การฝึกฝนวิชาทำให้เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว เวลาสั้นๆ หนึ่งเดือนหายไปในชั่วพริบตา
เช้าตรู่วันนี้ เมื่อดวงตะวันมืดโผล่พ้นฟ้าทอแสงแรก ประตูของสิ่งก่อสร้างโออ่าทรงครึ่งวงกลมหลังหนึ่งที่ฝั่งตะวันออกบนลานกลางเมืองของเมืองปี้โยวก็มีเสียงคนเอะอะ เผ่ายมโลกหน้าตาหลากหลายแบบเข้าออกประตูใหญ่ แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
นอกเหนือจากนั้นยังมีเผ่ายมโลกไม่น้อยจับกลุ่มสองตนสามตนอยู่สองฟากฝั่ง บ้างหยุดยืนเหมือนกำลังรอคน บ้างกระซิบกระซาบไม่รู้หารืออันใด แล้วก็มีบางคนสีหน้ามึนงงมองภาพความครึกครื้นนี้ เมื่อได้คนด้านข้างอธิบายจึงพยักหน้าเข้าใจ เห็นชัดว่าเป็นนักเดินทางที่เพิ่งเข้ามาในเมืองได้ไม่นาน
มุมหนึ่งของฝูงชนที่รวมตัวกันอย่างครึกครื้น บุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อผู้สวมชุดสีเทาผู้หนึ่งกำลังมองกลุ่มคนที่หลั่งไหลมาดุจกระสวยทอผ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ไม่ต้องบอกกล่าวมากความ คนผู้นี้ย่อมคือบุรุษเผ่ายมโลก “อิ่นหาน” ผู้นั้นซึ่งเป็นร่างแปลงของหลิ่วหมิง
แต่ตอนนี้คลื่นพลังเวทที่แผ่ออกมาจากร่างเขาสภาพเหมือนระดับแก่นแท้ขั้นต้นเท่านั้น
สิ่งก่อสร้างอลังการทรงครึ่งวงกลมหลังนี้ตรงหน้าเขาก็คือ “หอรุ่ยโยว” สถานที่จัดงานประมูลครั้งใหญ่ที่จะจัดขึ้นสามปีครั้งของเมืองปี้โยว และพวกเขายังเป็นสมาคมการค้าขนาดใหญ่แถวหน้าของแดนวารีมืดที่กระจายอยู่ทั่วแดนวารีมืดอีกด้วย
ได้ยินมาว่าผู้ที่อยู่หลังม่านมีความเป็นมายิ่งใหญ่ เหมือนจะเกี่ยวพันกับราชายมโลกปี้โยว
วันนี้เป็นวันแรกของงานประมูลใหญ่ ผู้คนเดินทางมามากมายยิ่งนัก บางคนยังสวมเสื้อกันฝนกับหมวกไม้ไผ่อยู่ เห็นชัดว่าเพิ่งรีบเร่งเดินทางมายังเมืองปี้โยวเพื่อเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ครั้งนี้โดยเฉพาะ
หลิ่วหมิงสังเกตอยู่พักหนึ่งก็หมุนแหวนหนาสีดำบนนิ้วหัวแม่มือข้างขวา แล้วปะปนเข้าไปกลางหมู่คนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เดินเอื่อยเฉื่อยไปยังประตูใหญ่
เขาจ่ายค่าเข้าเป็นหินยมโลกสิบก้อนแล้วลงทะเบียนตัวตน จากนั้นจึงเข้าไปในอาคาร
หลังจากเดินผ่านทางเดินกว้างขวางที่ไม่นับว่ายาวนักสองเส้น เสียงดนตรีสูงต่ำก็ดังลอยมาพร้อมกับที่ห้องโถงขนาดราวร้อยจั้งที่มีบันไดทอดขึ้นไปด้านบนปรากฏขึ้นตรงหน้า
ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่จัดงานประมูลครั้งนี้ ภายในห้องโถงมีเก้าอี้ไม้วางเรียงรายเป็นแถวมากถึงหลายพันแถว
แต่ยามนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก่อนจะเริ่มงานประมูล ดังนั้นจึงมีเผ่ายมโลกไม่มากนักที่เข้าไปนั่ง
ด้านหน้าของสถานที่จัดประมูลมีแท่นราบเรียบทำด้วยหยกขาวอยู่แท่นหนึ่ง บนนั้นวางโต๊ะยาวตัวหนึ่งกับเก้าอี้ไว้หลายตัว ดูเหมือนจะเป็นแท่นประมูล แต่เวลานี้ย่อมยังไม่มีคน
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดเรื่อยเปื่อยไปรอบห้องโถงประมูล ทันใดนั้นสายตาก็เคลื่อนไปยังฝั่งหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ที่นั่นมีห้องโถงข้างที่ค่อนข้างเล็กอยู่ห้องหนึ่ง ตรงประตูมีทหารสวมชุดเกราะสีเขียวยืนอยู่หลายตน
มีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกตนสองตนเดินเข้าไปในห้องโถงข้างเป็นระยะ หลังจากแสดงของบางสิ่ง พวกเขาก็ถูกทหารเกราะสีเขียวหน้าประตูพาเข้าไป
เผ่ายมโลกตนอื่นที่อยู่ในสถานที่จัดประมูล ส่วนใหญ่มองเผ่ายมโลกที่เดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้างด้วยสีหน้าอิจฉา
