เอ็มลินตอบหลังจากค้างยิ้มไว้สักพัก
“ผมหาผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเพียงพอได้”
คราวนี้มันไม่อยากหยิบยืมแรงจากตระกูลผีดูดเลือดสักเท่าไร เพราะไม่อย่างนั้นคงได้ทำงานจำพวกคนประสานงาน คนดูต้นทาง หรือไม่ก็คนคอยส่งข่าวเหมือนทุกที ส่งผลให้ไม่มีสิทธิ์มากพอที่จะเลือกแบ่งสมบัติ
และสำหรับดยุคกับมาร์ควิสผีดูดเลือด พวกมันมีคนในบัญชาที่รอต่อคิวเป็นเอิร์ลมากมาย
เดิมทีเอ็มลินเชื่อว่าในฐานะผู้กอบกู้ของตระกูล มันควรมองพี่น้องทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่หลังจากมิสเตอร์แฮงแมนช่วยวิเคราะห์คำสั่งไม่ชอบมาพากลจำนวนมากที่มาจากลอร์ดนีบาสและคนอื่น เอ็มลินเริ่มหวาดระแวงเจตนาของพวกมัน
มาริคขมวดคิ้วถาม
“เชอร์ล็อกโมเรียตี้?”
เอ็มลินประหลาดใจจนต้องเปลี่ยนท่านั่ง
“ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นเขา?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอ็มลินจะถามออกไปตามตรงว่า ‘ทำไมถึงเป็นเชอร์ล็อกโมเรียตี้ ชายคนนั้นหายไปจากเบ็คลันด์เกือบสองปีแล้ว!’ แต่คราวนี้มันจับสังเกตได้จากคำตอบของมาริค จึงถามกึ่งหยั่งเชิง
เชอร์ล็อกโมเรียตี้เป็นคนพิเศษในสายตาวิญญาณอาฆาตตนนี้หรือ? แต่ก็เข้าใจได้ ชายคนนั้นพิเศษอย่างแท้จริง…เอ็มลินพยายามคาดเดา
สีหน้ามาริคแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่ได้ยินคำถามเอ็มลิน ราวกับมันเพิ่งได้พบไวเคาต์ผีดูดเลือดเป็นครั้งแรก
มันพยายามระงับความผิดปรกติทางสีหน้าก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“ขอทบทวนดูก่อน…หวังว่าคราวหน้าคุณจะมาพร้อมแผนการที่ชัดเจนกว่าเดิม”
“ไม่มีปัญหา” เอ็มลินแอบโล่งใจ
มันลุกขึ้นยืนพร้อมกับคำนับอย่างสุภาพ
เอ็มลินสวมหมวกผ้าไหมและเดินออกจากห้องหลังจากตกลงวิธีการติดต่อ
ผีดูดเลือดหนุ่มนึกทบทวนแผนระหว่างทางกลับบ้าน
ถ้าทำให้ครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนายอมตกลงร่วมมือได้ เราก็จะมีสิทธิ์เบิกใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่ง จากมาร์ควิสหรือดยุคของตระกูล…
จากนั้นก็อ้างว่าทางฝั่งพันธมิตรไม่ต้องการให้มีผีดูดเลือดครึ่งเทพเข้าร่วมปฏิบัติการ ถือเป็นการกีดกันอย่างสมเหตุสมผล…
แต่การจะทำให้มาริคยอมตกลงรับข้อเสนอ เราต้องแสดงให้เห็นว่ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ…อาจต้องจ้างงานจากสมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างมาดามเฮอร์มิท มิสจัสติส และมิสเตอร์แฮงแมน…มิสเมจิกเชี่ยนก็ได้เช่นกัน เธอมีพลังเทเลพอร์ตและอัญเชิญเกอร์มันสแปร์โรว์ออกมาได้…
แต่ปัญหาก็คือ…เราจะจ่ายด้วยอะไร…
