ภูตอัคคีแดงนี้เป็นภูตชั้นสูงชนิดหนึ่ง แม้พลังจะเพียงระดับผลึก แต่เมื่อร่วมมือกันก็จัดการยากยิ่ง แม้แต่เจ้าเมืองของพวกเขาก็ไม่อาจจัดการภูตอัคคีแดงเจ็ดแปดตัวได้อย่างสบายๆ ในพริบตา
“นี่…ท่าน ข้าว่าระหว่างพวกเราเหมือนจะเข้าใจผิดบางอย่าง…” แม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินสีหน้าซีดเผือดในพริบตา
ยามนี้ไหนเลยเขาจะยังไม่เข้าใจว่าตนพบบุคคลที่หาเรื่องไม่ได้เข้าแล้ว
ทว่ายามนี้หลิ่วหมิงกลับไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วหายไปจากที่เดิม
แทบจะในเวลาเดียวกับที่ร่างของหลิ่วหมิงหายไป ด้านหลังแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินก็เกิดระลอกคลื่น เงาดำร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้น
“นายท่านระวัง…” เผ่ายมโลกเกราะขาวตนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดร้องตะโกน
แต่ความเร็วของหลิ่วหมิงเร็วเกินไปแล้วอย่างแท้จริง เพียงชั่วสะเก็ดไฟแลบทำให้คนไม่อาจป้องกันได้อย่างสิ้นเชิง
เสียงคำว่า “วัง” เพิ่งออกจากปาก เสียงฉึกเบาๆ ก็ดังขึ้น ลมหายใจของเผ่ายมโลกทุกตนแทบจะหยุดลง
มือเปรอะเลือดข้างหนึ่งคว้านผ่านท้องของแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินแล้วกำแก่นแท้สีเทาขมุกขมัวดวงหนึ่งไว้ในมือ
เวลานี้แม่ทำมืดตนนั้นเพิ่งรู้สึกตัว เขาก้มหน้ามองท้องของตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เหมือนไม่เชื่อว่าแม่ทัพมืดระดับแก่นแท้ขั้นกลางตนหนึ่งเช่นตน แม้แต่ร่างกายของศัตรูยังไม่ทันเห็นชัดก็ถูกหนึ่งฝ่ามือทำลายทะเลจิตวิญญาณ ควักแก่นแท้ออกมาแล้ว
“หนีเร็ว! เผ่ายมโลกผู้นี้…อาจเป็นยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์!”
เผ่ายมโลกเกราะสีขาวหลายคนที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ใครตะโกนออกมาคำหนึ่ง ทั้งหมดจึงพากันหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าหนีกระเจิง
หลิ่วหมิงขยี้แก่นแท้ในมืออย่างเชื่องช้า มืออีกข้างหนึ่งลูบเบาๆ แสงสีเทากะพริบวูบหนึ่ง ศีรษะของแม่ทัพมืดผู้มีรอยแผลสีน้ำเงินก็เอียงกะเท่เร่แล้วค่อยๆ ร่วงหล่นลงมากลางอากาศ
เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นกลางตนหนึ่งสิ้นใจอย่างง่ายดายเช่นนี้ แม้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่ที่นี่ก็คงตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน
ตอนนี้หลิ่วหมิงเคลื่อนสายตาไปยังเผ่ายมโลกที่เหลือซึ่งหนีกระเจิงไปรอบทิศ หากปล่อยคนเหล่านี้หนีกลับไปเมืองเหยียนหยาง เกรงว่าคงจะนำความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาให้อีก ในเมื่อลงมือแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องเหลือพยานเอาไว้
