ตอนที่ 2,404 : สมบัติสถานตรงหน้า!
“หุบเขาแห่งนี้ล่ะ”
เสียงหวังฉีพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ
อันที่จริงต่อให้หวังฉีไม่กล่าวบอก ต้วนหลิงเทียนก็รู้
สถานที่ๆหวังฉีบอกย่อมเป็นหุบเขาเบื้องล่างแน่นอน เพราะมีเพียงจุดนั้นที่เขาไม่อาจแผ่สำนึกเทวะเข้าไปตรวจสอบอะไรได้เลย จึงสมควรมีอาคมปิดกั้นวิญญาณสลักไว้ไม่ผิดแน่…
เรื่องนี้ทันทีที่มาถึง เขาก็พบแต่แรก
‘ด้วยอาคมปิดกั้นวิญญาณแบบนี้…เซียนอมตะเสเพลที่เป็นร่างพลังวิญญาณไม่มีทางเข้าไปได้เลย’
ต้วนหลิงเทียนที่มองหมอกควันสีเทาอันปกคลุมไปทั่วหุบเขาได้แต่ลอบกล่าวในใจอย่างอดไม่ได้
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหนึ่ง จึงมองไปตามเสียงทันที
ทันใดนั้นเขาก็พบว่า…
ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเหินผ่านไปไกลตา…
อย่างไรก็ตามดูจากทิศทางของร่างดังกล่าว เห็นชัดว่าไม่ได้คิดเหินมาทางนี้ ท่าทางจะแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขาเลย
“ไปกันเถอะอย่าไปสนเลย พวกเราเข้าไปกันแค่ 5คนก็พอ…”
ตอนนี้เองหวังฉีพลันกระตุ้นเตือนต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นให้รีบเข้าไป
ฟังจากคำพูดของมันแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้มีใครอื่นล่วงรู้เรื่องนี้ และเข้าไปกันเอง
แน่นอนว่าไฉนมันถึงไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้นั้น หนึ่งเลยเพราะมันไม่อยากแบ่งปันสมบัติด้านใน อีกทั้งเพราะในกลุ่มมีต้วนหลิงเทียน!
ในสายตาของมัน มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนที่จำกัดการเข้าถึงของเซียนอมตะเสเพลแบบนี้ อาศัยครึ่งก้าวเซียนอมตะ 2 คนสมควรบุกฝ่าเข้าไปได้ไม่ยาก
“เอาสิ”
เมื่อเข้าใจความนัยวาจาของหวังฉี ต้วนหลิงเทียน หลิ่วเสวีย และจางยี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย และในขณะที่ชุดคลุมของทุกคนเริ่มโบกสะบัดด้วยเร่งเร้าพลังออกมา ราวกับจะพุ่งร่างเข้าไปในม่านหมอกสีเทาที่ปิดกั้นเซียนอมตะเสเพลนั้นเอง
“ช้าก่อน!”
จังหวะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นกำลังจะเคลื่อนไหว เป็นหรงปัวที่กล่าวออกมาเสียก่อน ยังรั้งตัวทุกคนเอาไว้!
และก่อนที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆจะทันได้ตอบสนองเรื่องราว
“เฮ่ย! เฝิงหม่าน!!”
หรงปัวมองจ้องไปยังร่างที่กำลังจะเหินผ่านไปจนลับตาไกลๆ พลางตะโกนเรียกหาออกมาดังลั่น!
“หือ?”
ทันทีที่หรงปัวตะโกนคำ ‘เฝิงหม่าน’ ออกมาดังลั่นร่างที่กำลังจะเหินลับตาไปไกลๆก็หยุดชะงักลงทันที ก่อนที่จะหันมองมาทางกลุ่มต้วนหลิงเทียน ค่อยพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
วูบ วูบ วูบ
ทันใดนั้นสีหน้าท่าทีของหวังฉี หลิ่วเสวียและจางยี่เปลี่ยนสีทันที
ตอนนี้ให้พวกมันจะมีความรู้สึกช้าแค่ไหน แต่พวกมันก็รู้ได้
หรงปัวนั้นรู้จักกับคนที่เหินผ่านมา!
ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงคนเดียวที่แต่ต้นจนจบเพียงมองเรื่องราวอย่างเฉยเมยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยถึงจะเห็นหรงปัวเรียกหาคนผ่านทางผู้นั้นก็ตาม
“หรงปัว ไฉนเจ้ามาอยู่นี่ได้เล่า?”
