วิชาสายฟ้าสวรรค์เป็นวิชาอันทรงพลังยามหลิ่วหมิงต่อกรศัตรู แต่เพื่อผนึกสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าไว้ในทะเลจิตวิญญาณจึงไม่อาจใช้ได้มาตลอด ตอนนี้ในที่สุดก็กลับเป็นเช่นเดิมแล้ว
เขาพรูลมหายใจช้าๆ เดินไปถึงหน้าดวงตามายา แล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์จากหัวใจหยดหนึ่งออกมา ปากท่องมนตร์เสียงแผ่วเบางึมงำ สองมือสะบัดประสานท่ามือประหลาดท่าแล้วท่าเล่า
เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าตกต้องโลหิต เพียงชั่วลมหายใจออก โลหิตบริสุทธิ์พลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีเลือดดวงหนึ่งผสานเข้าไปในดวงตามายาอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงสัมผัสได้ทันทีว่าสายสัมพันธ์ระหว่างตนกับดวงตามายาแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ถึงขั้นที่เกิดสายสัมพันธ์อันเบาบางที่บอกไม่ถูกคลับคล้ายจะมีแต่ก็เหมือนไม่มีกับมิติกรงขังขึ้นมาเลือนราง
“หลัวโหวพูดความจริง!” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็ออกจากมิติของกรงขังกลับมายังก้นแม่น้ำมืดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แล้วนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นรอคอยอย่างนิ่งสงบ
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงคำสั่งของหลัวโหวก็ดังขึ้นในหูเขา ก่อนที่ฟองอากาศลึกลับจะผุดขึ้นมาในทะเลจิตวิญญาณ มันสั่นสะเทือนวูบหนึ่ง หลังจากนั้นพลังเวทบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายหนึ่งก็ทะลักออกมาจากด้านในไม่ขาดสาย
“มาแล้ว!”
หลิ่วหมิงมีสีหน้ายินดี เขารีบโคจรพลังเวท แก่นแท้สีดำขาวในทะเลจิตวิญญาณเปล่งแสงเรืองรองสีดำสลับขาวสายหนึ่งออกมาล้อมพลังจิตวิญญาณสายนี้เอาไว้แล้วดึงรั้งลงไปในทะเลจิตวิญญาณ
พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณผสานเป็นหนึ่งกับพลังจิตวิญญาณสายนี้อย่างรวดเร็วยิ่ง พร้อมกับที่กระแสความอบอุ่นสายแล้วสายเล่าก่อกำเนิด พวกมันก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นวังน้ำวนพลังจิตวิญญาณลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าบริเวณตันเถียนร้อนวูบเลือนราง พลังเวทด้านในทะเลจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นทีละน้อย
……
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงตรากตรำศึกษาเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สิบ พร้อมกับใช้พลังแบ่งสมาธิทำสองอย่างกลั่นหยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดต่อ
หยดพลังวารีเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งบนแผ่นดินจงเทียน อุตส่าห์มาอยู่ที่ยมโลก หยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดเอื้อมมือก็คว้าได้ เขาย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสดีครั้งใหญ่นี้ไป
ทุกสองสามเดือน หลัวโหวจะใช้วิชาลับถ่ายเทพลังจิตวิญญาณส่งพลังจิตวิญญาณในฟองอากาศน้อยเข้ามาในร่างหลิ่วหมิง
เวลาวันแล้ววันเล่าผ่านไป เขตแม่น้ำมืดฟื้นกลับมาเงียบสงบดุจวันวาน
พริบตาเดียวเวลายี่สิบปีก็ผันผ่าน
วันนี้แม่น้ำมืดสีดำสนิทอันกว้างใหญ่ฉับพลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง น้ำวนขนาดสิบกว่าจั้งหลายลูกทยอยรวมตัวกันก่อตัวเป็นน้ำวนสีดำสนิทขนาดมหึมาอย่างยิ่งลูกหนึ่ง
ลมปราณอันหนาวยะเยือกสายแล้วสายเล่าหมุนตามวังน้ำวนแล้วลอยขึ้นด้านบน ทำให้อุณหภูมิรอบด้านลดต่ำลงระดับหนึ่งอย่างฉับพลัน
“ซ่า!”
ใจกลางน้ำวนยักษ์ จู่ๆ ก็มีหยดน้ำกระเซ็นเป็นแถบสูงสิบกว่าจั้ง จากนั้นเงาคนที่ถูกห่อหุ้มด้วยปราณสีดำร่างหนึ่งก็เหาะรวดเร็วออกมาจากใจกลางน้ำวน แล้วพุ่งมาหยุดอยู่กลางท้องฟ้า
ปราณสีดำประหนึ่งสายน้ำสลายอย่างเชื่องช้าเผยให้เห็นร่างคนด้านใน หลิ่วหมิงนั่นเอง!