ความคิดแล่นเร็วจี๋ จากนั้นมือของเขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว “ฟึบ” “ฟึบ” ไอหมอกสีดำกับสีเขียวสองสายม้วนตัวออกมา เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์นั่นเอง
หลังจากเขาเพ่งจิตสื่อสารสั้นๆ แสงสีเงินก็สว่างวูบบนแผ่นหลัง รีบเร่งไล่ตามจุดแสงสีขาวที่ลมปราณค่อนข้างจะแข็งแกร่งสองจุดในนั้นไป
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ย่อมแปลงเป็นลำแสงสองสายไล่ตามเผ่ายมโลกเกราะขาวระดับแก่นเสมือนตนอื่นไปติดๆ เช่นเดียวกัน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องหลายครั้งก็ดังขึ้นบริเวณภูเขาร้าง จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก
……
เมืองปี้โยวซึ่งเป็นเมืองเอกของแดนวารีมืดตั้งอยู่ทางตะวันออกของแดนวารีมืด ฝั่งตะวันออกห่างไปพันกว่าลี้คือแม่น้ำมืดอันกว้างใหญ่สายหนึ่ง ทิศเหนือกับทิศใต้เป็นผืนดินกว้างใหญ่
ส่วนฝั่งตะวันตกของเมืองประชิดยอดเขารูปร่างเหมือนเสาที่ตั้งตรงสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดทราบว่ายอดเขายักษ์สูงเสียดฟ้าลูกนี้ด้านหลังเมืองปี้โยวสูงเท่าใดกันแน่ หากเงยหน้ามองจากในเมือง จุดที่สายตามองไปจนสุดก็เห็นเพียงปราณยมโลกวนล้อมอยู่เป็นชั้นๆ เท่านั้น
เล่ากันว่ายอดเขายักษ์สูงเสียดฟ้าแห่งนี้มีอาวุธล้ำค่าและหญ้าจิตวิญญาณนับไม่ถ้วนอยู่บนยอด แล้วยังมีคนเล่าลืออีกว่ายอดเขายักษ์ลูกนี้เชื่อมตรงไปยังโลกอื่น แต่ไม่มีใครสักกี่คนมีโอกาสขึ้นไปพิสูจน์ให้รู้จริง
เหตุเพราะยอดเขาแห่งนี้สถานที่พำนักของปี้โยวยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้เป็นราชายมโลกของแดนวารีมืดแห่งนี้ และยังเป็นรากฐานความรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่นับหมื่นปีของเมืองปี้โยวแห่งนี้อีกด้วย
ในอดีตปี้โยวตรากตรำฝึกฝนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้นับหมื่นปี ในที่สุดก็บรรลุพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ อาศัยพลังของตนเองผู้เดียวล้มราชายมโลกแห่งแดนวารีมืดในยามนั้น จากนั้นสร้างเมืองขึ้นที่นี่ วางรากฐานของทุกวันนี้
เวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้ปี้โยวไม่เปิดเผยตัวต่อหน้าผู้คนมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นประชาชนในเมืองปี้โยวส่วนมากย่อมไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา ยิ่งเสริมความลึกลับให้เขาอีกหลายส่วน
หลังจากระหกระเหินเดินทางไกลมาเกือบหนึ่งปี ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงเนินสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากทิศเหนือของเมืองปี้โยวหลายร้อยลี้
ระหว่างทางเขาผ่านเมืองของกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกหลายแห่ง ย่อมได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้ของเมืองปี้โยวมาไม่มากก็น้อย