และตอนนี้คนผู้นั้นก็ได้เหินมาถึงจุดที่กลุ่มต้วนหลิงเทียนลอยร่างกันอยู่เรียบร้อยแล้ว หากแต่มันไม่ได้มองผู้ใดเลย เพียงมองทักหรงปัวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
‘พวกมันรู้จักกันจริงๆ!’
แม้หวังฉีหลิ่วเสวียและจางยี่จะพอเดาได้แต่แรกว่าหรงปัวสมควรรู้จักกันกับอีกฝ่ายตั้งแต่ที่ตะโกนคำ ‘เฝิงหม่าน’ ออกไป แต่พอเห็นว่าทั้งคู่ทักทายสนทนากันด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปเล็กน้อย
เพราะตอนนี้พวกมันรู้ได้ทันที…
ว่ามีอีก 1 คนที่กำลังจะมาแบ่งสันปั่นส่วนกับพวกมันแล้ว!
นอกจากนี้อีกคนที่ว่า ยังรู้จักกันกับหรงปัวอีกด้วย!!
“เฝิงหม่าน เจ้าลองใช้สำนึกเทวะสำรวจหุบเขาเบื้องล่างดูก่อนเถอะ…”
หรงปัวไม่ได้ตอบคำอีกฝ่ายแต่อย่างไร เพียงกล่าวแนะออกมา
ผู้ที่พึ่งมาถึงนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างปานกลางหน้าตาจัดว่าดี หากแต่ด้วยสายตาที่ทอประกายคมกล้านั่น ก็บอกให้รู้ว่ามันหาได้ง่ายดายไม่ มิน่าใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน!
ตอนนี้พอได้ยินคำแนะของหรงปัว ชายหนุ่มนามเฝิงหม่านก็แผ่สำนึกเทวะออกไปอย่างไม่รู้ตัว สำรวจหุบเขาเบื้องล่าง
และไม่นานมันก็พบว่า…
อย่าว่าแต่สำรวจด้านในหุบเขา สำนึกเทวะของมันกระทั่งเข้าใกล้ยังไม่ได้…
ราวกับมีพลังอันร้ายกาจขุมหนึ่งปิดกั้นสำนึกเทวะของมันเอาไว้ ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไป!
“นี่มัน…”
พริบตาดุจฟ้าแลบในใจของมันก็คล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทำให้สองตามันลุกวาวขึ้นมา สีหน้ายังเปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้น!
เห็นได้ชัดว่ามันตระหนักได้แล้วว่ามีสิ่งใดอยู่ในหุบเขาอันมีหมอกปกคลุมนั่น ถึงได้ปิดกั้นสำนึกเทวะของมันแบบนี้!
ในแดนลับต่างสวรรค์…มีเพียงมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน หรือสถานที่ๆอันเก็บเบาะแสที่จะนำไปสู่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนเท่านั้นที่มีข่ายอาคมปิดกั้นสำนึกเทวะแบบนี้!
และแน่นอนว่าอันที่จริงแล้ว
อาคมนั่นไม่ได้ปิดกั้นแค่สำนึกเทวะ หากแต่ปิดกั้นวิญญาณ…กล่าวให้ชัดคือจงใจทำขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพลที่ก่อร่างขึ้นจากพลังวิญญาณล่วงล้ำเข้าไปได้!!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า…เป็นไปไม่ได้เลยที่เซียนอมตะเสเพลจะได้รับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียนในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้!
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเดาได้แล้วสินะ”
หรงปัวกล่าวออกเสียงเบา
“ฮ่าๆๆ…!”
เฝิงหม่านพอคืนสติก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “หรงปัวนี่เจ้าจะไม่โชคดีเกินหน้าเกินตาไปหน่อยรึไงหา…เข้ามาในแดนลับเซียนแค่ครึ่งปีเจ้าก็พบที่ดีๆแบบนี้แล้ว…นี่ถ้าด้านในมีมรดกของต้าหลัวจินเซียนอยู่ พวกเราไม่ใช่พบวาสนาครั้งใหญ่รึไง?!”
“ไงล่ะ รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของข้ารึยัง?”
หรงปัวกล่าวพลางยักคิ้วด้วยรอยยิ้ม
“ร้ายกาจ! พี่ท่านหรงปัวร้ายกาจที่สุด! นับถือๆ”
เฝิงหม่านกล่าวตอบเอาใจหรงปัวพลางยกมือขึ้นประสานเขย่าอย่าสนุกสนาน ค่อยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มยินดี “เอาล่ะหรงปัว…คราวนี้เมื่อเจ้ายินดีแบ่งปันเรื่องนี้กับข้า นับว่าข้าเฝิงหม่านติดค้างเจ้าเรื่องหนึ่ง! วันหน้ามีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าบอกได้เลย!!”