ทำได้แค่สัญญาล่วงหน้าว่าเมื่อได้กลายเป็นเอิร์ล เราจะไล่ชดใช้คืนให้จนครบทุกคน…
คิดถึงตรงนี้ เอ็มลินรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่นำพาตนมาเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์
เท่าที่มันทราบ นี่คือองค์กรเดียวที่อนุญาตให้มีการจ่ายค่าจ้างเป็นคำสัญญาล่วงหน้า
เมื่อเทียบกันแล้ว ทั้งตระกูลผีดูดเลือดและโบสถ์หลักต่างใช้วิธีสะสมคะแนนผลงานจนถึงกำหนด จึงจะได้รับตะกอนพลังและความช่วยเหลือในการจัดพิธีกรรม น่าเศร้าที่มีผู้วิเศษบางคนไม่สามารถสะสมคะแนนผลงานได้ครบก่อนตาย
ระบบของชุมนุมทาโรต์เหมือนกับการกู้สินเชื่อที่มีมิสเตอร์ฟูลช่วยค้ำประกัน สามารถใช้เพื่อจ้างงานและซื้อของ จากนั้นก็ค่อยผ่อนจ่ายภายหลังเมื่อเลื่อนลำดับสำเร็จ…เอ็มลินเปรียบเปรยตามสิ่งที่ตนคุ้นเคย
แม้ว่ามันจะไม่เคยกู้เงินจากธนาคาร แต่ผีดูดเลือดผู้มั่งคงบางตนเชี่ยวชาญด้านนี้และมักแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังบ่อยครั้ง
ผีดูดเลือดส่วนมากมักมีงานอดิเรกประจำที่ค่าใช้จ่ายสูง ประกอบกับการที่ทรัพย์สินราคาแพงต้องใช้เวลาในการขายสักพัก มีบ่อยครั้งที่พวกมันต้องยืมเงินจากคนสนิทหรือธนาคารเพื่อรักษาสภาพคล่อง
เอ็มลินจำได้ว่ามีผีดูดเลือดที่ทำธุรกิจไม่เก่งตนหนึ่งซึ่งหาเงินจากการประกอบอาชีพหมออย่างเดียว เมื่อถึงคราวที่มันอยากได้ภาพศิลปะหายากราคาสูง ผีดูดเลือดตนดังกล่าวเลือกใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารเบ็คลันด์
แต่หลังจากนั้นมันก็ต้องนำบ้านและที่ดินไปจำนอง ฉกฉวยโอกาสจากการมีชีวิตยืนยาวเพื่อผ่อนจ่ายได้นานกว่ามนุษย์ปรกติ แน่นอนว่าเมื่อผู้เป็นบิดาตาย ลูกก็ต้องสานหนี้ต่อ และเมื่อลูกตายก็ถึงคิวของหลาน
จากกรณีดังกล่าว เอ็มลินสามารถนิยามได้หนึ่งคำ ซื่อสัตย์ฉิบหาย
…
เขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ ด้านนอกวิหารนักบุญแซมมวล
ชาวเมืองกำลังต่อแถวเพื่อรับอาหารจำพวกขนมปังปิ้ง เห็ดแห้ง ผลไม้ตากแห้ง และอาหารชนิดอื่นจากพนักงานของกองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้แห่งโลเอ็น
แถวการแจกจ่ายยาวจากหน้าทางเข้าวิหารไปถึงจัตุรัสและวนอีกหลายรอบ มองเข้าไปจะเห็นผู้คนเบียดเสียดจำนวนมาก
ออเดรย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเมลิสซ่ากำลังเก็บรายละเอียดทั้งหมดในการมองเห็น
เธอเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของชาวเมืองผู้มีสายตาหิวโหย เห็นแม่ที่กำลังกล่อมลูกน้อยในอ้อมแขนพลางชำเลืองแถวที่แทบไม่สั้นลง เห็นผู้คนแต่งกายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะชุดสุภาพ เดรสยาว หรือเสื้อผ้าสีสันสดใส บางคนกดปีกหมวกต่ำ บ้างก็สวมตาข่ายคลุมหน้าราวกับไม่ต้องการให้คนรู้จักจดจำได้