ข่าวลือเหล่านี้จะจริงหรือปลอม หลิ่วหมิงย่อมไม่ขบคิด เพราะยอดเขาวิเศษที่สูงเทียมฟ้าถูกปี้โยวผนึกไว้นานแล้ว นอกจากผู้คุ้มกันคนสนิทของราชายมโลกหรือคนที่ตัวปี้โยวเรียกพบ ผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ยอดเขาวิเศษสูงเทียมฟ้าแม้แต่ครึ่งก้าว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขึ้นไปบนยอดของภูเขาวิเศษที่สูงเทียมฟ้าลูกนั้น
แต่วันนี้เมื่อมองยอดเขาวิเศษลูกนั้นจากหลายร้อยลี้นอกเมืองปี้โยว กลับชวนให้คนสั่นสะท้านเพราะความยิ่งใหญ่มโหฬารของธรรมชาติ หลิ่วหมิงเองก็นึกทึ่งอยู่ในใจเล็กน้อยเช่นกัน
นอกจากยอดเขาวิเศษสูงเทียมฟ้าด้านหลังเมืองปี้โยว ความใหญ่โตของเมืองเอกแห่งนี้ก็ทำให้หลิ่วหมิงอดทอดถอนใจไม่ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งเมืองปี้โยวกินพื้นที่ถึงหลายหมื่นหมู่ เทียบเท่ากับเมืองเหลิ่งเยวี่ยหลายสิบเมือง นอกประตูเมืองมีป้ายศิลาใหญ่ยักษ์ค้ำฟ้าสีเทาขมุกขมัวสูงถึงร้อยกว่าจั้งอยู่แผ่นหนึ่ง
แม้อยู่ห่างร้อยลี้ หลิ่วหมิงก็ยังเห็นตัวอักษรสีเขียวขนาดใหญ่สองตัวที่เขียนว่า “ปี้โยว” เรียงจากบนลงล่างบนป้ายศิลายักษ์ได้อย่างชัดเจน
กำแพงเมืองก่อจากศิลายักษ์สีน้ำนม ระหว่างก้อนผลึกมีประกายแสงสีขาวจางๆ แทรกออกมา บนกำแพงเมืองทุกระยะจะมีหน้าไม้ยักษ์ที่ทำจากศิลาสีเทาอยู่คันหนึ่ง หอที่ตั้งอยู่สี่ทิศสูงตระหง่านอย่างทระนงองอาจ แลดูยิ่งใหญ่
ใกล้กับประตูเมืองเห็นผู้คนมากมายเดินขวั่กไขว่เข้าออกไม่ขาดสาย ทำให้เมืองทั้งเมืองดูรุ่งเรืองไม่ธรรมดา
หลิ่วหมิงตรวจสอบป้ายแสดงตัวตนของอิ่นหานที่เอวไม่ให้พลาดแล้วจึงกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งเหาะไปทางเมืองปี้โยว
สิ่งที่หลิ่วหมิงคาดไม่ถึงก็คือทหารรักษาเมืองของเมืองปี้โยวกลับไม่ได้เข้มงวดมากนัก อาจเพราะเผ่ายมโลกที่เดินทางไปมามากเกินไป ทหารรักษาเมืองที่สวมชุดเกราะสีเขียวหยกวาววับไม่กี่นายที่ประตูเมืองจึงเพียงสอบถามหลิ่วหมิงสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ตรวจดูป้ายประจำตัวของเขาเพียงเล็กน้อย เก็บหินยมโลกนิดหน่อยก็ปล่อยเขาเข้าเมืองมาแล้ว
หลังจากเข้าเมือง ภาพความเจริญรุ่งเรือง ผู้คนพลุ่กพล่านตรงหน้าก็ทำให้หลิ่วหมิงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
หากไม่ใช่เพราะใบหน้าของเผ่ายมโลกที่เดินมาเดินไปล้วนซีดจนเป็นสีเทา เขาก็คงจะคิดว่าตนเองกลับมาถึงแผ่นดินจงเทียน เข้ามาในเมืองใหญ่อันเจริญรุ่งเรืองสักเมืองแล้ว
แต่เผ่ายมโลกในที่แห่งนี้ นอกจากพวกที่หน้าตาคล้ายเผ่ามนุษย์แล้วยังเห็นเผ่ายมโลกที่หน้าตาแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งเป็นระยะด้วย บางตนมีหัวเป็นสัตว์แต่ร่างกายกลับเหมือนมนุษย์ บางตนแขนสองข้างที่โผล่ออกมาหน้าตาเหมือนกรงเล็บอสูร
หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะ “เมืองโซ่วเทียน” เมืองแห่งหนึ่งที่เขาผ่านทางก่อนหน้านี้ก็มีเผ่ายมโลกที่รูปลักษณ์เป็นกึ่งอสูรเช่นนี้เป็นหลัก ในเมืองพวกที่หน้าตาเหมือนมนุษย์กลับเป็นสิ่งหายาก
สองฟากฝั่งของถนนมีผู้คนแน่นขนัดและมีสิ่งก่อสร้างหลากหลายแบบสูงต่ำไม่เท่ากันเรียงแถวอยู่อย่างเป็นระเบียบ
หลิ่วหมิงเดินเตร็ดเตร่ผ่านถนนหลายสายตามใจแล้วจึงเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปในหอสามชั้นที่ขนาดใหญ่พอสมควรแห่งหนึ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อหลิ่วหมิงเดินออกมาจากร้านแห่งนี้ ในแหวนวงหนาสีดำสนิทบนนิ้วหัวแม่มือข้างขวาของเขาก็มีแผนที่สีเขียวเข้มแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา กระดูกกับแก่นยมโลกที่ได้มาจากภูตผีระดับแก่นแท้เหล่านั้นตามรายทางถูกเขาขายจนเกลี้ยงแลกเป็นหินยมโลกสองสามหมื่นก้อน
เมื่อรวมกับหินยมโลกที่ได้มาจากตัวของเผ่ายมโลกไม่มีตาที่สังหารไประหว่างทางก่อนหน้านี้ ตอนนี้ที่ตัวหลิ่วหมิงจึงมีหินยมโลกมากราวหกเจ็ดหมื่นก้อนแล้ว
สำหรับเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ธรรมดาตนหนึ่ง ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไม่นับว่าน้อย
เวลาหนึ่งวันหลังจากนั้นเขาตระเวนไปตามร้านค้าที่ผู้คนดูคึกคักอีกหลายร้าน เลียบเคียงสืบถามถึงเคล็ดวิชาส่วนที่เหลือของเคล็ดวิชากระดูกดำ รวมถึงวิธีออกไปจากยมโลก
เป็นดังที่เขาคาด เขาไม่ได้อะไรกลับมาทั้งสิ้น
จนกระทั่งดวงตะวันมืดที่อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าเหลือเพียงเสี้ยวน้อย เขาจึงเดินเอื่อยเฉื่อยเลี้ยวไปยังถนนเส้นน้อยที่ผู้คนค่อนข้างบางตาแห่งหนึ่งเพื่อหาโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ค่อนข้างห่างไกลสักแห่งเป็นที่พัก
อาจเพราะเมืองปี้โยวเป็นแกนกลางอันสำคัญที่สุดของแดนวารีมืด เผ่ายมโลกที่เดินทางไปมามากเหลือเกินจริงๆ แม้แต่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ห่างไกลก็ยังมีปัญหาคนเต็ม หลังจากหลิ่วหมิงเสียหินยมโลกเป็นสองเท่าจึงเข้าพักในห้องที่ค่อนข้างเงียบสงบห้องหนึ่งได้ในที่สุด
ในห้องลับของโรงเตี๊ยม หลิ่วหมิงเล่นแหวนเก็บของสีดำอ่อนวงหนึ่งในมือ ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล ตัดสินใจไม่ได้
ของสิ่งนี้ก็คืออาวุธเก็บของจากหลานซวี่หัวหน้าขบวนเมืองหานสุ่ยผู้นั้น ข้าวของด้านในเดิมทีเป็นของที่เมืองหานสุ่ยส่งมาบรรณาการ ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากจำนวนหนึ่ง
ตอนอยู่ที่แม่น้ำมืด เขาเพียงจัดเก็บอย่างลวกๆ รอบหนึ่งเท่านั้น ยามนี้เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมกับราคาที่ได้เห็นมาคร่าวๆ จากร้านรวงในเมืองก่อนหน้านี้ ทำให้เขาอดทอดถอนใจไม่ได้
