ตอนที่ 2403

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,403 : มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน?!

 

เรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวเอาไว้วันนั้น ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน

 

“ระนาบโลกียะโดยทั่วไปแล้วจักแบ่งออกได้เป็น 2ประเภท…หนึ่งในนั้นคือระนาบโลกียะที่เป็นเหมือนกับโลกที่เจ้าเคยจากมา ระบบสุริยะอันมีดาวเคราะห์มากมาย มีทองฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว  เป็นห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมากล้นไปด้วยสรรพชีวิต….”

 

“ระนาบโลกียะเช่นนั้นนับเป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างใหญ่ เหล่าเซียนอมตะในระนาบเทวโลกจึกเรียกมันว่า ‘มหาระนาบโลกียะ’ ส่วนระนาบโลกียะที่เจ้ากับข้าจับพลัดจับผลูมาอยู่ เป็นระนาบโลกียะที่ค่อนข้างเล็ก จึงถูกเรียกว่า ระนาบโลกียะย่อม…”

 

“กล่าวได้ว่าระนาบโลกียะย่อมก็คือ…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างนั่น รวมถึงทะเลและทวีปมนุษย์ ทั้ง 3 รวมกัน! สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจึงมีน้อยนิดนัก”

 

 

จากคำของผู้เฒ่าหั่ว ก็ได้บ่งบอกความแตกต่างระหว่างมหาระนาบโลกียะ กับระนาบโลกียะขนาดเล็กไว้ชัดเจนแล้ว

 

และผู้ที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ในครั้งนี้ ล้วนมาจากระนาบโลกียะที่แตกต่างกัน 5 ระยาบ

 

ยกเว้นระนาบเซียนของต้วนหลิงเทียนที่เป็นระนาบโลกียะย่อมแล้ว อีก 4 ระนาบที่เหลือล้วนเป็นมหาระนาบโลกียะทั้งสิ้น

 

และหนึ่งในมหาระนาบโลกียะดังกล่าว ก็มีดาวโลกของต้วนหลิงเทียนดำรงอยู่!

 

“จางยี่…ในระนาบเหยียนหวงของเจ้าใช่มีชื่อเรียกด่านพลังที่ต่างออกไปหรือไม่? แล้วขอบเขตพลังของเจ้าตอนนี้เล่า เรียกว่าเซียนสวรรค์รึเปล่า?”

 

ระห่างทางต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรได้จึงกล่าวถามเพื่อหาคำยืนยันจากจางยี่

 

เพราะเขาจำได้ว่าตอนนั้นผู้เฒ่าหั่วเคยบอกเขาไว้ ว่าด่านพลังฝึกปรือในดาวเหยียนหวงมีชื่อเรียกแตกต่างกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

ทว่าเขายังจดจำได้ดีว่าตอนพบเจอจางยี่ครั้งแรก เขาได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงด่านพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์

 

โดยเฉพาะหรงปัวยังกล่าวบอกอีกว่าหากพลังฝึกปรือของเขาไม่ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมันจะไม่ให้เขาเข้าร่วมกลุ่ม

 

“มีสิ แล้วก็เรียกแบบนั้นล่ะ”

 

จางยี่พยักหน้าขานรับค่อยอธิบายสืบต่อว่า “ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเรียกระดับพลังบ่มเพาะในดาวเหยียนหวงรวมถึงระนาบเหยียนหวงนั้นต่างจากในปัจจุบัน และไม่มีคำเรียกหาว่าขอบเขตเซียนสวรรค์…แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยก่อนเรียกหาด่านพลังว่าอะไรบ้างแล้ว รู้เพียงแต่เมื่อแต่ละระนาบมีการไปมาหาสู่กันมากเข้าจึงเริ่มมีชื่อเรียกด่านพลังสากลขึ้นมา…”

 

“ตั้งแต่ตอนนั้นเลยมีคำเรียกหาด่านพลังฝึกปรือที่เป็นสากลปรากฏขึ้น…”

 

จางยี่พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงชั่วคราว ค่อยพูดต่อว่า “อย่างเช่นระนาบโลกียะที่หวังฉีกับหลิ่เสวียอยู่ กับระนาบโลกียะของหรงปัว ไม่เว้นระนาบเหยียนหวงของข้าตอนนี้ก็ใช้ชื่อเรียกด่านพลังเหมือนกัน…”

 

“และถ้าหากข้าจำไม่ผิด…ระนาบของเจ้าก็สมควรใช้ชื่อเรียกหาสากลแล้วเช่นกัน”