มีบ่อยครั้งที่คนพยายามฝ่าฝืนกฎและถูกนักบวชกับตำรวจไล่ออกไปต่อคิวท้ายแถว
ยิ่งอาหารถูกแจกจ่าย ถุงผ้าใบใหญ่ด้านหลังก็ค่อยๆ ลดขนาดลงกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดด้านใน
อาหารถูกแจกจ่ายหมดแล้ว แต่คิวกลับยังลดไปแค่ครึ่ง
ชาวเมืองที่พลาดอาหารต่างแสดงอารมณ์หลากหลาย มีทั้งผิดหวังรุนแรง หงุดหงิดฉุนเฉียว และไม่พอใจ แต่ทุกคนก็ทำเพียงเดินเท้าไปยังจุดแจกจ่ายถัดไปโดยไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายหรือส่งเสียง
พวกมันเคยเผชิญประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนหลัง ทุกคนทราบดีว่าการระเบิดอารมณ์โดยเปล่าประโยชน์ทำได้เพียงเผาผลาญพลังงานซึ่งเหลืออยู่น้อยนิดเต็มที คงฉลาดกว่าหากจะใช้พลังงานนั้นเพื่อเร่งฝีเท้าไปยังจุดแจกจ่ายอาหารใหม่ก่อนใคร
สีหน้าทุกคนค่อนไปทางเหม่อลอย ดวงตาว่างเปล่าขณะเดินออกจากจัตุรัสประหนึ่งซอมบี้
ทันใดนั้นเอง สตรีที่อุ้มเด็กเล็กพลันล้มลงกับพื้นหลังจากเดินกะเผลกมาได้สักพัก
ลูกชายของเธอแหกปากร้องไห้ด้วยเสียงเจ็บปวด
ขณะร้องก็พูดกับแม่ว่า
“แม่…ผมหิว”
“เดี๋ยวก็ได้อาหารแล้ว…ต้องได้แน่…ที่จัตุรัสรำลึกมีอาหาร” สตรีคนดังกล่าวอุ้มลูกอีกครั้งพร้อมกับตบหลังทั้งน้ำตา
เห็นฉากตรงหน้า ขณะออเดรย์เตรียมกล่าวบางสิ่ง เธอเห็นเมลิสซ่าก้มหยิบอาหารจากกล่องไม้ใต้โต๊ะยาวและวิ่งไปหาสองแม่ลูก
“ฉันดูผิด…ยังเหลืออีกหนึ่งชุด…” เมลิสซ่านั่งยองพลางยื่นขนมปัง เห็ดแห้ง และผลไม้แห้งใส่มือแม่ เธอพยายามอธิบายด้วยเสียงเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง
อาหารที่ยังเหลือในกล่องถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเจ้าหน้าที่กองทุน ชุดที่มอบให้สองแม่ลูกเป็นส่วนของเมลิสซ่า
สตรีคนดังกล่าวส่งอาหารให้ลูกชายพร้อมกับรีบไหว้ลวกๆ
“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณจริงๆ …”
เด็กเล็กกอดอาหารแนบแน่นพร้อมกับเปล่งเสียงเลียนแบบมารดาด้วยความไร้เดียงสา
“ขอบคุณครับ…”
ออเดรย์ถอนสายตากลับและมองไปรอบตัวตามความเคยชิน จากนั้นก็พบว่านักบวชของวิหาร ตำรวจ และเหยี่ยวราตรีที่ปะปนอยู่กับฝูงชนเพื่อคอยคุ้มครองอย่างลับๆ ต่างกำลังแสดงความเห็นใจ สงสาร และเศร้าโศกโดยไม่ปิดบัง
ออเดรย์หยิบอาหารในส่วนของเธอมายืนใส่มือเมลิสซ่าเมื่อชาวเมืองกลับไปหมดแล้ว
“ส่วนของคุณ”
เมลิสซ่าจ้องมิสฮอลล์พลางส่ายศีรษะ
“ส่วนของฉันให้แม่ลูกคู่นั้นไปแล้ว…มิสฮอลล์ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ที่บ้านของฉันมีอาหาร พี่ชายฉันเป็นข้าราชการ…”
ออเดรย์ยิ้มจางพลางยัดขนมปัง เห็ดแห้ง และผลไม้แห้งใส่มือเมลิสซ่า
