ราชันเร้นลับ 1222 : ‘สถาบันวิจัย’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ในท่าถือไม้เท้าด้วยมือข้างหนึ่ง ไคลน์ใช้มืออีกข้างล้วงหยิบเหรียญทองออกจากความว่างเปล่าและดีดขึ้นฟ้า

วิวรณ์ผลการทำนายปรากฏขึ้นในใจขณะเหรียญทองกำลังหมุนรอบตัวเองกลางอากาศ

เป็นฉากของหุบเหวร่องลึก ด้านล่างเป็นอาคารกว้างที่ดูหนาซึ่งปกคลุมไปด้วยชั้นสีเทาอ่อน

ไคลน์ได้รับรายละเอียดของเชอร์โนบิลในยามที่เคยเห็นครั้งแรกอย่างครบถ้วน โดยสิ่งนี้มิได้มาจากโลกวิญญาณ หากแต่เป็นจิตใต้สำนึกของตัวไคลน์เอง

ชายหนุ่มสร้างฉากที่คมชัดขึ้นภายในใจด้วยความช่วยเหลือจากวิชาทำนายฝัน

อัญมณีสีดำบนหัวไม้เท้าส่องแสงทันทีที่ภาพสมบูรณ์ ภาพฉายของไคลน์หายตัวไปพร้อมไม้เท้าและโผล่เหนืออาคารสีเทาอ่อน

ไคลน์เดินทางจากสุดขอบตะวันออกของดินแดนเทพทอดทิ้งมายังเชอร์โนบิลภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที!

หนึ่งในพลังหลักของไม้เท้าดวงดาวก็คือ หากฉากในจินตนาการของผู้ถือยังมีอยู่จริงบนโลกนี้ ไม้เท้าดวงดาวจะช่วยให้ผู้ถือข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหมดมาโผล่ในฉากดังกล่าวทันที

แต่มีเงื่อนไขสำคัญก็คือ ฉากในจินตนาการจะต้องสมบูรณ์เชิงโครงสร้าง ไม่มีจุดใดเลยที่แตกต่างจากต้นฉบับ

การที่ไคลน์เลือกลงมายังด้านล่างหุบเหวลึกซึ้งเป็นที่ตั้งของเชอร์โนบิลโดยตรง มิใช่หมอกสีเหลืองด้านบน เพราะทราบดีว่าบุตรชายคนสุดท้องของราชาคนยักษ์ เทพแห่งเกียรติยศบลาเดล ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์แล้วหลังเป็นอิสระจากคำสาป นั่นหมายความว่าบริเวณโดยรอบทั้งหมดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จุดเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบคือเชอร์โนบิลปริศนาซึ่งมีคุณค่าในสายตาเทพสุริยันบรรพกาลและอามุนด์

แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าหุบเหวลึกและอาคารสีเทาจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเสียทีเดียว ไคลน์เองก็เตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวไว้แล้วทุกสิ่งล้วนเป็นของปลอมไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ใช้งานไม้เท้าหรือตัวไม้เท้าเอง สูญหายไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย

ไคลน์ที่ลอยตัวกลางอากาศไม่มีเวลาแม้แต่จะได้สำรวจสถานการณ์รอบตัว ร่างกายทิ้งดิ่งลงเบื้องล่างในพริบตา

ชายหนุ่มมิได้สวมยุบพองหิวโหยหรือแปลงกายเป็นสัตว์ปีก ย่อมบินไม่ได้ในสถานะปัจจุบัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าครึ่งเทพเส้นทางนักทำนายจะแข็งแกร่งและพิสดารสักเพียงใด ก็ยังมีบางมุมที่เป็นมนุษย์ธรรมดา

ท่ามกลางกระแสความคิด พลังพิเศษชนิดหนึ่งผุดขึ้นในความทรงจำ

อัญมณีบนหัวไม้เท้าดวงดาวส่องแสงทันทีพร้อมกับสร้างสายลมห้อมล้อม

สายลมดังกล่าวทำให้เสื้อกันลมสีดำของไคลน์พัดกระพือ แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ร่วงหล่นช้าลง

