หลังจบพิธีมิสซาใหญ่ ไคลน์เดินตามนักบวชหน้าใหม่ของศาสนาเดอะฟูล นีม เข้าไปในหอคอยสีดำ
นีมอธิบายเกี่ยวกับสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่ง และครึ่งเทพในเมืองจันทราโดยไม่มากพิธีรีตอง
ครึ่งเทพสามตน…สมบัติปิดผนึกระดับหนึ่งห้าชิ้น…เมืองจันทราไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด…สมแล้วที่ถูกเลือกให้ได้รับวิวรณ์มาเฝ้าม่านหมอก…นอกจากนั้นยังมีความหลากหลายของเส้นทางผู้วิเศษ สามารถร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยกันประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับโดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอก ไม่ต้องคำนึกถึงข้อจำกัดทางสภาพแวดล้อม…แต่ถ้าเทียบกับเมืองเงินพิสุทธิ์ ธรรมชาติของที่นี่แย่กว่ามาก แถมยังไม่มีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ คอยค้ำจุน การมีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากทีเดียว…ถ้าไม่ติดปัญหาด้านขาดแคลนอาหาร พวกเขาคงดำรงอยู่ได้อีกไม่ต่ำกว่าร้อยปี…ไคลน์ผุดความคิดมากมายหลังจากได้ฟังข้อมูล
นีมกล่าวอย่างนอบน้อม
“ท่านผู้ส่งสาร พวกเรามีความยินดีที่จะสังเวยตะกอนพลังและสมบัติปิดผนึกทุกชิ้นแด่พระองค์…ท่านคิดว่าพระองค์ชื่นชอบชิ้นใดมากเป็นพิเศษ?”
มหานักบวชทั้งสามคนนอกจากนีมซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ราตรี เมืองจันทรายังมีอัศวินเลือดเหล็กและจอมเวทกฎหมายซึ่งถูกขนานนามให้เป็น ‘นักบวชอสนี’ และ ‘นักบวชรัตติกาล’ ตามลำดับ
สำหรับสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่งชิ้นแรกเป็นของเส้นทางสัตว์ประหลาด คาดว่าเป็นตะกอนพลังของ ‘จอมเวทเคราะห์กรรม’ ที่ผสานเข้ากับ ‘นักท่องกลียุค’ จำนวนเล็กน้อย ชิ้นที่สองมาจากตะกอนพลัง ‘หุ่นกระบอก’ ของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ ชิ้นที่สามได้รับการประทานจากเทวทูตสีชาดเมดีซีโดยตรง มีพลังในการรวบรวมพลังไว้ในจุดเดียว ชิ้นที่สี่เป็นตะกอนพลังของ ‘จอมเวทพิสดาร’ กับอะไรบางอย่าง และชิ้นสุดท้ายไม่มีใครทราบว่ามาจากเส้นทางใด มีพลังในขอบเขตการหยั่งรู้ระดับสูง แต่ก็จัดว่าอันตรายมากเนื่องจากผู้ใช้งานจะถูกกัดกร่อนโดยไม่ทราบแหล่งที่มา
เปลือกตาไคลน์กระตุกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“จงรับใช้พระองค์ด้วยหัวใจ มิใช่เครื่องสังเวย…พระองค์คือผู้โอบกอดโลกใบนี้ ย่อมไม่แยแสสิ่งเล็กน้อยของพวกท่าน”
มันกล่าวต่อหลังจากเว้นวรรค
“หากพวกคุณไม่รังเกียจ สามารถพาผมเดินชมที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตาได้”
“ไม่มีปัญหาขอรับ!” นีมตอบโดยปราศจากความลังเล
เดิมทีมันคิดว่าเกอร์มันสแปร์โรว์จะรับสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่งไว้สักชิ้นก่อนเดินชมเมือง แต่กลับต้องผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายต้องการทราบสถานการณ์ของเมืองมากกว่าผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย ผู้ส่งสารแห่งเทพรายนี้อาจหยิบทุกชิ้นขึ้นมาดู แต่สุดท้ายก็วางกลับไป
ไคลน์กล่าวกับสามมหานักบวชหลังจากการเดินชมเมืองจบลง
“โอกาสในการเดินทางออกจากดินแดนต้องสาปยังมาไม่ถึง พวกคุณต้องอดทนรออีกสักพัก…ส่วนผมยังคงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและเผยแผ่พระกรุณาของพระองค์”
“ขอรับ ท่านผู้ส่งสาร” นีมและนักบวชที่เหลือขานรับแข็งขัน
ด้วยเห็ดวิเศษเหล่านี้ พวกมันจะไม่ขาดแคลนอาหารไปอีกอย่างน้อยสามชั่วอายุคน
สะสางเรื่องราวของเมืองจันทราเสร็จ ไคลน์ถือตะเกียงเดินฝ่าความมืดในสภาพแต่งกายด้วยเสื้อกันลมและหมวกทรงกึ่งสูง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะทำอะไรต่อ
ตามหาหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์และล่าเทพแห่งความปรารถนารายนี้!
ความปรารถนาของเราคือตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์และผ้าม่านผืนนั้น…ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยทำให้เป็นจริงได้ไหม…ไคลน์จิกกัดติดตลกภายในใจขณะเดิน
ชายหนุ่มดึงตัวเองอีกคนออกจากความว่างเปล่าหลังจากเดินลับสายตาชาวเมืองจันทรา
สติถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายทันทีที่ร่างต้นเข้าไปหลบในช่องว่างประวัติศาสตร์
ภาพฉายทำการอัญเชิญไม้เท้าดวงดาว จากนั้นไคลน์ก็ย้ายตำแหน่งไปยังภาพในจินตนาการ
ซากเมืองโบราณนอร์ธทางตอนเหนือ!
ภาพฉายของไคลน์และไม้เท้าดวงดาวสลายตัวทันทีที่ไปโผล่เหนือเมืองนอร์ธ จิตใต้สำนึกชายหนุ่มย้ายกลับมายังร่างต้นบนดินแดนรกร้างใกล้กับเมืองจันทราอีกครั้ง
ถัดมาเป็นการอัญเชิญภาพฉายไม้เท้าออกมาใหม่ จากนั้นก็ให้ร่างต้นย้ายตำแหน่งไปยังเมืองนอร์ธด้วยตัวเอง
การทดสอบครั้งแรกมีเพื่อยืนยันว่าภาพในจินตนาการไคลน์และสภาพจริงของเมืองนอร์ธยังคงตรงกัน ป้องกันมิให้ไม้เท้าดวงดาวส่งร่างต้นไปยังตำแหน่งสุ่ม
นี่คือความไม่ประมาทของปราชญ์โบราณ
…
ใจกลางลานฝึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่เงียบและมืด
โดยมีโคลินอีเลียดผู้สะพายดาบยาวสองเล่มบนหลังยืนอยู่ไม่ห่าง เดอร์ริคก้มหน้าประกอบพิธีกรรมถึงเดอะฟูลพลางวิงวอนให้พระองค์ส่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลงมาช่วยเหลือ
คาถาค่อนข้างซับซ้อนเนื่องจากพิธีกรรมในคราวนี้แตกต่างจากการอัญเชิญตามปรกติ
“ข้าแต่มหาเดอะฟูล พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งสายหมอกสีเทา พระองค์ผู้เป็นราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
“ข้าขอวิงวอนความรักจากท่าน…”
“ข้าขอวิงวอนความสนใจ…”
“ข้าขอวิงวอนพลังในขอบเขตการปกปิดและแปรเปลี่ยน…”
“ตัวข้า!”
