บทที่ 1837 ปราบโจร

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“ผู้อาวุโส คนในเผ่ากำลังถูกสังหาร ลังเลอีกไม่ได้แล้ว!”

ชายร่างกำยำที่นั่งคุกเข่าราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือด โหยวโยวที่ล้มนั่งอยู่บนพื้นกลับเรียกสติคืนกลับมาได้ยาก

เมฆดำพลิกม้วน ใต้ท้องฟ้าที่มีสายฟ้าแลบแวบวับ ปราสาทหลังมหึมาที่มีต้นสับปลับรุมเร้าตั้งตระหง่านตั้งโดดเด่น บนประตูมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ถูกต้นสับปลับเลื้อยพัน : ปราสาทเทพ!

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา สตรีชุดผ้ามุ้งดำเดินลากกระโปรงยาวอยู่นอกประตูใหญ่ของปราสาท กระโปรงผ้ามุ้งสั่นไหวตามแรงลม มีฟ้าแลบหลายสายบนท้องฟ้า ทำให้เรือนร่างอรชรใต้ชุดผ้ามุ้งปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ มงกุฎที่ถักทอด้วยก้านหัวใจสีเขียวบนศีรษะทำให้นางดูเหมือนเทพี

กระโปรงผ้ามุ้งสีดำ เรือนร่างอรชรอ่อนช้อย ผิวขาวดุจหิมะ สวมมงกุฏดอกไม้สีเขียวมรกต ผมยาวปลิวไสว ฟ้าแลบปรากฏภาพอันน่าตกตะลึง ส่องสว่างใบหน้างามเลิศล้ำ คนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นดอกกล้วยไม้ต้นหนึ่ง เมื่อปรากฏอยู่ในโลกที่มืดครึ้มแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกถึงความวิจิตรพิสดาร

บนท้องฟ้าที่มีสายฟ้าแวบวับ ผู้หญิงคนนี้พลันใช้สายตาเย็นเยียบจ้องไปข้างบน จากนั้นกระโปรงยาวก็ปลิวสะบัด ทั้งตัวนางลอยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว ก่อนจะก็พุ่งฝ่าเมฆดำราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย หายไปบนท้องฟ้าสดใสที่ปรากฏในรอยแยกของเมฆดำ โดยมีกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดปราสาทเหาะตามไปอย่างรวดเร็ว!

“ไม่เลว!”

บนฟ้าของดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง อิ๋งอู๋หม่านลอยขึ้นมาข้างบนและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองข้างล่าง ตรงจุดที่ทัพใหญ่ซ่อนตัวมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ เขาจึงพยักหน้ากล่าวชื่นชม

ทางด้านซ้ายและด้านขวา เจ๋อชุนชิวกับแม่ทัพสิบสองคนยืนอยู่กับเขา

“เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว ขาดเพียงลมบูรพา[1] ขอเพียงเขาบุกเข้ามา ข้าก็จะทำให้เขากลับออกไปไม่ได้อีก!” อิ๋งอู๋หม่านเงยหน้ามองดาราจักรพลางแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็หันตัวไปเผชิญหน้ากับทุกคน หลังจากใช้สายตาไตร่ตรองอย่างละเอียดสักพัก ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หากทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้ามาในตาข่ายอิทธิฤทธิ์เมื่อไร ก็ให้ทุกหน่วยล้อมไว้ก่อน ยังไม่ต้องโจมตี มอบหน้าที่ผู้โจมตีหลักให้ทัพใหม่หนึ่งแสน โหวผู้นี้อยากจะเห็นว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะทนการโจมตีจากทัพใหม่ของข้าได้นานแค่ไหน!”

มีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งกุมหมัดคารวะทันที “ท่านโหว การบุกจู่โจมศัตรูมิอาจถ่วงเวลาได้ หนิวโหย่วเต๋อลือชื่อเรื่องการรบ ไม่ได้มีดีแค่เชื่อเสียงแน่นอน ประเมินเขาต่ำไม่ได้เด็ดขาด ควรดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว ถ้าเขาติดกับดักเมื่อไร พวกเราก็ร่วมแรงกันกำจัดทันที จะได้ไม่ต้องเพิ่มการบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายเราโดยไม่จำเป็น ไม่ทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน ไม่เปิดให้โอกาสฝ่ายศัตรูด้วย จัดการให้จบในครั้งเดียว คว้าชัยชนะกลับมา!”

อิ๋งอู๋หม่านใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขาทันที สายตานั้นจ้องจนแม่ทัพใหญ่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

แม้แต่เจ๋อชุนชิวเองก็จ้องด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเช่นกัน ส่วนพวกแม่ทัพก็ทำสีหน้าสังเกตการณ์เงียบๆ

แต่จากนั้นเจ๋อชุนชิวก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามีข่าวส่งมาจากไหน

เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกันรีบถ่ายทอดเสียงบอกแม่ทัพใหญ่คนนั้นว่า “เจ้าโง่รึไง! ศึกนี้ต้องชนะแน่ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้รับขนานนามว่าเป็นทัพอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แถมหนิวโหย่วเต๋อก็มีผลงานการรบด้วย ได้ชื่อว่าเป็นทหารเสือ ถ้าถูกทัพใหม่ของท่านโหวอิ๋งทำลายล้าง ท่านโหวก็จะได้เขียนโอ้อวดประวัติส่วนตัวลงในบันทึกตระกูลอิ๋งแล้ว สรุปก็คือไม่ว่าจะร่วมมือกันโจมตี หรือจะให้ทัพใหม่โจมตีก่อน เจ้ายังจะไปแย่งผลงานกับเขาได้เหรอ? ไม่ว่าทัพใหม่จะต่อสู้เป็นยังไง สุดท้ายเขาก็เป็นคนรายงานขึ้นไปตามใจอยู่ดี เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งรึไง? ครั้งนี้ท่านโหวมาเพื่อล้างความอัปยศ ท่านโหวผู้สง่าภูมิฐานมาควบคุมการรบด้วยตัวเองแล้ว ก็ต้องสร้างผลงานที่โดดเด่นกลับไปสักหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นถ้าให้ใช้ทัพห้าล้านโจมตีทัพหนึ่งแสน เขายังจะมีหน้าไปโอ้อวดคนข้างนอกได้ยังไง? เจ้าหวังดีกับเขา แต่เขาอาจจะไม่รับน้ำใจก็ได้ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง พวกเราแค่ทำตามนั้นก็พอ โต้เถียงไปจะเกิดผลดีอะไรกับเจ้าล่ะ? ที่เจ้าพูดโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่ใช่การตำหนิว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องบัญชาการทัพออกศึกหรอกเหรอ? เจ้ายังอยากทำมาหากินอยู่ในทัพตะวันออกอีกมั้ย?”

ด้วยการเตือนอย่างเร่งด่วน แม่ทัพใหญ่ถึงได้รู้ว่าตัวเองทำผิดข้อห้ามแล้ว เขาเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างทันที แล้วพยักหน้าให้อิ๋งอู๋หม่านซ้ำๆ “ท่านโหวช่างปราดเปรื่อง ข้าน้อยไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ” ในใจแอบปาดเหงื่อแล้ว

อิ๋งอู๋หม่านไม่สนใจเขา สุดท้ายก็ย้ายสายตาออกจากหน้าเขา แล้วมองไปที่เจ๋อชุนชิว “ถามโหยวโยวว่าคืบหน้าไปยังไงบ้างแล้ว” ผลก็คือพบว่าเจ๋อชุนชิวที่กำลังถือระฆังดารามีสีหน้าแปลกไป จึงถามอีกว่า “เป็นอะไรไป?”

