรอบอย่างปาฏิหาริย์ได้เป็นตัวแทนของถนนต้นสนในการคัดเลือกขั้นต้นของเขตสามต้นไม้สวรรค์ ได้รับตำแหน่งตัวแทนมาที่หนึ่ง แล้วทำไมมาคนเดียว เขตล่างของเมืองมีสามตำแหน่งไม่ใช่หรือ แล้วอีกสองคนเล่า”

เขาคือผู้นำเผ่ากวางและวันนี้ เขาก็ลอบวางลูกนอกสมรสสุดที่รักของเขาเอาไว้ในเขตใต้ หวังว่าจะมีโอกาสให้ลูกนอกสมรสของเขาได้มีสิทธิ์เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ เขาได้ข่าวมาก่อนแล้วว่าลูกนอกสมรสของเขาเป็นผู้ชนะ แล้วทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัว

“คนผู้นั้นเป็นตัวแทนของถนนเสินเพื่อชิงตำแหน่งในเขตสามต้นไม้สวรรค์ แล้วเขาก็ไปที่แม่น้ำดาว และเขตใต้”

กรรมการเผ่าหลี่นึกถึงภาพนั้น ไม่อาจข่มการถอนหายใจตอนที่กล่าวต่อ “เขาชิงทั้งสองตำแหน่งไปด้วย”

ตำหนักหินเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตกใจและสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งผู้นำเผ่าหมีก็คำรามอย่างโมโห

“เจ้าโง่นี่ต้องการทำอะไร! แค่ตำแหน่งเดียวไม่พอหรือไง! เขาไม่รู้หรือไงว่าไม่อาจโอนย้ายตำแหน่งพวกนั้นได้!”

นี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสและขุนนางมากมายไม่อาจเข้าใจได้ เมื่อเขาได้ตำแหน่งที่เป็นของเขตสามต้นไม้สวรรค์มาแล้วทำ เขาก็สามารถเข้าสู่ต้นไม้สวรรค์เพื่อรับการชำระจากเพลิงเถื่อนได้ในวันพรุ่งนี้ ทำไมเจ้าหมอนี่ไม่ยอมหยุดแล้วไปที่แม่น้ำดาวกับเขตใต้เพื่อชิงอีกสองตำแหน่งด้วย

แม้ว่ากฎของพิธีสวรรค์พิจิตจะไม่ได้ห้ามเอาไว้ แม้ว่าเจ้าหมอนี่จะแข็งแกร่งมาก แต่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ยังไม่ปรากฏตัว มีความหมายอะไรในการทำเช่นนี้นอกจากจะสิ้นเปลืองปราณแท้และเรี่ยวแรงไปเปล่าๆ

“ข้าไม่รู้” กรรมการเผ่าหลี่นึกถึงคำพูดของเจ้าหมอนั่นตอนที่เดินขึ้นลานประลองและกล่าวอย่างลังเล “น่าจะเป็นเพราะ…เขาไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิต ตราบใดที่มีคนเข้าร่วมเข้าก็จะกำจัดออกไป”

นี่มันเหตุผลอะไรกัน ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ

ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “ที่ข้าไม่เข้าใจคือเขาชนะได้อย่างไร”

นี่ไม่ใช่ความสับสนแต่เป็นไม่เชื่อ เป็นความกังขา

เห็นได้ชัดว่ามีคนสำคัญมากมายของเผ่าปีศาจรวมถึงพวกขุนนางที่คิดว่าเรื่องนี้ประหลาดเกินไป ทำให้สงสัยอย่างยิ่ง

แต่กรรมการคิดต่างไป กล่าวอย่างเหม่อลอย “เขาใช้กำปั้น”

“กำปั้น?”

“ใช่แล้ว ไม่ว่าตอนพบกับเนี่ยฉื่อ หานเสี้ยวเต้าหรือยอดฝีมือคนอื่น เขาก็ใช้แค่หมัดเดียวเท่านั้น”

“หมัดเดียว?”

“ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เขาขึ้นลานประลอง เขาจะใช้แค่หมัดเดียวแล้วคู่ต่อสู้ก็ล้มลง”

ตำหนักหินเงียบไปเป็นเวลานาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว

มันยังไม่ถึงยามสนธยา ดวงตะวันยังอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า แต่ลมกลับเย็นเยียบอยู่บ้าง

กรรมการเผ่าหลี่ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ เสื้อผ้าถูกลมพัด มองดูธงที่ลุกไหม้ใต้แสงตะวันยามเย็น

จากเช้ายันเย็น มีการประลองนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นในพิธีสวรรค์พิจิต

แต่ก็ชัดเจนว่าการประลองที่สำคัญที่สุดในวันนี้ก็คือเก้าการประลองที่เกิดขึ้นในเขตตอนล่างของเมือง

