ออเดรย์ซึ่งยังอยู่ในท่าสำรวม พูดออกมาอีกหลายคำโดยไม่รอให้ไคลน์ตอบสนอง
“ต่ำต้อย…”
“เจ็บปวด…”
“อับอาย…”
ไคลน์ถามกลับด้วยเสียงอบอุ่นของดอนดันเตสหลังจากฟังอยู่นานโดยไม่พูดแทรก
“ทำไมจู่ๆ คุณถึงทำการทดสอบ?”
“นี่ไม่ใช่การทดสอบ” ออเดรย์ส่ายหน้า “เป็นแค่การเผยรายละเอียดบางส่วนที่ฉันเคยปกปิดมาตลอด ฉันอยากเห็นว่าตัวเองเป็นเช่นไรในสายตาคนอื่น”
เธอขยับริมฝีปากหลังจากเว้นวรรคเล็กน้อย
“ฉันคิดจะทำตามแผนเดิมหลังจากที่พวกเราคุยกันคราวก่อน แผนที่ว่าคือการแอบบงการขุนนาง พ่อค้า และราชวงศ์เพื่อให้พวกเขายอมเสียสละอาหารจากยุ้งฉางมาแบ่งปันผู้คน…เรื่องนี้ฟังดูง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากในทางทฤษฎี แต่ฉันกลับพบว่าตัวเองไม่หนักแน่นพอที่จะลองปฏิบัติจริง…บางคนเป็นลุงป้าของฉันเอง บางคนเป็นญาติพี่น้อง บางคนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และบางคนเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่คอยเอ็นดูและปกป้อง…หลายคนได้พบกันในงานเลี้ยงการกุศลและพบว่าค่อนข้างเป็นมิตร ทุกคนหล่อหลอมให้วัยเด็กของฉันสมบูรณ์แบบ ไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโต แต่ยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญในความทรงจำอันสดใสวัยเด็ก…นอกจากนั้น อาหารที่พวกเขากักตุนก็ไม่ใช่ของที่ขโมยมา และข้ออ้างในการไม่แบ่งปันก็ฟังขึ้น…ถ้าต้องมองพวกเขาเป็นเป้าหมายและช่วงชิงทรัพย์สินบางส่วนมาด้วยพลังพิเศษ…ฉันทำไม่ได้จริงๆ…อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
น้ำเสียงของเธอขึ้นลงอย่างผันผวนโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งกำลังมีปากเสียงกับใครสักคน
หลังจากพบว่าตัวเองสูญเสียความเยือกเย็น ออเดรย์เว้นวรรคหลายวินาทีก่อนจะเล่าต่อ
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันอยากรู้จักตัวเองให้มากกว่านี้ อยากขจัดภาพลวงตาซึ่งเป็นที่มาของความอบอุ่น อยากถามตัวเองว่า ใจจริงแล้วต้องการทำแบบใดในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน อยากรู้ว่าพฤติกรรมในอดีตเกิดจากก้นบึ้งจิตใจหรือเป็นแค่การเสแสร้ง”
ออเดรย์ยิ้มเมื่อพูดถึงตรงนี้
“แม้ฉันจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่การทดลองก็ช่วยมอบประโยชน์บางอย่าง…ฉันเคยเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนเคร่งกฎ ‘ห้ามลืมว่ากำลังสวมบทบาทโดยเด็ดขาด’ มาตลอด แต่ตอนนี้เริ่มตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วฉันก็แค่เสพติดการสวมบทบาท…แต่ละเส้นทางต้องมีอาชีพและตัวตนที่แตกต่างไปจากเนื้อแท้ แต่การสวมบทบาทของผู้ชมกลับอยู่ในชีวิตประจำวัน หลายครั้งก็ยากที่จะจำแนกอย่างชัดเจน…ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายมีใครบ้างไม่อยากถูกรักโดยทุกคน? ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงใช้พลังพิเศษเพื่อสร้างหน้ากากที่ดูดีที่สุดในสายตาอีกฝ่ายเสมอ เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณจะเสพติดการสวมบทบาททุกครั้งที่ได้พบปะผู้คน จนท้ายที่สุดก็สูญเสียเนื้อแท้ของตัวเองไป”
ไคลน์พยักหน้า
“เป็นบทเรียกที่ดีมาก”
มันมิได้แสดงความเห็นต่อคำพูดในช่วงแรกของมิสจัสติส
ออเดรย์เปิดปากหลังจากเงียบมาสักพัก
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้อ่านรายงานการสืบสวนเขตตะวันออกที่ท่านพ่อจ้างให้ใครสักคนทำ ข้อมูลเหล่านี้มอบประสบการณ์อันหลากหลายให้ฉัน…คนจนอย่างแรงงานและชาวนาล้วนใช้ชีวิตยากลำบากมาตั้งแต่ก่อนสงครามจะเริ่ม…พวกเขาต้องเผชิญความหิวโหยและเจ็บปวดจนกลายเป็นชีวิตประจำวัน…กฎหมายบรรเทาความยากจนและการกำหนดชั่วโมงทำงานที่เคร่งครัด ช่วยให้มลพิษทางอากาศลดลงเล็กน้อย…เล็กน้อยจริงๆ…หลังจากสงครามจบลง หลังจากพวกเราเอาชนะวันสิ้นโลก…สิ่งเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ใช่ไหม?”