เจ๋อชุนชิวกลืนน้ำลาย แล้วตอบด้วยสีหน้าตกตะลึกพรึงเพริด “ท่านโหว ผู้จัดการร้านที่ตลาดมืดขอความช่วยเหลือ!”

อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว “ตลาดมืดไหน? นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีอารมณ์มาพูดเรื่องนี้กับข้าอีกเหรอ ให้คนที่อยู่แถวนั้นไปจัดการสิ”

เจ๋อชุนชิวตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ท่านโหว เป็นตลาดมืดของที่นี่ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อกำลังรุกโจมตีอย่างบ้าระห่ำ ไม่สนใจว่าจะเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ พอเห็นคนแล้วก็จับ พอเจอคนแล้วก็ปล้น เห็นใครหนีก็ฆ่าเลย ปล่อยให้เกิดเพลิงไหม้เป็นบริเวณกว้าง กำลังล้างเลือดจุดไฟเผาทั้งดาวเคราะห์ สถานการณ์เลวร้ายจนทนดูไม่ได้ พวกคนงานในร้านค้าแทบจะประสบหายนะกันหมด ผู้จัดการร้านที่บาดเจ็บสาหัสกำลังซ่อนตัวอยู่ ทัพใหญ่กระจายตัวกันค้นหาเร็วมาก คาดว่าคงซ่อนได้ไม่นานแล้ว เลยติดต่อบ่าวมาขอความช่วยเหลือเร่งด่วน!” พอพูดถึงตรงนี้ ในใจก็พูดเสริมอีกว่า คนที่อยู่ใกล้เหรอ? ก็มีแต่เจ้าไงที่อยู่ใกล้!

ผ่านไปไม่นาน สายลับที่อยู่ทางทัพใหญ่ก็รายงานสถานการณ์ทางทหารที่คล้ายกันกลับมาเช่นกัน

“ไอ้บ้านั่นคิดจะทำอะไร?” กลุ่มแม่ทัพฮือฮาทันที

“…” อิ๋งอู๋หม่านงงงวย ไม่ได้มาเพื่อช่วยคนหรอกเหรอ? ไม่ช่วยคนแล้ว จะถ่อไปโจมตีตลาดมืดทำไม? เมื่อดึงสติกลับมาแล้วก็รีบถามว่า “ทำไมหนิวโหย่วเต๋อโจมตีตลาดมืด?”

เจ๋อชุนชิวส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ผู้จัดการร้านได้ยินอีกฝ่ายประกาศว่าปราบโจร!”

“ปราบโจร?” อิ๋งอู๋หม่านเดือดดาลทันที ตะคอกว่า “โจรที่ไหนมันเข้ามายุ่งจนทำลายเรื่องดีๆ ของข้า!” ในหัวสมองเขานึกถึงทฤษฎีสมคบคิดแล้ว สงสัยว่าอำนาจฝ่ายไหนยื่นมือเข้ามาปลุกปั่นสถานการณ์

เจ๋อชุนชิวตอบด้วยสีหน้าขมขื่น “ไม่ทราบขอรับ ทางผู้จัดการร้านก็ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเหมือนกัน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาแบบกะทันหันแล้วก็ฆ่าเลย”

ข้างๆ กันมีแม่ทัพอีกคนบอกว่า “ท่านโหว บางทีการปราบโจรอาจจะเป็นข้ออ้างของหนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋ออาจจะรู้แล้วว่าฝ่ายพวกเราจะสู้กับเขา ก็เลยหลบเลี่ยงกำลังหลักของศัตรู แล้วรุกโจมตีจุดอ่อนของศัตรูแทน!”