 

จางยี่กล่าวถาม

 

“ใช่ เรียกเหมือนกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำหลังได้ยินคำของจางยี่ ขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าผู้เฒ่าหั่วไม่ได้หลอกเขาแต่อย่างไร เพียงแค่ชื่อเรียกด่านพลังของระนาบเหยียนหวงในภายหลังได้เปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง…

 

“อีกราวๆ 1 ชั่วยาม พวกเราจะไปถึงสถานที่ๆข้ากับหลิ่วเสวียค้นพบ”

 

ในขณะที่กำลังเดินทางด้วยความเร็ว น้ำเสียงจริงจังของหวังฉีพลันดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

“สถานที่แห่งนั้นมีค่ายกลและข่ายอาคมมากมายนัก…หนึ่งในนั้นที่ข้าสังเกตเห็นบริเวณปากทางเข้ายังสมควรเป็นข่ายอาคมจำกัดเซียนอมตะเสเพล!”

 

“กล่าวได้ว่า…สถานที่แห่งนั้น มิอนุญาตให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไป!”

 

กล่าวถึงประโยคท้าย สองตาหวังฉีอดไม่ได้ที่จะทอแสงสว่างจ้า

 

“อะไรนะ!? อาคมที่จำกัดการเข้าถึงของเซียนอมตะเสเพลงั้นเรอะ!? หวังฉี เจ้าแน่ใจ?”

 

หรงปัวที่สงบปากสงบคำไม่พูดอะไรอยู่นาน ทว่าพอได้ยินเรื่องนี้จากหวังฉี มันก็ถึงกับโพล่งออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ได้ แลดูเสียอาการนัก

 

“อืม ข้าแน่ใจ”

 

หวังฉีพยักหน้าขานคำ “ก่อนที่ข้าจะเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว ว่าสถานที่บางแห่งจักจำกัดไว้ไม่ให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไป…เมื่อมันสามารถจำกัดมิให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไปได้ ย่อมหมายความว่าพลังวิญญาณใดๆ ไม่เว้นสำนึกเทวะก็มิอาจผ่านเข้าไปตรวจสอบสิ่งใดในนั้นได้”

 

“และสถานที่ๆข้ากับหลิ่วเสวียค้นพบมันก็ปิดกั้นสำนึกเทวะได้อย่างสมบูรณ์…สำนึกเทวะของพวกเราไม่อาจล่วงล้ำผ่านทางเข้าไปได้ด้วยซ้ำ!”

 

หวังฉีกล่าวถึงจุดนี้ ค่อยหันมามองหลิ่วเสวีย

 

“อื๊อ เป็นเช่นนั้น”

 

หลิ่วเสวียพยักหน้า

 

‘หืม?’

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนพลันสังเกตเห็นว่าท่าทีอาการของหรงปัวยิ่งมายิ่งผิดปกติ ยิ่งได้ฟังคำยืนยันจากหวังฉีก็ยิ่งแล้วใหญ่

 

เรียกว่าทันทีที่หวังฉีกับหลิ่วเสวียยืนยันว่าสถานที่แห่งนั้นปิดกั้นสำนึกเทวะได้ แววตาของหรงปัวก็ลุกวาวขึ้นมาทันที สีหน้าท่าทียังแลดูตื่นเต้นไม่น้อย

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาที่ลุกวาวนั่น ทำราวกับมันเห็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น

 

‘หรงปัวมันรู้อะไรมางั้นเหรอ?’

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยนั้นเอง

 

“หรงปัวเจ้ารู้อะไรมาหรือ?”

 

อาการของหรงปัวเรียกว่าผิดแปลกไปอย่างออกหน้าออกตา กระทั่งจางยี่ หลิ่วเสวียก็พบเห็นได้ทันที และสุดท้ายหวังฉีก็อดถามออกมาด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “หากเจ้าล่วงรู้อันใดมา ก็บอกพวกเราเถอะ…พวกเราจะได้เตรียมการให้พร้อม จะได้ลดโอกาสบาดเจ็บล้มตายด้วยความไม่รู้”

 

“ไม่มีอะไรหรอก”

 

พอได้ยินคำถามนี้ของหวังฉี หรงปัวที่เสียอาการก็ค่อยๆกลับสู่สภาพปกติ มันเพียงยักไหล่ตอบออกมาพล่างส่ายหัววเบาๆ

 

“เท่าที่ข้ารู้มา…”

 

ตอนนี้เองจางยี่ที่คล้ายนึกอะไรออกพลันกล่าวขึ้น “ปกติแล้วหากเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน ก็มักจะปิดกั้นการเข้าถึงของเซียนอมตะเสเพลเอาไว้…”

 

“เจ้า!”