มือขวาไคลน์ขยับเล็กน้อยในระหว่างนั้น เป็นการส่งภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวกลับไปยังตำแหน่งเดิม เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุเนื่องจากจินตนาการฉากใดในความคิดโดยไม่ตั้งใจ

ทันทีหลังจากนั้น มือซ้ายชายหนุ่มเลื่อนขึ้นมากดหมวกบนศีรษะ ตามด้วยการดึงภาพฉายของตะเกียงออกจากความว่างเปล่าก่อนที่สายฟ้าเส้นถัดไปจะผ่าลงมา

ฝ่าเท้าไคลน์ที่สวมรองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้นก้นหุบเหวโดยอาศัยแสงสลัวจากตะเกียง และดูเหมือนว่าภายในความมืดมิดรอบตัวจะมีสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่

เบื้องหน้าชายหนุ่มคือเชอร์โนบิลสีเทาอ่อนที่แบ่งออกเป็นหลายชั้น

แสงของสายฟ้าผสานเข้ากับแสงจากตะเกียง ช่วยให้ไคลน์มองเห็นสถานการณ์รอบตัวอย่างชัดเจน

อาคารสีเทาอ่อนที่หนาและกว้างหลังนี้ไม่มีประตูแม้แต่บานเดียว!

หืม…ทุกซอกมุมถูกผนึก…เราจำได้ว่าเทพสุริยันบรรพกาลเดินออกมาโดยการสร้างรอยแยกมายาบนผนังสีเทา…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์นึกทบทวนฉากในความทรงจำพลางท่องพระนามเต็มของเดอะฟูล

ณ สุดขอบตะวันออกของดินแดนเทพทอดทิ้ง ด้านข้างม่านหมอกหนาทึบใกล้กับเมืองจันทรา ไคลน์ผู้ซ่อนตัวอยู่ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ถูกเข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดทันที จากนั้นก็มองเข้าไปในจุดแสงแห่งการสวดวิงวอนเพื่อตรวจสอบรายละเอียดด้วยตาทิพย์

ไม่มีอามุนด์แม้แต่ตัวเดียวไม่ว่าจะเป็นก้นหุบเหวหรือด้านบนที่ยังมีหมอกสีเหลืองเจือจาง

สำหรับเชอร์โนบิล แม้แต่ตาทิพย์ของไคลน์ก็มิอาจส่องเข้าไปตรวจสอบด้านในได้

คล้ายกับด้านหลังของชั้น ‘สีเทาอ่อน’ จะไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

คิดไว้แล้วว่าต้องไม่ธรรมดา…เป็นถึงสถานที่ที่เทพสุริยันบรรพกาลเดินออกมาครั้งแรก…หลังจากถอนหายใจยาว ไคลน์ออกจากปราสาทต้นกำเนิดและกลับไปยังช่วงก่อนยุคสมัยที่หนึ่งในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์

‘ไคลน์’ ด้านนอกเชอร์โนบิลได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็เหยียดแขนและดึงบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ออกจากความว่างเปล่า

มันพลิกไปยังหน้าหนึ่งและเตรียมใช้พลังเปิดประตูของผู้ฝึกหัดที่ถูกบันทึกไว้

พฤติกรรมดังกล่าวค่อนข้างบุ่มบ่ามสำหรับไคลน์ แต่นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเมื่อพิจารณาว่าร่างนี้เป็นเพียงภาพฉาย

พลังของเส้นทางนักทำนายทำให้เรารอบคอบและประมาทในเวลาเดียวกัน…ต้องเตรียมการวางแผนอย่างรอบคอบก่อนลงมือ แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็กลายเป็นคนประมาททันที…รำพันจิกกัดตัวเองเสร็จ ไคลน์เดินผ่านเข้าไปภายในเชอร์โนบิลอย่างเงียบงัน

ในที่สุดไคลน์ก็เดินผ่านชั้นสีเทาอ่อนหลังจาก ‘เปิดประตู’ อยู่หลายครั้ง เบื้องหน้าเป็นบานประตูโลหะขนาดใหญ่ที่เปิดค้างไว้