เวลานี้บนร่างเขาแผ่คลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ระดับพลังของเขาบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางอยู่เลือนราง พลังเวทลึกล้ำอย่างยิ่งถึงขนาดที่ห่างจากระดับแก่นแท้ขั้นปลายอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
“การถ่ายเทพลังจิตวิญญาณยอดเยี่ยมยิ่งนัก เวลาสั้นๆ ยี่สิบปีก็เลื่อนขั้นได้หนึ่งขั้นกว่า!” บนใบหน้าของหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้ายินดีออกมาเลือนรางขณะเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ทว่าแม้วิธีนี้ยอดเยี่ยม แต่ก็เห็นชัดว่าไม่ใช่ทางแก้ระยะยาว เมื่อสองเดือนก่อนหลัวโหวบอกตามตรงว่าหลังจากการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณให้เขาครั้งสุดท้าย จะใช้วิชานี้ไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าจะปลุกจิตวิญญาณอาวุธขึ้นมา เช่นนี้ได้ไม่คุ้มเสีย
หลังจากบอกเรื่องแหล่านี้จบ หลัวโหวก็หายไปอีกครั้ง สองเดือนนี้ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีปฏิกิริยาสักนิด
จากที่เขาคาดเดา น่าจะเป็นเพราะใช้วิชานี้อย่างต่อเนื่อง เขาจึงเสียพลังปราณไปค่อนข้างมาก เวลานี้จึงอยู่ระหว่างหลับใหลเพื่อฟื้นฟู
นอกจากระดับพลังที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้เคล็ดวิชากระดูกดำของเขาก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสิบตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ประกายแสงสีทองอ่อนบนกระดูกทั่วทั้งร่างสว่างขึ้นอีกหลายส่วน ความเร็วในการดูดซับและเปลี่ยนปราณหยินก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
นอกจากนี้เขายังกลั่นหยดพลังวารีจากแม่น้ำมืดได้อีกไม่น้อย ใส่ไว้เต็มภาชนะรูปน้ำเต้าขนาดหนึ่งฉื่อใบหนึ่ง
อย่าดูถูกน้ำเต้าขนาดเท่านี้ใบหนึ่ง ด้านในมีหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเกือบพันหยด น้ำหนักไม่น้อยกว่าหลายล้านชั่ง
หยดพลังวารีมากมายเช่นนี้ หากนำไปที่แผ่นดินจงเทียน อย่างน้อยก็แลกหินจิตวิญญาณได้หลายร้อยล้านก้อน
ตอนนี้เป้าหมายหลายอย่างของเขาบรรลุแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปย่อมไร้ความหมาย เขาพรูลมหายใจยาวครั้งหนึ่งแล้วพลิกมือเรียกแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาแทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน
นี่คือแผนที่ทั่วทั้งแดนวารีมืดที่เขาใช้เงินจำนวนมากซื้อมาตอนอยู่เมืองเหลิ่งเยวี่ย
ยมโลกไม่ใช่สถานที่ซึ่งหลิ่วหมิงสมควรอยู่นาน ตอนนี้อาวุธเวทมุกบรรพตธาราหลอมเสร็จแล้ว กลั่นหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเพียงพอสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำในภายหน้าแล้ว
วันนี้เขาจึงจะค้นหาเคล็ดวิชากระดูกดำครึ่งท้าย พร้อมกับตามหาวิธีออกจากยมโลก
อีกประการหนึ่งเขาคาดการณ์ว่าคงเหลือเวลาก่อนฟองอากาศลึกลับระเบิดครั้งต่อไปอีกไม่กี่ปี พลังเวทระดับแก่นแท้ขั้นกลางของหลิ่วหมิงในตอนนี้น่าจะเพียงพอให้ฟองอากาศลึกลับกลืนกิน แต่เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนก็ยังต้องเตรียมการไว้สักหน่อย
จุดแสงส่องประกายบนแผนที่หยก พวกมันก็คือเมืองแต่ละแห่งในแดนวารีมืด จิตสัมผัสของหลิ่วหมิงมุ่งไปยังจุดแสงที่ใหญ่ที่สุดและสว่างที่สุดจุดหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก นั่นก็คือเมืองเอกของแดนวารีมืด เมืองปี้โยว
สถานที่แห่งนี้ในฐานะที่เป็นเมืองเอกซึ่งใหญ่ที่สุดในแดนวารีมืด น่าจะตามหาร่องรอยของหลายสิ่งที่เขาสนใจหรือไม่ก็เคล็ดวิชากระดูกดำพบ