“ขออัญเชิญในนามแห่งมหาเดอะฟูล”
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้เห็นแจ้งในทุกสิ่ง ข้ารับใช้แห่งราชันเหลืองดำ ผู้ท่องดินแดนความฝันและจิตวิญญาณ”
เมื่อถ้อยคำภาษาคนยักษ์ดังกังวานทั่วแท่นบูชา เปลวไฟปลายเทียนไขพลันขยายออกและก่อตัวเป็นบานประตูมายาที่เต็มไปด้วยลวดลาย
ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้าโดยมีสตรีที่แต่งกายในชุดสีขาวบริสุทธิ์และหน้ากากโลหะสีเงินย่างกรายออกมา เธอเหยียบลงบนความว่างเปล่าทีละก้าวจนกระทั่งสัมผัสกับพื้น
ผมสีแดง ดวงตาสีทองกระจ่างใสและลุ่มลึกประหนึ่งสามารถมองเข้าไปในหัวใจผู้คน
ไม่ใช่ใครนอกจากจัสติสออเดรย์ เธอใช้ ‘คำลวง’ เพื่อเปลี่ยนส่วนสูง และใช้หน้ากากเพื่อปกปิดจุดเด่นประจำตัว
หญิงสาวเดินทางมายังดินแดนเทพทอดทิ้งในร่างวิญญาณ
อันที่จริงพิธีกรรมไม่มีความจำเป็นต้องซับซ้อน เพียงแค่ไคลน์ดึงร่างวิญญาณของออเดรย์ขึ้นมารอบนมิติหมอกล่วงหน้า จากนั้นก็ส่งเธอออกจากบานประตูแห่งการสังเวยและรับมอบเพื่อสะสางเรื่องราว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้คาถาเปลี่ยนจาก ‘วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้เห็นแจ้งในทุกสิ่ง’ เป็น ‘เจ้าหญิงนิทรา…ผู้ถือครองแอปเปิลทองคำ…อดีตเจ้าของรองเท้าแก้ว’ คนที่ลงไปก็ยังจะเป็นออเดรย์เช่นเดิม เพราะดุลพินิจในการผ่านเข้าออกประตูอยู่ที่ไคลน์ตัดสินใจทั้งหมด กุญแจสำคัญมีเพียงการเอ่ยนามเดอะฟูลเพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างปราสาทต้นกำเนิดและดินแดนเทพทอดทิ้ง
ออเดรย์หน้ากากเงินมองไปรอบตัว ตามด้วยแหงนมองท้องฟ้า สำรวจความมืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย และสุดท้ายหันมาจ้องโคลินอีเลียด
เธอถอนสายตากลับไปพยักหน้าให้เดอะซันน้อย
“มาเริ่มกันเถิด”
ขณะกล่าว เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับส่วนสูงของเด็กหนุ่ม
แม้จะเคยเห็นบ่อยครั้งในชุมนุมทาโรต์ แต่การได้พบตัวจริงก็ยังทำให้เธอตะลึง
ออเดรย์มั่นใจว่าเดอะซันน้อยเด็กกว่าตน หรืออย่างน้อยก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามมาตรฐานโลเอ็น แต่อีกฝ่ายกลับมีส่วนสูงเกินกว่าสองเมตรอย่างน่าทึ่ง ส่งผลให้ออเดรย์ที่ใช้คำลวงปรับแต่งส่วนสูงยังคงต้องแหงนหน้าคุย
สายตาเดอร์ริคจดจ้องไปยังโอสถสีทองบนแท่นบูชาโดยปราศจากความลังเล
ทันใดนั้น สมองของมันเริ่มมึนงงพร้อมกับมีฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านเข้ามา
ฉากของพ่อแม่ที่นอนในโลงศพโดยยังมีชีวิต
ดาบเงินที่ถูกแทงลงไปอย่างสุดกำลัง เลือดที่สาดกระเซ็นจนทำให้มันมองสิ่งใดไม่เห็นไปชั่วขณะ