บานประตูโลหะมิได้สูงมาก แค่ราวสองเมตรครึ่งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีไว้ให้มนุษย์ใช้งาน

หน้าประตูมีคราบสีดำสองจุดและปืนกลสองกระบอกที่ล้ำสมัยกว่าอาวุธในยุคปัจจุบันไปไกล

ปืนกลสองกระบอกดังกล่าวดูคล้ายกับสิ่งที่ไคลน์เคยเห็นในนิตยสารจากโลกเก่า แต่ก็ไม่มั่นใจสักเท่าไรเพราะไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ด้านปืน

ไคลน์ไม่ได้หยิบพวกมันขึ้นมาตรวจสอบ เพราะสัมผัสวิญญาณแจ้งอย่างชัดเจนว่าปืนกลสองกระบอกนี้อยู่ในสภาพผุกร่อนโดยสมบูรณ์ หากมีสิ่งใดไปสัมผัสเข้าจะสลายตัวทันที

จ้องมองสักพัก ชายหนุ่มสลายบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ก่อนจะเดินถือตะเกียงผ่านคราบดำสองจุดและผ่านเข้าไปในประตู

ด้านหลังประตูคือทางเดินกว้าง สองข้างทางมีห้องขนาดแตกต่างกันออกไป โต๊ะและเก้าอี้ภายในห้องล้มระเนระนาด บ้างชำรุดและบ้างยังมีสภาพดี บนผนังและพื้นเต็มไปด้วยคราบสีดำ

ดูเหมือนกับ…สถาบันวิจัย…ไคลน์กลั่นกรองข้อสรุปจากสภาพแวดล้อมและโครงสร้างโดยรวม

ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาค้นหานานก็ได้พบกับห้องที่มีเครื่องจักรชำรุด บนโต๊ะภายในห้องมีกระดาษสีเหลืองหลายแผ่นวางอยู่

คล้ายกับใครบางคนรวบรวมมาวางไว้ที่นี่

เทพสุริยันบรรพกาลหรืออามุนด์? ไคลน์ก้าวเข้าไปในห้องหลังจากลังเลสักพัก

เมื่อแสงสลัวจากตะเกียงขับไล่ความมืดภายใน ไคลน์หยิบกระดาษขึ้นมาจำนวนหนึ่งพลางกวาดตาอ่าน

สิบวินาทีถัดมา ไคลน์วางกระดาษลงด้วยมุมปากสั่นกระตุก

มันอ่านข้อความบนกระดาษไม่ออกแม้แต่คำเดียว!

กว่าเราจะสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษสักครั้งยังเจียนตาย นับประสาอะไรกับภาษาอื่น? ไคลน์รู้สึกเข้าใจหัวอกผู้วิเศษทั่วโลกที่เคยพยายามอ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์

ชายหนุ่มหายใจออกเชื่องช้าพลางเหยียดแขนเข้าไปในความว่างเปล่าเพื่อดึงบางสิ่งออกมา

สิ่งนี้คืออุปกรณ์แปลภาษาที่โจวหมิงรุ่ยซื้อเตรียมไว้สำหรับเที่ยวต่างประเทศหลังจากเก็บเงินมานาน มันเคยวางอยู่ในกระเป๋าใส่แล็ปท็อปด้านข้างชายหนุ่มขณะประกอบพิธีกรรมเสริมดวงชะตา

สำหรับไคลน์ ความเจ๋งของอุปกรณ์แปลภาษาชิ้นนี้คือการทำงานแบบออฟไลน์ ขอเพียงคำศัพท์ไม่อยู่นอกเหนือคลังข้อมูลที่บันทึกไว้

ในที่สุดมันก็เข้าใจความหมายบนกระดาษหลังจากกดปุ่มอยู่สักพัก

“…งานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันที่ผุดขึ้นมาใหม่ในบ่อน้ำมันแห้ง…ทำไมพวกเขาถึงต้องสร้างสถาบันวิจัยในสถานที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้?”

“…พระเจ้า พวกเขาพบอะไรในส่วนลึกของบ่อน้ำมันกันแน่…”

“…ช่างเป็นวัสดุที่น่าสนใจมาก…”

“…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณหมอกลายเป็นแอ่งน้ำมันสีดำต่อหน้าต่อตาเรา!”