จากถ้อยคำกระซิบกระซาบของเผ่ายมโลกรอบด้าน หลิ่วหมิงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าผู้ฝึกฝนที่เดินเข้าไปเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่มีสมบัติต้องการจะประมูลในงานประมูล
เขาสืบมาก่อนแล้วว่าหากต้องการประมูลสิ่งของในมือตน ต้องนำของประมูลมอบให้แก่งานประมูลล่วงหน้า หลังจากผู้รับผิดชอบประเมินตรวจสอบจึงจะเปิดประมูลในงานประมูลวันนั้นได้
แม้หลิ่วหมิงคิดจะประมูลของที่อยู่ในมือเช่นกัน แต่งานประมูลครั้งนี้มีทั้งหมดเจ็ดวัน วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือ เขาคิดจะสำรวจลู่ทางให้ชัดก่อนแล้วค่อยติดต่อกับผู้จัดงานประมูล
อย่างไรสมบัติเหล่านั้นในมือเขาแม้จะล้ำค่ายิ่งนัก แต่ก็ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง แล้วที่แห่งนี้ยังเป็นเมืองปี้โยว มีกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งปะปนอยู่ ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวย่อมต้องระมัดระวังเพิ่มเป็นเท่าตัว
หลิ่วหมิงมองอยู่หลายหนก็หมุนตัวเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
สิ่งที่ล้อมรอบห้องโถงประมูลอยู่คือทางเดินกว้างที่ไร้หลังคาเส้นหนึ่ง ที่นี่คือเขตแลกเปลี่ยนอิสระของงานประมูล สองฝั่งทางเดินมีแผงร้านค้าเรียบง่ายอยู่จำนวนหนึ่ง
งานประมูลใหญ่ล้วนควบคุมสินค้าอย่างเข้มงวด สมบัติที่ด้อยอยู่บ้างล้วนไม่ถูกรับเข้าประมูล
เผ่ายมโลกที่เดินทางมาไกลจำนวนหนึ่ง ของที่ตัวราคาค่อนข้างต่ำ หลังจากผ่านการประเมินแล้วไม่มีสิทธิขึ้นประมูลจึงได้แต่ถอยมาหาทางเลือกที่สอง จ่ายหินยมโลกห้าก้อนมายังเขตแลกเปลี่ยนอิสระแห่งนี้ตั้งแผงขายด้วยตนเอง
อย่างไรงานประมูลใหญ่ครั้งนี้ก็จัดต่อกันเจ็ดวัน ย่อมดึงผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกจำนวนมากของแดนวารีมืดมาเยือน เป็นโอกาสค้าขายอันหาได้ยาก
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองคร่าวๆ ก็พบว่าเวลานี้ในทางเดินมีเผ่ายมโลกรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย สภาพคึกคักยิ่งนัก
หลิ่วหมิงคิดอะไรขึ้นได้จึงเดินหน้าปะปนไปกับกลุ่มผู้ฝึกฝน สายตามองสำรวจแผงร้านค้าขนาดเล็กแต่ละแผงอย่างละเอียด
เมื่อดูไปติดกันหลายแผง ดวงตาเขาก็เผยแววตาผิดหวังออกมาเล็กน้อย
แผงร้านค้าปลีกเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดควรค่าให้ดูแม้แต่น้อย สินค้าที่นี่แทบจะเป็นสินค้าธาตุหยินระดับล่างและระดับกลางหรือของที่มีประโยชน์สำหรับเผ่ายมโลกต่ำกว่าระดับผลึกทั้งสิ้น หลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ อีกทั้งวันนี้ยังบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้วย่อมไม่มีของที่ใช้ประโยชน์ได้สักเท่าใด
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงต้องหยุดเท้ากวาดตามองสองสามรอบเพียงอย่างเดียวก็คือวัตถุดิบกับหินแร่สำหรับภูตผีจำนวนหนึ่ง แต่ในเมื่อมันวางอยู่บนแผงร้านค้าที่ทางเดินแลกเปลี่ยนอินสระก็น่าจะไม่ใช่ของที่ขายได้ราคาเท่าใดนัก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงแวะแต่ละร้านเพียงครู่สั้นๆ หลังจากเหล่ตามองรอบหนึ่งก็เดินหน้าต่อ
ทางเดินเส้นนี้ออกแบบให้คดโค้ง หลิ่วหมิงเสียเวลาไม่น้อยจึงจะตระเวนครบรอบ แต่ก็ยังไม่ได้สิ่งใดมาทั้งสิ้น
สิ่งที่โชคดีก็คือเขาทยอยขายวัตถุดิบของอสูรแห่งความมืดกับอาวุธยมโลกที่ได้มาระว่างทางจำนวนหนึ่งไปจนเกลี้ยง แลกหินยมโลกมาได้ไม่น้อย ตอนนี้ที่ตัวมีอยู่มากถึงสองหมื่นก้อน
ต้องรู้ว่าจำนวนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ทั่วไปจะควักออกมาได้ง่ายๆ