 

แทบจะทันทีที่จางยี่พูดเรื่องนี้ออกมา หรงปัวก็หันไปถลึงตามองจางยี่ด้วยความดุร้ายทันที ราวกับเกลียดจางยี่นักที่โพล่งเรื่องแบบนี้ออกมาอย่างโง่งม!

 

ต้องทราบด้วยว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้

 

มีเพียงแค่ขุมพลังระดับสูงบางขุมในมหาระนาบโลกียะเท่านั้น ที่จะทิ้งบันทึกเรื่องราวโดยละเอียดของแดนลับต่างสวรรค์เอาไว้

 

และหนึ่งในนั้นก็คือ หากเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน…ย่อมปิดกั้นไม่ให้เซียนอมตะเสเพลเข้าถึง!

 

แม้มันจะรู้เรื่องนี้แต่มันก็ไม่คิดบอกใคร

 

แต่ไม่คิดเลยว่าจางยี่จะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน แถมยังโพล่งออกมาราววกับไม่รู้คุณค่า ทำให้มันรู้สึกว่าเพื่อนรวมทีมผู้นี้มิใช่คนแต่เป็นหมู!

 

‘มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน!?’

 

แทบจะทันทีที่จางยี่กล่าวจบคำ ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียน หวังฉีหรือหลิ่วเสวียลูกตาก็อดทอแสงจ้าออกมาไม่ได้!

 

เพราะสุดท้ายแล้วในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดย่อมมิใช่อื่นใดนอกจากมรดกของต้าหลัวจินเซียน!

 

“จางยี่เรื่องนี้เจ้าได้ยินมาไม่ผิดแน่หรือ?”

 

หวังฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ ค่อยหันไปกล่าวถามจางยี่เพิ่มเติม

 

“บรรพชนในสำนักเทียนซือของข้าได้ส่งบันทึกสืบทอดเรื่องดังกล่าวต่อกันมาในสำนัก…”

 

จางยี่กล่าวขณะกวาดตามองทุกคนค่อยไปจบที่ต้วนหลิงเทียน “นอกจากนั้น บรรพชนของสำนักเทียนซือข้าที่ลงบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ยังเป็นถึงเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ที่ได้พบเห็นเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเข้าไปยังมรดกสถานแห่งหนึ่งมากับตา…และมรดกสถานแห่งนั้นก็จำกัดไว้ไม่ให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไป!”

 

“ตอนนั้นเหล่าเซียนอมตะเสเพลมากมายที่ทราบข่าวเรื่องนี้ ก็ได้มุ่งหน้ามาปิดล้อมหน้าทางเข้าออกมรดกสถานแห่งนั้นเอาไว้ หมาย ‘แบ่งปัน’ สิ่งดีๆจากฟงชิงหยาง…”

 

“หลังจากที่ฟงชิงหยางกลับออกมาจากมรดกสถานแห่งนั้น เหล่าเซียนอมตะเสเพลมากมายก็คิดใช้กำลังบีบคั้นฟงชิงหยางให้คายสิ่งที่ได้รับออกมา…ทว่าทั้งหมดได้เตะเอาเข้าตอเหล้กอย่างจัง!”

 

“จากถ้อยความในบันทึกของบรรพชนเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์คนนั้นของสำนักเทียนซือข้า ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าวันนั้นตัวท่านช่างโชคดีนักที่ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม หาไม่แล้ว 9 ใน 10 ส่วนไม่พ้นต้องตายภายใต้คมกระบี่ของฟงชิงหยางไปด้วยอีกคน…”

 

“และจากที่ท่านบรรพชนบอก…ไฉนที่ฟงชิงหยางถึงได้ทรงพลังขึ้นอย่างร้ายกาจขนาดนั้นทั้งๆที่มีพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ ล้วนเป็นเพราะฟงชิงหยางได้สืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียนไม่ผิดแน่…”

 

 

ด้วยคำพูดของจางยี่มีเหตุผลรองรับ จึงไม่มีใครไม่เชื่อ

 

“ให้ตาย..หลังฟงชิงหยางได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนแล้ว อาศัยพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะก็เข่นฆ่าเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ได้เชียวหรือ?!”