ออเดรย์เม้มปากและเงียบไปเมื่อพูดจบ
ไคลน์สัมผัสถึงความสับสนปนว้าวุ่นภายในใจมิสจัสติส แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันไม่กล้าบอกคำตอบที่ตัวเองคิด ทำได้เพียงเปล่งเสียงเคร่งขรึม
“คำถามเมื่อครู่ของคุณ รวมถึงคำถามเกี่ยวกับเนื้อแท้ของคุณ ต้องเป็นคุณที่หาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยเรื่องนี้ได้…ผมทำได้เพียงแนะนำว่า จงออกไปที่ทุ่งนาและเฝ้ามองชาวนาผู้ทำงานหนัก จงไปที่โรงงานและจับตามองแรงงานมีฝีมือ จงไปที่เขตตะวันออกและสัมผัสทุกสิ่งด้วยตัวเอง และจงไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์เก่าเกี่ยวกับข่าวเหล่านั้น”
ออเดรย์พยักหน้าหลังจากฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันจะทำ”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนพลางคำนับไปทางตำแหน่งประธาน แม้มิสเตอร์ฟูลจะไปแล้ว แต่เธอเชื่อว่าอีกฝ่ายยังคงเฝ้ามองอยู่
เดอะเวิร์ลกล่าวขึ้นขณะหญิงสาวรอให้มิสเตอร์ฟูลส่งตนกลับสู่โลกความจริง
“รอสักครู่”
“หือ?” ออเดรย์ถามเสียงขึ้นจมูก
ไคลน์จ้องหญิงสาวพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่ง
“นี่คือคำอธิบายลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของสัตว์ในตำนานตัวหนึ่ง ผมอยากให้คุณช่วยวิเคราะห์การตัดสินใจของมันภายใต้สถานการณ์ต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลข้างต้น”
“ตกลงค่ะ” ออเดรย์ไม่ปฏิเสธ
ไคลน์กล่าวหลังจากเห็นหญิงสาวรับกระดาษไปอ่านจนจบ
“ผมยังมีอีกหนึ่งคำแนะนำสำหรับปัญหาของคุณเมื่อครู่ข้อสงสัยของคุณแบ่งออกได้สองประเภท หนึ่งคือชนิดที่ต้องการคำตอบทันทีและอีกหนึ่งไม่ใช่ หากเป็นอย่างหลัง คุณสามารถรอให้จิตใจสงบลงจึงค่อยดำเนินการสืบสวนเชิงลึก เพราะมนุษย์จะยิ่งผิดพลาดเมื่อร้อนรน ส่วนเรื่องใดเร่งด่วนหรือไม่ คุณต้องจำแนกด้วยตัวเอง”
ออเดรย์พูดหลังจากไตร่ตรอง
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็ยิ้ม
“ฉันคิดว่าคุณหยุดเรียกเพราะจะประทานพรให้เสียอีก…พรที่จะทำให้ฉันยังคงรักโลกใบนี้แม้จะได้เห็นธาตุแท้ของมัน”
ไคลน์ผงะเล็กน้อยก่อนจะยิ้มถาม
“ถ้าจำไม่ผิด คุณอ่านนิยายของจักรพรรดิโรซายล์มาเยอะใช่ไหม”
“เขาเป็นนักเขียนนิยายที่โดดเด่น แต่บางครั้งก็เป็นคนซับซ้อนและขัดแย้งในตัวเอง” ออเดรย์เล่าด้วยรอยยิ้ม
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ถ้าผมต้องการอวยพรคุณ มันจะไม่ใช่การประทานพร แต่เป็นการบอกว่า…จงยังรักครอบครัวและเพื่อนหลังจากได้เห็นธาตุแท้พวกเขา”
ออเดรย์ผงะพลางเม้มริมฝีปาก คล้ายกับกำลังทวนคำซ้ำ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอหลับตาลงและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“ขอบคุณค่ะ…”
…
ทะเลโซเนีย น่านน้ำหมู่เกาะรอสต์
โทสะสีครามแล่นนำกองเรือโจรสลัดเข้าประจัญบานในสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนของสงคราม
ลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งตรงมาจากทิศทางหนึ่งกะทันหัน รวมถึงแสงสีเงินที่ถักทอเข้าด้วยกันจนแหวกทะเลออกเป็นสองซีกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นทะเลสองฝั่งซัดสาดใส่โทสะสีครามด้วยแรกดันมหาศาลของพวกมัน
อัลเจอร์บนหัวเราะโทสะสีครามยกสองมือขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
พายุทอร์นาโดเกรี้ยวกราดโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าในพริบตา พัดพาน้ำทะเลสีครามและแสงสีเงินพุ่งขึ้นฟ้าประหนึ่งอสรพิษครามตัวยาว ปะทะเข้ากับลูกไฟขนาดมหึมาอย่างจัง
บึ้มมม—!