เดินวนเสร็จรอบหนึ่ง ก็ใกล้เวลาที่งานประมูลใหญ่จะเริ่มแล้ว
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดจะเข้าไปในสถานที่ประมูลอีกครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาหมุนตัวอย่างระแวดระวังมองไปทางที่เดิมทีเคยเป็นด้านหลังของตน
ชายหนุ่มเผ่ายมโลกผู้สวมชุดยาวสีหยกหน้าตาดูอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีตนหนึ่งกำลังยืนอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง เมื่อสบสายตากับหลิ่วหมิง เขาก็ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยในทันใด ระดับพลังเหมือนจะเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณ
“สหายน้อยตนนี้ เหมือนเจ้าจะตามข้ามาระยะหนึ่งแล้ว มีธุระใดหรือ?” หลิ่วหมิงดวงตาทอประกายเย็นเยียบ เอ่ยเสียงเย็นชา
“ผู้…ผู้อาวุโสอย่าเข้าใจผิด ผู้เยาว์…หากได้มีเจตนาสะกดรอยผู้อาวุโสไม่ เพียง…เพียงแต่ได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มานัดท่านไปพูดคุยเท่านั้น” เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกถูกแรงดดันจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงแผ่ออกมาข่มจนพูดจาติดอ่าง
“อ้อ นายท่านของเจ้าคือผู้ใด? ข้าจำไม่ได้ว่ามีคนคุ้นเคยอยู่ในเมืองปี้โยวแห่งนี้” หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเด็กหนุ่มเผ่ายมโลกคนนี้ตรงหน้าอีกหลายหน ก่อนจะเก็บแรงกดดันจิตวิญญาณที่ปล่อยออกมากลับไป
เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ระดับพลังต่ำเช่นนี้ น่าจะไม่ใช่คนที่ผู้อื่นส่งมาสะกดรอย
“นายท่านของตระกูลเราให้ข้ามาบอกผู้อาวุโสว่าเขาเป็นสหายเก่าคนหนึ่งของผู้อาวุโส เพราะสาเหตุบางประการจึงไม่สะดวกปรากฏตัวมาพบหน้าผู้อาวุโสที่นี่ ดังนั้นจึงให้ผู้เยาว์เดินทางมาเรียนเชิญไปพูดคุยกันที่หอแขกพิเศษของที่แห่งนี้” เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวเวลานี้สีหน้าสงบลงบ้างแล้ว เขาประสานมือคำนับหลิ่วหมิงหลังจากนั้นขยับริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตบอก
หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเริ่มครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาคืออิ่นหาน หากบอกว่าเป็นสหายเก่า เขาก็เคยรู้จักมักคุ้นกับเผ่ายมโลกที่เมืองเหลิ่งเยวี่ยอยู่หลายคน หรือว่าพวกเขาจะบังเอิญอยู่ที่เมืองปี้โยวพอดี
หรือว่านายท่านที่เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวผู้นี้พูดถึงจะเป็นสหายของตัวอิ่นหานก่อนหน้านี้…
เขาครุ่นคิดในใจ ในเวลาเดียวกันก็พยายามนึกถึงความทรงจำกระจัดกระจายเหล่านั้นของอิ่นหาน ดูว่ามีคนรู้จักคนใดที่เมืองปี้โยวหรือไม่
เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวเห็นเช่นนี้จึงก้มหน้ายืนนิ่งรออยู่ด้านข้างอย่างอดทน ไม่มีทีท่าจะเร่งแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่งหลิ่วหมิงก็ยังหาเงื่อนงำอันใดไม่ได้ เขามองเด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวนิ่งๆ ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา
“นำทางเถอะ”
ในเมื่อคิดไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แทนที่จะหลีกเลี่ยงไม่พบ ไม่สู้ดูให้รู้กันไปว่าเป็นผู้ใด ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาคิดแล้วว่าน่าจะเพียงพอรับมือสถานการณ์ไม่คาดฝันได้
นอกจากนี้ที่นี่ก็เป็นห้องโถงงานประมูล น่าจะไม่มีผู้ใดบุ่มบ่ามทำเรื่องร้ายกับตน