“ไม่ต้องห่วงฉัน ทางตระกูลได้เตรียมของวางให้ฉันออกมากินข้างนอกอยู่แล้ว”
หญิงสาวหยิบกล่องไม้จากสาวใช้แอนนี่และเปิดให้เมลิสซ่าดูขณะเล่า
ในกล่องไม้มีแซนด์วิชแตงกวาหรูหรา มัฟฟินเนย และเค้กแคร์รอตชิ้นเล็ก
เมลิสซ่าเผยใบหน้าตกตะลึงทันที เธอจ้องของว่างในกล่องไม้สักพักก่อนจะเงยหน้ามองออเดรย์ฮอลล์
หญิงสาวก้มหน้าและรีบกินขนมปังคู่กับน้ำเปล่าที่ทางวิหารจัดหาให้
ออเดรย์ยืนนิ่งเป็นเวลานานราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ผ่านไปหลายวินาทีที่เธอเอาแต่เม้มปากโดยไม่กล่าวคำใด
…
หลังจากชาวเมืองชุดที่ห้าผ่านการชำระล้างและรักษา รวมถึงเพลิดเพลินไปกับเห็ดวิเศษ ชาวเมืองจันทราก็กลายเป็นสาวกของเดอะฟูลอย่างไร้แรงต่อต้าน ทุกคนต้อนรับผู้เผยแผ่พระวจนะ เกอร์มันสแปร์โรว์เข้าไปในเมืองด้วยความอบอุ่น
ไคลน์ไม่รีรอที่จะจัดพิธีกรรมชำระล้างหมู่ครั้งใหญ่ด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส จากนั้นก็รักษาโรคชาวเมืองที่เหลือด้วยไม้เท้าแห่งชีวิต
มหานักบวชนีมที่กักตัวเสร็จ เดินออกมาถามเกอร์มันสแปร์โรว์หลังพิธีกรรมจบ
“ท่านเจ้าคุณ…พระนามเต็มอันทรงเกียรติของพระองค์คืออะไรหรือ”
ไคลน์มองไปรอบตัวพลางเปล่งเสียงสำรวม
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”
มันเน้นย้ำเพิ่มเติมหลังจากมอบพระนามเต็ม
“ห้ามสวดวิงวอนถึงพระองค์ในยามปรกติเด็ดขาด ให้ทำเฉพาะในตอนที่มีเหตุสำคัญเท่านั้น”
ไม่อย่างนั้นมิสเตอร์ฟูลคงสติแตกกับ ‘สายโทรศัพท์นอกเวลางาน’
นีมมิได้เผยท่าทีประหลาดใจ เพราะเทพสุริยันบรรพกาลเองก็กำชับเช่นนี้
มันถามหลังจากไตร่ตรองสักพัก
“พิธีกรรมของพระองค์มีข้อกำหนดใดบ้าง?”
ไคลน์เปล่งเสียงทุ้มเหมือนกับพวกสิบแปดมงกุฎ
“พระองค์ทรงตรัสว่า บัญญัติข้อที่แปด จงรับใช้เราด้วยใจ หาใช่เครื่องสังเวย”
“สิ่งสำคัญที่สุดของพิธีกรรมคือความศรัทธา ไม่มีเงื่อนไขอื่น เรียบง่ายเข้าไว้”
เพราะพระองค์มิได้สนใจเลยสักนิด…ไคลน์เสริมในใจ
มันยกมือขวาชี้ไปทางกองเห็ดหลังจากอธิบายจบ
“พระองค์ทรงประทานเห็ดเหล่านี้เพื่ออวยพรให้ทุกคนมีอาหารอุดมสมบูรณ์…นี่เป็นเห็ดชนิดพิเศษที่ต้องปลูกจากศพสัตว์ประหลาด เห็ดสีดำมีหน้าที่กักเก็บมลพิษ การกัดกร่อน และความบ้าคลั่งเอาไว้ สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุคำสาปหรือใช้ฉาบหัวลูกศร”
ชาวเมืองจันทราต่างฟังด้วยความปลาบปลื้มพลางก้มหน้าประสานมือตะโกน
“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”
ทันใดนั้น ไคลน์รู้สึกคล้ายกับได้ยินเสียงมายาดังจากอากาศ เสียงดังกล่าวผสานเข้ากับเสียงจริงและโอบกอดชายหนุ่มไว้ในฐานะหลักยึดเหนี่ยว
……………………