เพราะเมื่อครู่ถ้าหรงปัวไม่ร้องทักมัน เกรงว่าป่านนี้มันคงเหินไปไหนต่อไหนแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเจออะไรดีๆแบบนี้!
“ว่าแต่ แล้วคนพวกนี้เล่า?”
ตอนนี้เองเฝิงหม่านก็หันมาให้ความสนใจพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ที่ลอยอยู่ไม่ไกลพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนที่จะหันกลับไปมองหรงปัวกล่าวออกเสียงเย้ย “หรงปัว อาศัยพลังฝีมือเจ้ากับข้า…น่าจะมากพอบุกเข้าไปในสมบัติสถานแห่งนี้ที่ปิดกั้นเซียนอมตะเสเพลแล้วกระมัง…”
“ยังจำเป็นต้องหอบหิ้วผู้คนเข้าไปเยอะแยะแบบนี้ด้วยหรือ?”
กล่าวประโยคนี้เฝิงหม่านก็หันกลับมามองพวกต้วนหลิงเทียน ในแววตาของมันยังเริ่มทอประกายเยียบเย็นฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน!
ดูแล้วไม่พ้นมันคิดว่าพวกต้วนหลิงเทียนเป็นได้แค่ตัวเกะกะ เข้าไปด้านในก็รังแต่จะแบ่งสันปันส่วนสมบัติเสียเปล่าๆ…
“อ่า ข้าก็คิดเหมือนเจ้า…พวกเราไม่ต้องพาคนเข้าไปมากมายให้วุ่นวายเสียเรื่อง…”
สิ้นคำเฝิงหม่าน เสียงกล่าวด้วยความถือดีของหรงปัวก็ดังขึ้น ยังหันมามองทั้ง 4 ด้วยสายตาเฉยชา มันยังจงใจกล่าวออกมาตอนที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยเยาะอีกด้วย
“หรงปัว!”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของหรงปัว หวังฉีมีโมโหจนแทบกระอักเลือด “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ไม่จำเป็นต้องพาคนมากมายเข้าไปให้วุ่นวาย? เจ้าอย่าได้หลงลืมไป! หากมิใช่เพราะข้ากับหลิวเสวี่ยพบเจอสถานที่แห่งนี้แล้วพาเจ้ามา ตัวเจ้าจะพบเจอสถานที่แห่งนี้ได้หรือ?!”
“พอเจ้ามาถึงสมบัติสถานที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนเข้าหน่อย…เลยคิดจะฮุบไว้คนเดียวหรือไร?”
ตอนนี้เรียกว่าหวังฉีมีโมโหนัก โทสะของมันลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟที่พร้อมแผดเผาสรรพสิ่งให้มอดไหม้!
และไม่ว่าจะเป็นเฝิงหม่านหรือหวังฉี ตอนนี้ต่างเรียกหาหุบเขาเบื้องล่างว่า สมบัติสถาน!
เพราะพวกมันรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้ หากไม่ใช่มีมรดกของต้าหลัวจินเซียนอยู่ ก็สมควรเป็นสถานที่ๆมีเบาะแสอันนำไปสู่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน!!
เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ หากจะเรียกหาว่า ‘สมบัติสถาน’ ก็นับว่าเหมาะสมนัก!
ถึงแม้หลิ่วเสวียจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาที่นางใช้มองหรงปัวตอนนี้ก็เต็มไปด้วยไฟโทสะ!
หากรู้เรื่องนี้นางจะยืนกร้านคัดค้านหวังฉี และขับไล่หรงปัวไปให้พ้นๆแต่แรก!
“อ้อ ที่แท้เป็นพวกเจ้าเองหรือที่พบเจอสมบัติสถาน?”
ได้ยินคำของหวังฉี เฝิงหม่านก็พอเข้าใจเรื่องราวได้ทันที จากนั้นก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถามหรงปัวอย่างไม่รอช้า “หรงปัว พวกมัน 4 คนร้ายกาจมากหรือไม่…อาศัยเจ้ากับข้าสามารถจัดการพวกมันได้หมดรึเปล่า?”
จากปฏิกิริยาของหวังฉีและหลิ่วเสวีย เฝิงหม่านย่อมสังเกตเห็นถึงความไม่ลงรอยระหว่างหรงปัวกับคนในกลุ่มได้ทันที
“ในบรรดาพวกมัน 4 คน มีไอ้หนูหน้าขาวชุดม่วงนั่นคนเดียวที่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ส่วนที่เหลือมีเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน 2 คนกับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีกคน…อาศัยเจ้ากับข้าร่วมมือกัน คิดฆ่าพวกสวะนี้หาได้กินแรงอันใด!”