ละอองน้ำตกลงมาประหนึ่งสายฝน
อัลเจอร์เล็งเป้าไปยังเรือรบทันที ตามด้วยอ้าปากเปล่งเสียงคำราม
เรือลำดังกล่าวถูกคลื่นโซนิคบูมซัดกระเด็นไปในอากาศทันที
ปืนใหญ่บนโทสะสีครามฉวยโอกาสดังกล่าวกระหน่ำยิงอย่างต่อเนื่อง
อัลเจอร์ลดมือขวาลงทันทีเมื่อเล็งเห็นว่าผู้วิเศษบนเรือรบฝั่งตรงข้ามเตรียมใช้พลังลูกไฟเพื่อสร้างแรงถีบในการหนี
สายฟ้าสีเงินสว่างเส้นใหญ่ฟาดผ่าลงมายังเบื้องล่าง เปลี่ยนให้ผู้วิเศษเป้าหมายกลายเป็นซากสีดำไหม้เกรียมที่สั่นกระตุก
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
กระสุนปืนใหญ่นัดแล้วนัดเล่าปะทะเข้ากับเรือรบที่ลอยกลางอากาศในสภาพเสียสมดุล
อัลเจอร์หันไปจ้องมือขวาตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอยสักพัก
นี่คือพลังของผู้สังเวยภัยพิบัติ…การเป็นครึ่งเทพรู้สึกแบบนี้เองหรือ? มันปลาบปลื้มอยู่คนเดียวสักพักก่อนจะได้สติกลับมา ตามด้วยการควบคุมโทสะสีครามไล่ล่าศัตรู
สงครามยุทธนาวีจบลงในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายโลเอ็นปกป้องหมู่เกาะรอสต์สำเร็จ
อัลเจอร์ค่อนข้างอารมณ์ดี หลังจากนำโทสะสีครามจอดเทียบท่า มันพาลูกเรือตรงไปผับที่ยังเปิดให้บริการทันที
โลเอ็นออกนโยบายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างสงครามเพื่อลดการสิ้นเปลืองอาหาร แต่เหล้าคือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับลูกเรือ ดินแดนที่ปกครองโดยโบสถ์วายุสลาตันจึงไม่เคร่งกฎระเบียบมากขนาดนั้น และต้องไม่ลืมว่าหมู่เกาะรอสต์มีผลผลิตมากแต่ประชากรน้อย ประกอบกับการที่เส้นทางเดินเรือขนเสบียงถูกปิดตาย การส่งเสบียงออกไปจึงทำไม่ได้
สายตาอัลเจอร์พลันชะงักหลังจากเดินไปได้สักพัก
ถนนเบื้องหน้าถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงถล่มใส่ บ้านเรือนหลายหลังพังทลาย หนึ่งในนั้นเกิดหลุมลึกบนพื้นคอนกรีต อาคารสี่ชั้นด้านข้างก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง
รอยยิ้มจางบนใบหน้าเลือนหายไปโดยสมบูรณ์
….
บ่ายสามโมงตรงของวันจันทร์ตามเวลาเบ็คลันด์
ลำแสงสีแดงสว่างขึ้นสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาวพร้อมกับควบแน่นเป็นร่างกาย
ช่วงเวลาค้าขายเริ่มขึ้นทันทีหลังจากสมาชิกทุกคนทักทายมิสเตอร์ฟูลเสร็จ เนื่องจากช่วงนี้ไม่มีไดอารีหน้าใหม่หรือคำถามที่แคทลียาสะสมไว้
เดอะมูนเอ็มลินเหยียดหลังตรงพลางมองไปรอบตัว
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ข้ามีงานจ้าง”
“คุณคิดจะล่าราชาหมอผีคนไหน?” แคทลียาถามเดอะมูนตามข้อมูลในมือ
“…” เอ็มลินใช้เวลาสองวินาทีเต็มในการย่อยคำถามของแคทลียา จากนั้นก็ตอบโดยยังรักษารอยยิ้มสง่างาม “เดาได้ถูกต้อง”
เฮอร์มิทแคทลียาพยักหน้า
“แล้วคุณจะตอบแทนด้วยอะไร?”
เอ็มลินชะงักไปอีกครั้ง เริ่มกระอักกระอ่วนในสิ่งที่เตรียมมา
เดอะเวิร์ลสุดขอบโต๊ะทองแดงอีกฝั่งเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น
“คุณขอความช่วยเหลือจากคนของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนาแล้วหรือ?”
เดอะมูนเอ็มลินถอนหายใจโล่งอก
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นผมรับงานนี้เอง” ไคลน์ตัดสินใจรับงานเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมิสผู้ส่งสาร ชารอน และมาริค “แต่แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องใช้สื่อกลาง”
มันหันไปคุยกับมิสเมจิกเชี่ยนโดยไม่รอคำตอบจากเอ็มลิน
“คุณเตรียมตัวให้พร้อม”
“…?” ใบหน้าของฟอร์สผู้กำลังนั่งชมเหตุการณ์ประหนึ่งดูละครพลันแข็งทื่อ
………………….