ตัวอย่างเช่นหญ้าภูตยมโลกที่ดำสนิทดุจหมึกหลายต้นในนั้นเป็นหนึ่งในหญ้าจิตวิญญาณสำหรับบำรุงภูตผี ขอเพียงเผาหญ้าชนิดนี้กลายเป็นเถ้าใส่เข้าไปในถุงบัญชาผี ภูตผีก็จะดูดซับปราณยมโลกได้เอง หากขายในตลาดราคาเกือบหมื่นหินยมโลกต่อหนึ่งต้น
แล้วยังมีธงน้อยสีเทาหม่นผืนหนึ่ง บนนั้นมีลวดลายยมโลกแผ่อยู่ทั่วมากถึงสามสิบหกดวง มันก็คืออาวุธยมโลกระดับต้นแบบอาวุธเวทที่หาได้ไม่มากชิ้นหนึ่ง
แม้วิชาที่หลิ่วหมิงฝึกฝนเช่นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬหรือเคล็ดวิชากระดูกดำล้วนเป็นวิชาธาตุหยิน แต่เขาทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่อาจบังคับธงค่ายกลผืนนี้ได้ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ขัดเขินเล็กน้อย
แล้วยังมีวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่หลิ่วหมิงไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน ตัวอย่างเช่นยาลูกกลอนสีดำขนาดเท่าข้อนิ้วก้อยที่มีเพียงสองเม็ด หยกสีขาวที่ทอประกายสีขาวสะอาดเรืองๆ และเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง กับผลไม้สีน้ำเงินที่ดูชุ่มฉ่ำอย่างยิ่งหลายลูกเป็นต้น
หลิ่วหมิงย่อมรู้ว่าของที่แลดูไม่สะดุดตาเหล่านี้ แม้ในสายตาราชายมโลกจะไม่นับเป็นสิ่งใด แต่สำหรับเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์มากมายล้วนเป็นสิ่งที่ฝันอยากได้มาครอง แต่ของเหล่านี้ตอนนี้เหมือนของไร้ประโยชน์ ทิ้งก็ไม่ได้ ขายออกไปก็ไม่ได้
อย่างไรสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ก็ไม่ค่อยพบเห็นในตลาดนัก หากตนบุ่มบ่ามขายย่อมถูกผู้คนจับจ้อง อีกทั้งเมืองหานสุ่ยที่เสียของบรรณาการมากมายเช่นนี้ไปคงไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี
แต่ของเหล่านี้หากออกจากยมโลก ไม่มีปราณหยินที่อัดแน่นในฟ้าดินก็คงจะกลายเป็นของไร้ค่า หากเป็นเช่นนี้ไม่สู้หาโอกาสทยอยแบ่งออกไปแลกเป็นหินยมโลก แลกของที่มีประโยชน์ต่อตนเองเอาไว้หน่อยดีกว่า
หลังจากขบคิดหลายรอบ หลิ่วหมิงก็ตัดสินใจเข้าร่วมงานประมูลขนาดใหญ่ที่จัดขึ้นในเมืองปี้โยวหนึ่งเดือนหลังจากนั้น นี่เป็นข่าวที่เขารู้มาจากปากเถ้าแก่ร้านอาวุธยมโลกร้านหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นงานประมูลครั้งใหญ่ที่สามปีจะมีสักครั้งของเมืองแห่งนี้
เขาหวังว่างานประมูลที่มีผู้คนมากมายจะแอบฝากประมูลวัตถุดิบและสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ออกไปโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นได้ ในเวลาเดียวกันก็ลองดูด้วยว่าจะประมูลของที่ตนเองต้องการมาได้บ้างหรือไม่
หลังจากในใจตัดสินใจแล้ว หลิ่วหมิงจึงวางใจฝึกฝนวิชาอย่างสงบในห้องลับของโรงเตี๊ยม อย่างไรตนก็เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางได้ไม่นาน ระดับพลังยังต้องมั่นคงอีกสักหน่อย