หรงปัวก็เร่งตอบคำผ่านพลังไปทันที
“แต่…ชาย 3 คนนั่นพวกเราฆ่าทิ้งได้ทันที ส่วนสตรีนางนั้นเจ้าอย่าได้รีบร้อนฆ่านางนัก! ให้ข้าจัดการนางให้สมใจก่อน…แล้วค่อยส่งนางไปตามทาง!!”
ขณะที่กล่าวผ่านพลังถึงประโยคนี้ หรงปัวก็หันไปมองหลิ่วเสวียด้วยสายตาแทะโลม ยิ่งมายิ่งหื่นกระหายออกหน้าออกตา!
ต้องทราบด้วยว่าตั้งแต่ที่ในกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้มีต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วม ด้วยความกริ่งเกรงต้วนหลิงเทียนที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเหมือนมัน ตัวมันเลยไม่กล้ามองหลิ่วเสวียเหมือนตอนแรก
ถึงแม้มันจะไม่ได้กลัวต้วนหลิงเทียน ทว่าหากหวังฉีกับหลิ่วเสวียรวมถึงจางยี่ลงมือสนับสนุนต้วนหลิงเทียนเล่นงานมันขึ้นมา มันเองก็ไม่ไหวจะสู้เหมือนกัน…
“เข้าใจแล้ว”
ได้ยินเสียงผ่านพลังของหรงปัว เฝิงหม่านก็พยักหน้าส่งเสียงตอบกลับ และพอมองไปยังกลุ่ม 4 คนของต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แววตายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด ทำให้นอกจากต้วนหลิงเทียนแล้วอีก 3 คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เพราะตอนนี้หวังฉี หลิ่วเสวียและจางยี่ รู้สึกไม่ต่างอะไรจากกบน้อยที่ถูกอสรพิษจับจ้อง!
“หรงปัว…เจ้าคิดว่าพอมีคนช่วยแล้วเจ้าจะจัดการพวกเรา 4 คนได้งั้นเหรอ?”
หวังฉีมองหรงปัวพลางกล่าวออกมาตรงๆเสียงเย็น
“อ้อ หากคนช่วยข้าเป็นคนอื่นข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการพวกเจ้าทั้ง 4 ได้หรอก…”
หรงปัวยิ้มแสยะ “น่าเสียดาย คราวนี้พวกเจ้านับว่าดวงกุดแล้วจริงๆ…ในระนาบคงสิงของข้า รวมตัวข้าแล้วมีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุไม่ถึงร้อยปีอยู่แค่ 7คนเท่านั้น ทว่าเฝิงหม่านก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน!”
กล่าวถึงจุดนี้ยิ้มแสยะบนหน้าหรงปัวยิ่มายิ่งฉีกกว้าง
และแทบจะพร้อมกันกับที่หรงปัวกล่าวจบคำ
วูบ วูบ วูบ
ไม่ว่าจะเป็นหวังฉี หลิ่วเสวียหรือจางยี่ สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้
เพราะพวกมันมคิดไม่ฝันเลยว่า…
เฝิงหม่านผู้นี้ ก็เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเหมือนกัน!!
ต้องทราบด้วยว่าแม้จะเป็นมหาระนาบโลกียะของพวกมัน ก็ใช่ว่าจะมีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุไม่ถึงร้อยปีเกิน 10 คน!
ทว่าตอนนี้ผู้ที่บังเอิญผ่านทางมานั้น ไม่เพียงแต่จะรู้จักกันกับหรงปัว แต่อีกฝ่ายยังเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเหมือนหรงปัวอีกด้วย!
‘สองครึ่งก้าวเซียนอมตะ…’
จังหะนี้ใจของหวังฉี หลิ่วเสวียและจางยี่รู้สึกเสมือนจมจ่อมลงบ่อมืด…
หากอีกฝ่ายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน และต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่สำนึกรู้ฟ้าดินถึงขีดจำกัดเจียนชักนำหายนะสู่สวรรค์อาศัยพวกมัน 3 คนรับมือไว้ และให้ต้วนหลิงเทียนรับมือหรงปัว ก็ไม่ใช่ว่าจะพ่ายแพ้เสมอไป…
ทว่าตอนนี้…
อีกฝ่ายกลับเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งคู่!!