ภาพความอบอุ่นของครอบครัวในอดีต
ภาพของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ใกล้จะพ่ายแพ้ต่อความมืด
ภาพของบรรดาพวกพ้องที่ช่วยเหลือกันและกันอย่างเข้มแข็ง
ภาพของอาวุโสที่ช่วยปกป้องทุกคนจากลมฝน
ภาพของคำสาปที่เล่นงานชาวเมืองหนแล้วหนเล่า ภาพของความหวังที่มองเห็นจากแสงสายฟ้าท่ามกลางความมืด
ภาพที่เล่นซ้ำมานานกว่าสองพันปี ความกระหายในแสงสว่างที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
อารมณ์ที่เข้มข้นที่สุดที่เดอร์ริคไม่ต้องการละทิ้งนั้นซับซ้อนมาก อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้นโลกแห่งความจริง ความโหยหาอดีต ความเจ็บปวดที่ได้รับจากสภาพแวดล้อม ความหดหู่สิ้นหวังจากการศึกษาประวัติศาสตร์ และความปรารถนาที่จะกอบกู้เมืองเงินพิสุทธิ์
ออเดรย์บรรจงสกัดอารมณ์เหล่านั้นออกมาอย่างใจเย็น ระหว่างทางเธอได้ซึมซับความเศร้าของชาวเมือง ได้รับรู้ความเข้มแข็ง สามัคคี และความเสียสละของทุกคน
ดวงตาสีทองของเธอหรี่ลงและกะพริบเป็นระยะ คล้ายกับเริ่มเข้าใจบางสิ่งและสัมผัสถึงบางอย่าง แต่ก็ยังสับสนเป็นบางครั้ง
เธอมองเห็นเทวทูตแห่งแสงเจ้าของสิบสองปีกหลังจากผ่านไปสักพัก นี่คืออีกหนึ่งการตอบสนองของมิสเตอร์ฟูล
ออเดรย์ฉวยโอกาสดังกล่าวบรรจุความรู้สึกอันแรงกล้าใส่เข้าไปในร่างมายาของเทวทูต ป้องกันมิให้พวกมันสลายไปในเวลาอันสั้น เรียกได้ว่ายังไม่ถูกตัดขาดจากร่างเดอร์ริคโดยสมบูรณ์
สำเร็จ…หญิงสาวสร้างเสียงสะท้อนภายในใจโดยมิได้เปิดปาก
ทันใดนั้น ดวงตาเดอร์ริคพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนน่าขนลุก ราวกับมันไม่รู้สึกถึงความสุข เศร้า เจ็บปวด และหดหู่อีกต่อไป
เด็กหนุ่มหยิบขวดโอสถสีทองตรงหน้ากระดกดื่มทันที
นี่คือโอสถที่ปรุงจากตะกอนพลังซึ่งได้จากการป่นไม้กางเขนเจิดจรัส
สมบัติปิดผนึกซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทพสุริยันบรรพกาลไม่หลงเหลืออีกต่อไป แต่แน่นอน ทุกสิ่งที่ไคลน์เคยครอบครองจะคงอยู่ไปตลอดกาล
ของเหลวที่แผดเผาอย่างเกรี้ยวกราดไหลไปตามหลอดอาหารของเดอร์ริคจนกระทั่งเติมเต็มร่างกายและวิญญาณ
แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าบรรจงแผ่ออกจากร่างเด็กหนุ่มทีละนิด ช่วยชะล้างมลพิษที่เคยตกค้างในร่างกายและจิตใจออกจนหมด
ร่างกายเดอร์ริคบริสุทธิ์ผุดผ่องประหนึ่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตัวจากแสง
การตระหนักรู้ตัวเองและอารมณ์ทุกชนิดล้วนถูกชำระล้างและขับไล่ออกจากร่างกาย อีกไม่นานเดอร์ริคก็จะเอาแต่ท่องคำสรรเสริญสุริยัน