“…มีคนกลายเป็นน้ำมันมากขึ้นเรื่อยๆ แถมสถาบันวิจัยแห่งนี้ก็ยังถูกปิดตายจากภายนอก…ไม่มีใครออกไปได้แม้แต่คนเดียว…”

“…เสียสติไปแล้ว พวกเขาเสียสติไปแล้ว…พวกเรายังคงปรกติดี แต่อาหารเหลือน้อยเต็มที…”

“…ดูเหมือนว่าเราจะได้ยินเสียงบางอย่างจากใต้ดิน มันกำลังเรียกหาเรา…ท่านกำลังเรียกหาเรา!”

ข้อความอันเรียบง่ายและตรงไปตรงมาทำให้ไคลน์เย็นวาบไปถึงสันหลัง คล้ายกับกำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความตาย

ขณะเดียวกันก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว

การกัดกร่อนจากใต้ดิน

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดคือการทดลองที่ไม่จำเป็นเกี่ยวกับวัสดุประหลาดที่พบในบ่อน้ำมันแห้ง? จากนั้นโลกก็ถูกทำลาย? แต่ถ้าเป็นเหตุที่เกิดจากความบังเอิญ ก็คงไม่สมเหตุสมผลที่จักรพรรดิโรซายล์ ตัวเรา และคนอื่นจะถูก ‘ส่งข้ามโลก’ ล่วงหน้า…หรือในความบังเอิญมีความไม่บังเอิญ และความไม่บังเอิญมีความบังเอิญ? เช่นการที่ใต้ดินกัดกร่อนโลกของเราอย่างลับๆ มานานแล้ว แต่ไม่ได้สร้างเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก จนกระทั่งทีมวิจัยตรวจสอบลึกลงไปและทำให้ ‘พระองค์’ ตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์? ไคลน์อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่

ชายหนุ่มถือตะเกียงเดินออกจากห้องและตรงไปยังส่วนลึกของสถาบันวิจัย ระหว่างทางก็คอยสอดส่องสิ่งที่น่าสนใจ

การมองเห็นของมันมืดลงกะทันหันหลังจากเดินไปได้เกือบหนึ่งนาที

แสงสว่างกว่าครึ่งจากตะเกียงถูกพื้นที่ด้านหน้าดูดกลืนเข้าไป!

หลังจากตั้งใจเพ่งมอง ไคลน์พบหน้าผาชันอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว

สถาบันวิจัยในจุดดังกล่าวถล่มลงไปด้านล่างซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง

คล้ายกับไคลน์ได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบา เป็นเสียงที่ดังจากใต้ดินตรงเข้ามาในใจ

ไคลน์เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นั่นคือประสบการณ์เมื่อครั้งได้ยินเสียงด้านหลังบานประตูทองแดงใต้โถงแห่งความจริง

ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางผงะถอยหลังสองสามก้าว เตรียมสลายภาพฉายทิ้งทุกเมื่อ

ทันใดนั้นเอง ฝ่ามือที่ผอมซูบราวกับมีเพียงหนังหุ้มกระดูกโผล่ขึ้นจากความมืดและจับขอบ ‘หน้าผา’ ไว้

จากนั้นก็มีใครบางคนกระโดดขึ้นมายืนหน้าไคลน์

แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ สวมแว่นตาขาเดียวไว้บนตาขวา ไม่ใช่ใครนอกจากเทวทูตกาลเวลาอามุนด์

แต่มีบางสิ่งแปลกไปเกี่ยวกับอามุนด์ตัวนี้ สภาพของมันคล้ายกับโครงกระดูกสวมหนังมนุษย์เสียมากกว่า

ไคลน์ผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เห็นเลือดเนื้อของอีกฝ่ายเริ่มเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย

มันขยับกรอบแว่นพลางส่งเสียง

“หืม…มีแขกมาเยี่ยม…คาดไม่ถึงเลยทีเดียว…เจ้าเป็นใคร?”

…………………