จิตสัมผัสของหลิ่วหมิงถอยออกมาจากแผ่นหยก เขากระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ ปราณดำรอบตัวหุ้มร่างกายกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
……
สามเดือนให้หลัง ใจกลางพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งในป่าพุ่มไม้สีฟ้าผืนหนึ่งในแดนวารีมืดมีบุรุษร่างใหญ่สูงราวเจ็ดฉื่อที่ใบหน้าซีดจนเป็นสีเทาตนหนึ่งยืนอยู่ รอบร่างมีปราณสีดำเข้มอย่างที่สุดรายล้อม ในมือเขากำกระบี่สีเทายาวสามฉื่อกว่าเอาไว้เล่มหนึ่ง
รอบตัวเขามีภูตเขาเดียวที่คล้ายหมาป่าแต่ก็ไม่ใช่หมาป่าอยู่สามตัว พวกมันล้อมบุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อไว้ตรงกลางจากสามมุม
ภูตเหล่านี้ตลอดทั้งร่างมีลวดลายยมโลกสีน้ำตาลหม่นดวงแล้วดวงเล่าทอแสงวิบวับเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดกระจายอยู่ทั่ว ร่างกายแผ่ลมปราณระดับแก่นแท้ออกมา แต่ลมปราณไม่ค่อยมั่นคงผลุบๆ โผล่ๆ พวกมันส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาเป็นระยะแต่ไม่กระโจนเข้าไป คล้ายกับกำลังหวั่นเกรงคนตรงกลาง
นอกวงล้อมของภูตสามตัวนี้ มีร่างของภูตที่หนังฉีกเนื้อปลิ้น หัวไปทางร่างไปทางอีกสองตัวนอนอยู่ พวกมันตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว หน้าตาของมันดูเหมือนกับภูตสามตัวนี้ตรงกลางทุกประการ
ทันใดนั้นมุมปากของบุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อตรงกลางก็ยกมุมปากโค้งเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่งหายไปจากที่เดิม
แสงสีเทาสว่างวูบวาบกลางอากาศติดกันหลายครั้ง เสียง “ฟึบๆ” หลายเสียงแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน!
บนร่างภูตสองตัวมีรอยแผลเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นในทันใด จากนั้นร่างกายก็ฉีกเป็นชิ้นๆ พร้อมเสียงดังฉึบ
ในที่สุดภูตเขาเดียวตัวสุดท้ายก็คำรามแล้วหมุนตัววิ่งหนี
เวลานี้เองแสงสีเทาเรียวเล็กจนแทบมองไม่เห็นสายหนึ่งก็จมเข้าไปในหัวกะโหลกของมันจากด้านหลัง จากนั้นทะลุออกมาจากหน้าผาก!
ภูตเขาเดียวตัวนี้วิ่งออกไปได้สิบกว่าจั้ง ขาทั้งสี่ก็ทรุดลงกับพื้นแล้วแน่นิ่ง
ด้านหลังมัน เงาดำขยับไหวๆ ก่อนที่ร่างของบุรุษสูงเจ็ดฉื่อจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก แสงสีเทาสองสาย หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็กที่อยู่ไม่ไกลก็ประสานจากสองเป็นหนึ่งจมเข้าไปในแขนเสื้อของเขา หายไปไร้ร่องรอย
คนผู้นี้ไม่ต้องพูดมาก เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
เขาเดินตามสบายไปถึงข้างกายภูตสองตัวนั้นแล้วตวัดมือกลางอากาศตรงหน้าอกของมัน แก่นยมโลกที่เปรอะไปด้วยเลือดก้อนแล้วก้อนเล่าถูกควักออกมา เขาถือผลึกไว้ระหว่างสองมือแล้วยกขึ้นพิจารณาในระดับสายตาหลายครั้งก่อนจะเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนบนมือพร้อมกับศพของภูตหลายตัวนี้
หลังจากนั้นเขาก็ขยับวูบหนึ่ง หมอกสีดำทะลักออกมาทั่วร่างกลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
……
หลังจากนั้นหกเดือน บนภูเขาที่ร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง บุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อซึ่งเป็นร่างแปลงของหลิ่วหมิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองบุรุษเผ่ายมโลกที่สวมชุดเกราะสีขาวทั้งร่างเจ็ดแปดตนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
บุรุษเผ่ายมโลกที่เป็นหัวหน้ามีรอยแผลสีน้ำเงินเด่นชัดอยู่บนใบหน้า ลมปราณมหาศาลที่ถูกเก็บงำไว้ เหมือนจะบรรลุจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลาง
“นายท่าน คนผู้นี้ไม่อาจหยั่งระดับพลังได้แม้แต่น้อย ไม่สู้…ถามให้ชัดเจนก่อนค่อยลงมือ”บุรุษเผ่ายมโลกร่างเล็กหน้าตาเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งข้างกายแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินมองสำรวจหลิ่วหมิงหลายครั้ง ดวงตากลอกกลิ้งไปมาก่อนจะหันไปเอ่ยกับแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินเสียงเบา
“เหอะ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีฐานะความเป็นมาอย่างไร ใครไม่รู้บ้างว่าบริเวณเทือกเขายมโลกอัคคีแห่งนี้เป็นลานล่าสัตว์ของเมืองเหยียนหยางของข้า วันนี้เจ้าบุกรุกเข้ามา หากไม่ทิ้งอะไรไว้สักหน่อย หากเล่าลือกันออกไปไยไม่ใช่พวกเราเมืองเหยียนหยางจะต้องเสียหน้า” แม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินทำหน้าถมึงทึงเสมือนหนึ่งไม่ได้ยินคำพูดของเผ่ายมโลกร่างเล็กด้านข้าง เขาแค่นเสียงหยันแล้วตวาดใส่หลิ่วหมิง
“ดูท่าพวกท่านไม่คิดจะอำนวยความสะดวกให้ผู้แซ่อิ่นผ่านที่แห่งนี้?” หลิ่วหมิงลูบจมูกพลางยิ้มน้อยๆ ถาม
เพราะหนทางเบื้องหน้าบังเอิญเป็นสถานที่ต้องห้ามอันตรายที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่เขาจึงตั้งใจเดินทางอ้อม เดิมคิดว่าตัดผ่านเขาร้างแห่งนี้จะประหยัดเวลาได้หลายวัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะพลาดเข้ามาในอาณาเขตเมืองเหยียนหยางแห่งนี้
แต่อาศัยเพียงแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินระดับแก่นแท้ขั้นกลางคนนี้ตรงหน้ากับเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นต้นสองตนและระดับแก่นเสมือนสี่ห้าตนก็คิดจะขวางตัวเขาในตอนนี้ ออกจากเพ้อฝันไปสักหน่อย
“ไม่ต้องเปลืองคำพูดแล้ว ในเมื่อไม่รู้จักเจตนาดีเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว!”
พร้อมกับที่แม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินสั่ง บุรุษเผ่ายมโลกชุดเกราะขาวหลายนายที่ล้อมหลิ่วหมิงเอาไว้ก่อนแล้วก็ทยอยตบถุงหนังสีดำสนิทข้างเอว
เสียงเห่าหอนโหยหวนดังระงม!
ภูตที่มีเปลวเพลิงสีแดงฉานหุ้มทั่วร่างเจ็ดแปดตัวกระโจนออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อนถาโถม แล้วพุ่งเร็วรี่มายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงหัวเราะหึๆ ร่างกายไม่ถอยแต่กลับรุกคืบเข้าไปในทันใด มือข้างหนึ่งใช้เคล็ดกระบี่ ส่งแสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พร้อมกับที่มืออีกข้างต่อยกำปั้นที่มีปราณสีดำหุ้มออกมา โจมตีบนภูตอัคคีสีแดงฉานตัวนั้นด้านหน้าสุด
“ปัง!” เสียงดังสนั่น
ภูตที่มีเปลวเพลิงสีแดงฉานหุ้มรอบตัวตนนั้นถูกหนึ่งหมัดของเขากระแทกจนเปลวเพลิงกระจาย ลอยออกไปไกลหลายสิบจั้ง แล้วระเบิดกลางอากาศทันที!
อึดใจต่อมา เสียง “ฉึบๆ” ก็ดังลั่น!
ภูตเปลวเพลิงสีแดงฉานอีกหกเจ็ดตนที่เหลือถูกแสงสีเทาที่เร็วปานสายฟ้าแลบเส้นหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านตรงกลาง แล้วหอบขึ้นไปกลางอากาศ
อึดใจต่อมาเสียง “ฟู่” ทุ้มต่ำแผ่วเบาก็ดังขึ้น เปลวเพลิงสีแดงฉานทั้งหมดกระจายไปรอบด้าน ภูตตนแล้วตนเล่าถูกสะบั้นกลางเป็นสองส่วนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
ภูตที่เผ่ายมโลกเรียกออกมาเหล่านี้ถูกหลิ่วหมิงสังหารจนหมดในเวลาไม่ถึงสองสามลมหายใจ
เมื่อร่างกายของหลิ่วหมิงเลือนหายมาปรากฏตัวกลางท้องฟ้าอีกครั้ง มือของบุรุษเผ่ายมโลกรอบด้านส่วนใหญ่ยังหยุดอยู่บนถุงหนังตรงเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