ออเดรย์ฉวยโอกาสดังกล่าวนำทางอารมณ์อันเข้มข้นที่เธอสกัดออกมากลับเข้าไปในตัวเดอะซันน้อย
ฉากแล้วฉากเล่าผุดขึ้นในจิตใจเดอร์ริคจนเกิดเป็นอารมณ์อันซับซ้อน
ความเจ็บปวดที่ได้สังหารพ่อแม่ย้อนกลับมาอีกหน รวมถึงความสิ้นหวังกับสภาพแวดล้อมของเมืองเงินพิสุทธิ์ และความปีติยินดีหลังจากได้รับพระกรุณาจากเดอะฟูล
อารมณ์ดังกล่าวสลักลึกเข้าไปในกระดูกเดอร์ริค ขณะเดียวกันก็กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของโลกแห่งจิต พวกมันหนักแน่นมั่นคงจนช่วยให้เด็กหนุ่มเอาชนะพลังชำระล้างที่ถาโถมจากโอสถอีกสองสามระลอก
จนกระทั่งเดอร์ริคลืมตาอีกครั้ง – สีของมันขาวโพลนโดยสมบูรณ์
เด็กหนุ่มพยายามเอื้อมแขนออกไปจับออร่าแสงที่ตนมองเห็นรอบตัว
แต่แสงดังกล่าวพลันสลัวและดับลงทันที
เดอร์ริคผงะเล็กน้อยแต่ยังคงกำมือขวาแน่น
ทันใดนั้น แสงสว่างพวยพุ่งออกมาทุกทิศทางและโอบล้อมเมืองเงินพิสุทธิ์เอาไว้อย่างท่วมท้น
กลางวันในตำนานกลับมาปรากฏอีกครั้งเป็นการชั่วคราว
ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคนรวมถึงโคลินอีเลียดต่างพากันจนตะลึงจนอ้าปากค้าง ฉากดังกล่าวน่าทึ่งยิ่งกว่าการเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพครั้งใดในประวัติศาสตร์ของเมือง
แสงอาทิตย์
แสงอาทิตย์กำลังฉาบไปทั่วไปเมือง
…
ออเดรย์กลับมายังมิติหมอกหลังจากพิธีกรรมสิ้นสุด
ตอนนี้มิสเตอร์ฟูลไม่อยู่อีกแล้ว ภายในวังโบราณมีเพียงเดอะเวิร์ลที่เฝ้ามองพิธีกรรมมาตลอด
“อาการของคุณดูไม่ดีเลยนะ” ไคลน์ถามอย่างเป็นกังวล
ออเดรย์นั่งพลางยิ้ม
“ดินฉันแค่กำลังสับสนและลังเล”
“เป็นเรื่องธรรมดา…คนเรามักเป็นเช่นนี้ก่อนจะตัดสินใจได้เด็ดขาดเสมอ หลายคนไม่กล้าตัดสินใจในท้ายที่สุด และหลายคนต้องเสียใจกับสิ่งที่ตนเลือก” ไคลน์กล่าวเสียงขรึม
ออเดรย์ทำเพียงยิ้มโดยไม่ตอบโต้บทสนทนา
“นับตั้งแต่กลายเป็นผู้ชม ดิฉันมักเผยด้านที่ดูดีที่สุดในสายตาผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความรู้สึกในเชิงบวกตลอดเวลา…นี่ไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่มันทำให้ฉันไม่รู้ว่าเนื้อแท้ของตัวเองเป็นเช่นไรในสายตาคนอื่น…ฉันไม่กล้าถอดเสื้อผ้าหรูหราและให้ใครเห็นความเน่าเปื่อยภายใน และนั่นทำให้ฉันไม่มีวันเข้าใจปัญหาของตัวเอง…เมื่อไม่นานมานี้ ฉันพยายามเผยธาตุแท้บางส่วนเพื่อดูว่าคนรอบตัวจะตอบสนองเช่นไร อยากรู้ว่าพวกเขายังคงมองฉันเป็นคุณหนูจิตใจงดงามและสง่าผ่าเผยอยู่หรือไม่…”
เธอเงียบหลังจากเล่าถึงตรงนี้ ตามด้วยถอนหายใจและกล่าวในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา
“เกินเอื้อม…”
……………….