 

หวังฉีตะลึงงั้น หลิ่วเสวียก็อึ้งค้างตาแข็ง

 

ในอดีตแม้พวกมันจะเคยได้ยินว่าครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก มีเซียนกระบี่ร้ายกาจผู้หนึ่งจากระนาบเซียนได้รับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียนไป

 

แต่พวกมันยังไม่รู้เลย

 

ว่าเซียนกระบี่จากระนาบเซียนผู้นั้น หลังได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนแล้วจะทรงพลังถึงขั้นเข่นฆ่าได้กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ทั้งๆที่มีพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ!

 

พอพวกมันได้ยินเรื่องนี้จกปากจางยี่ไหนเลยจะไม่ตะลึงตาตั้งได้

 

“หรงปัว เช่นนั้นเจ้าก็เลยรู้ได้ทันทีสินะว่าสถานที่ๆข้ากับหวังฉีพบสมควรเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน?”

 

จากนั้นครู่หนึ่งหลิ่วเสวียที่คล้ายฉุกคิดอะไรได้ ก็หันไปมองกล่าวกับหรงปัวด้วยสายตาท่าทีไม่เป็นมิตร

 

วูบ!

 

ทันทีที่หลิ่วเสวียกล่าวเรื่องนี้ หวังฉีก็หันไปมองหรงปัวด้วยสายตาจับผิด

 

“ไม่ใช่แบบนั้น”

 

หรงปัวกล่าวออกเสียงเบา “ในแดนลับต่างสวรรค์ จริงอยู่ที่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนจะปิดกั้นมิให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไป แต่สถานที่ๆปิดกั้นเซียนอมตะเสเพลนั้นมิแน่ว่าจะเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนเสมอไป ข้าที่ไม่อาจยืนยันความจริงได้จึงไม่อยากพูดให้พวกเจ้าเข้าใจผิดแค่นั้น…”

 

“ฮึ! ข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากบอกพวกเรามากกว่า!”

 

หลิ่วเสวียกล่าวออกด้วยโทสะ

 

สายตาที่หวังฉีใช้มองหรงปัวตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

 

ตอนนี้เองจางยี่พลันพูดขึ้นมาอีกครั้ง “โดยปกติแล้วสถานที่ๆปิดกั้นมิให้เซียนอมตะเสเพลเข้าไป ถึงจะไม่ใช่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน แต่ก็สมควรมี ‘เบาะแส’ ที่นำไปสู่มรดกสถานต้าหลัวจินเซียนเก็บไว้…”

 

“หากได้รับเบาะแสที่ว่า แน่นอนว่าย่อมใช้มันค้นหามรดกสถานที่แท้จริงของต้าหลัวจินเซียนได้ไม่ยาก…”

 

“จะอย่างไรก็ตามข้ายืนยันได้เรื่องหนึ่ง…สถานที่ๆหวังฉีกับหลิ่วเสวียพบเจอไม่ใช่สถานที่ธรรมดาๆเป็นแน่”

 

พอจางยี่กล่าวออก ก็ทำให้หรงปัวหันไปมองจางยี่ตาขวางอีกครั้ง

 

เห็นได้ชัดว่าหรงปัวไม่ชอบที่จางยี่พล่ามมาก!

 

“มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน…”

 

แน่นอนว่าความสนใจของต้วนหลิงเทียนถูกคำมรดกสถานต้าหลัวจินเซียนดึงดูดไปอย่างสมบูรณ์

 

‘ด้วยพลังความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้หากได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนมา ไม่ใช่เรื่องยากที่จะก้าวข้ามอาวุโสฟงชิงหยางในปีนั้นได้!’

 

“รีบไปเถอะ”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวังฉีพลางกล่าวกระตุ้น

 

ตอนนี้เขาเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว

 

ราวๆ 1 ชั่วยามต่อมา

 

“ที่นี่ล่ะ”

 

เสียงหวังฉีดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆรู้ได้ทันทีว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

 

พอต้วนหลิงเทียนก้มลงไปมองด้านล่าง ก็พบเห็นเป็นเขาเขียวขจีลูกหนึ่ง

 

ทว่าภายในหุบเขาแห่งหนึ่งบนเขาขจีลูกนี้ กลับมีหมอกควันสีเทาแผ่ปกคลุมอย่างมิดชิด ยากจะมองเห็นได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้น

 

“สำนึกเทวะไม่เพียงแผ่เข้าไปด้านในไม่ได้…กระทั่งจะเข้าใกล้ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างเหนือหุบเขาย่อมตระหนักเรื่องนี้ได้ชัดเจน