ในการประลองทั้งเก้านี้ คนผู้นั้นใช้ทั้งหมดเก้าหมัด

หนึ่งหมัดต่อหนึ่งการประลอง

หนึ่งหมัดเพื่อล้มคู่ต่อสู้

นี่เป็นแนวคิดแบบใดกัน

เป็นภาพแบบใดกัน

คนสำคัญเหล่านี้คิดเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย

ใช่ ไม่ว่าจะเป็นคนกล้าหาญหรือมีเสน่ห์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะสร้างความปั่นป่วนมากเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะทำให้เหล่าคนยากจนจากเมืองส่วนล่างติดตามคนผู้นั้นอย่างเงียบๆ เป็นระเบียบได้ มองเขาด้วยความชื่นชมและเคารพได้

ปัญหาก็คือเจ้าหมอนี่ไม่ใช่ยอดฝีมือที่เผ่าต่างๆ ส่งไปแต่เป็นคนของเมืองตอนล่างอย่างแท้จริง มันเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในรายงานว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองส่วนล่างมาหลายปี เป็นแรงงานคนหนึ่ง เขาเป็นช่างทาสีมาก่อนแล้วตอนนี้ก็ล้างจานอยู่ในโรงเตี๊ยม

ผู้มีอิทธิพลภายในตำหนักห่างเหินจากพวกชนชั้นล่างอย่างมาก แต่พวกเขารู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไรและอันตรายแค่ไหน

“เจ้าหมอนี่เป็นใคร ชื่อของเขาดูคุ้นอยู่บ้าง”

คำพูดนี้ทำลายความเงียบ สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่จุดหนึ่งในตำหนัก

มีร่างกำยำอยู่ที่จุดนั้น แต่เหมือนกับผู้นำเผ่าเซียง คนผู้นี้นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าเขาหลับอยู่ แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือขุนนางขั้นสูงของราชสำนักเผ่าปีศาจก็ไม่ปล่อยให้เขานอนต่อไป

เพราะเขาเป็นผู้นำของเผ่าหมี

ผู้นำเผ่าหมีกล่าวช้าๆ “อย่าได้มองข้า ข้าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ ข้าไม่มีสิทธิ์สั่งเขา ส่วนเขาเป็นใคร… พวกท่านน่าจะรู้ หากเจ้าลืมชื่อเขาแล้วมีสิทธิ์อะไรมานั่งที่นี่”

……

……

ผู้คนได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองตอนล่างอย่างรวดเร็ว

ชาวเมืองร่ำรวยของเมืองตอนบนมองไปที่คนผู้นั้นด้วยความเคารพและหวาดกลัวอย่างล้ำลึก

สาวงามมากมายมองดูร่างนั้นด้วยสายตาร้อนแรง

ส่วนผู้ผ่านการคัดเลือกคนอื่นอีกหกคนซึ่งได้สิทธิ์เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ ต่างก็มองไปที่ร่างนั้นด้วยอารมณ์ที่ต่างไป

บางคนก็มองมาด้วยความกลัว บ้างก็มีเจตนาสังหาร

องค์ชายรองของดินแดนต้าซีมีสายตาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย คิดอะไรอยู่ไม่อาจทราบได้

ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานมองไปที่เมืองพระราชวัง คิดอะไรอยู่ก็ยากบอกได้

เสี่ยวเต๋อมองไปที่ร่างนั้นอย่างสุขุม คิดเรื่องรายงานการประลองที่เขาเพิ่งได้รับมา

เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยพบหนุ่มเผ่าหมีคนนี้มาก่อน ดังนั้นเหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาได้

ประชาชนหลายพันจากเมืองตอนล่างหยุดอยู่บนลานกว้างตรงหน้าเมืองพระราชวังราวกับกระแสน้ำ

มีที่ว่างตรงหน้าฝูงชนทำให้ร่างนั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

คนสำคัญบนแท่นสังเกตการณ์ไม่พูดอะไรสักคำ

จักรพรรดินีที่นั่งอยู่สูงขึ้นไปก็ไม่กล่าวอะไร

นี่เป็นการยอมรับโดยไม่เอ่ยปาก

เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ดำเนินพิธีสวรรค์พิจิตถาม “เจ้ามาจากเผ่าไหน แจ้งชื่อมา”

ชื่อของผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว การแจ้งชื่อเป็นแค่ธรรมเนียมปฏิบัติในการยืนยันตัวตนของผู้เข้าร่วม การประกาศเผ่านั้นย่อมเป็นการแสดงถึงเกียรติยศอย่างหนึ่ง

เมืองพระราชวังเงียบงัน คนนับไม่ถ้วนกำลังมอง ต้องการจะรู้คำตอบ

“เผ่าหมี แต่วันนี้ข้าไม่ได้สู้เพื่อเผ่าของข้า”

แสงโพล้เพล้ส่องต้องใบหน้าเขา ดูราวกับแสงที่สะท้อนจากผิวทะเลสาบ

ริมทะเลสาบมีต้นไทรใหญ่ มีครัวอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

เราหรี่ตา แม้ว่ายากที่จะกล่าวมันออกมาเพราะแสงอันเจิดจ้าหรือเพราะเขากำลังยิ้มอย่างจริงใจ

“สำนักฝึกหลวง เซวียนหยวนผ้อ”