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก” เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวยินดียิ่ง หลังจากคำนับหลิ่วหมิงอีกครั้งก็หมุนตัวเดินนำไปด้านหน้าก่อน
ทั้งสองคนเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนเข้ามาในหอสามชั้นที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูแห่งหนึ่งด้านหลังสถานที่ประมูล แล้วมาถึงหน้าประตูห้องลับห้องหนึ่งบนชั้นสาม
ที่นี่คือห้องลับที่หอรุ่ยโยวจัดให้แขกชั้นสูงพักผ่อน
เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวเคาะประตู ไม่นานประตูห้องลับก็แง้มออกเป็นช่องเล็กๆ
“ผู้อาวุโสเชิญด้านใน!” เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็ก้มหน้าผายมือเชิญ
หลิ่วหมิงมองเด็กหนุ่มครั้งหนึ่งแล้วยื่นมือผลักประตูศิลาของห้องลับให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไป
หลังจากเขาเข้ามาในห้องลับ ประตูศิลาด้านหลังก็ปิดลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มเผ่ายมโลกชุดเขียวไม่ได้ตามเข้ามาด้วย
ผลปรากฏว่าเมื่อเขาเห็นสภาพภายในห้องลับชัดเจน เขาก็อดไม่ได้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตรงกลางห้องลับที่ตกแต่งอย่างหรูหรา บนเก้าอี้หินที่ปูหนังอสูรไม่ทราบชนิดอยู่ มีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่ดวงตาสีเขียวทั้งดวงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนนั้น เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือปี้เหยียนที่ก่อนหน้านี้เคยมีวาสนาพบหน้ากับหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งที่เมืองเหลิ่งเยวี่ยแล้วร่วมคุ้มกันของบรรณาการมาด้วยกัน
“จากกันวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นานสามสิบกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่อิ่นหานจะพลังก้าวหน้าครั้งใหญ่ เหยียบเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว น่ายินดีน่าฉลองจริงๆ!” ปี้เหยียนเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ เขาประสานมือเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ข้าก็คิดว่าสหายเก่าคนใด ที่แท้ก็พี่ปี้เหยียนนั่นเอง” หลิ่วหมิงประสานมือคำนับกลับ แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง
เพื่อไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คน เขาใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเปลี่ยนคลื่นพลังเวทมาเป็นระดับแก่นแท้ขั้นต้นก่อนแล้ว มิเช่นนั้นเวลาน้อยนิดเพียงยี่สิบสามสิบปี เลื่อนขั้นรวดเดียวสองขั้นย่อมดึงดูดสายตาผู้คนเกินไปจริงๆ
“ฮ่าๆ ศึกที่หุบเขาสิ้นสูญวันนั้น ข้าคลาดกับพี่อิ่นหานเพราะเหตุการณ์ฉุกละหุก นับจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราว คิดไม่ถึงว่าจะพบพี่อิ่นที่นี่ ท่านกับเข้าช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ!” ปี้เหยียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
“พี่ปี้เหยียนเชิญข้ามาที่นี่ น่าจะไม่ใช่เพื่อคุยสัพเพเหระกระมัง” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ของปี้เหยียน หัวใจก็กระตุกวูบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หดหายไป
“พี่อิ่นหานไม่ต้องระแวงเช่นนี้ ข้าหาได้มีเจตนาร้าย เชิญนั่งก่อนเถิด” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ ทำมือเชื้อเชิญไปทางโต๊ะตัวหนึ่งด้านข้าง
หลิ่วหมิงหรี่ตาสองข้างเล็กน้อย หลังจากมองสำรวจอีกฝ่ายครั้งสองครั้งจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะช้าๆ