เมื่อได้รับคำเตือนนี้ อิ๋งอู๋หม่านก็ได้สติอย่างฉับพลัน มองดูกำลังพลที่ดักซุ่มอยู่ข้างล่าง เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกทันที

หาสถานที่ลับตาคนไว้ลงมือเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้คนอื่นจับจุดอ่อนได้ไง ถ้าสามารถโจมตีได้ตามอำเภอใจ ยังต้องถ่อมาถึงที่นี่อีกเหรอ? ทัพตะวันออกคงส่งทัพใหญ่ไปกำจัดหนิวโหย่วเต๋อที่แดนรัตติกาลตั้งนานแล้ว ยังต้องสิ้นเปลืองความคิดมาวางกับนี่อีกเหรอ?

เดิมทีฝั่งนี้ขี้คร้านจะหาข้ออ้างอะไร ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาติดกับดัก ก็จะล้อมปราบทันที แล้วตอนหลังก็สาดโคลนทั้งหมดใส่หนิวโหย่วเต๋อไปเลย บอกเพียงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน ฝั่งนี้ถูกบีบให้โต้ตอบ อย่างไรเสียคนตายก็แก้ตัวอะไรไม่ได้ เป็นเหตุผลที่หนิวโหย่วเต๋อเคยใช้ตอนสู้กับฉู่จื่อซานที่น่านฟ้าระกาติง บอกว่าฉู่จื่อซานรุกโจมตีก่อน ถูกบีบให้หมดทางเลือกถึงได้กำจัดฉู่จื่อซานทิ้ง

ตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ? ดึงกำลังพลไปรุกโจมตีทางนั้นเหรอ? ทางนั้นมีหูตาเยอะมาก ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายไปโจมตีก่อน ทุกคนก็จะเห็นกันหมด แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างไรล่ะ? บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อฆ่าคนของตระกูลอิ๋งที่ตลาดมืดเหรอ? เรื่องที่ร้านค้าในตลาดมืดไม่อาจนำมาเปิดเผยในที่แจ้งได้เลย ไม่มีทางนำเรื่องนี้มาพูดเพียงเพื่อจะล้างแค้น

ต่อให้ดึงดันไปโจมตีตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเหมือนบุกจู่โจม ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้กับเจ้า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อคิดจะหนีไป ก็เกรงว่าคงจับตัวไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว

ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้? อิ๋งอู๋หม่านงงงวย ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะวางแผนไว้ไม่แยบยล พวกเขาจับจุดอ่อนของโหยวโยวและลูกชายได้อย่างเฉียบคม แล้ววางแผนได้อย่างชาญฉลาด หลอกใช้จุดอ่อนของสองแม่ลูกให้ใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล[2] น่าจะปิดบังสายตาของอำนาจส่วนใหญ่ได้แล้วสิ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าวางแผนนี้สำเร็จแล้ว ถ้าล่อหนิวโหย่วเต๋อมาได้จริงๆ ทั้งยังนำกำลังพลกลุ่มใหญ่มาด้วย ทางนี้ก็แค่รอให้หนิวโหย่วเต๋อมาหาโหยวโยวเพื่อคิดบัญชีและเอาตัวคนคืนไป จากนั้นก็ล่อหนิวโหย่วเต๋อให้ติดกับดัก ใครจะคิดว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อจะลงมือแบบนี้ นำคนไปโจมตีตลาดมืดแล้ว แล้วเรื่องช่วยคนล่ะ? เจ้ามาเพื่อช่วยคนไม่ใช่เหรอ?

อีกฝ่ายเดินทางมาอย่างเอิกเกริกตั้งแต่ไกลๆ ทำให้เขาตั้งตารอ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นกับเจ้าเลย เจ้าวางกับดักรออยู่ตรงนี้ แต่อีกฝ่ายไปปราบโจรอยู่อีกทาง ไม่ให้ความร่วมมือกันเลย

มาช่วยตัวประกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลายเป็นปราบโจรไปได้? อิ๋งอู๋หม่านคิดไม่ตกว่าแผนที่วางไว้อย่างดีกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร แล้วต่อไปจะทำอะไรต่อล่ะ?

พอเหลือบตาขึ้น เห็นบรรดาแม่ทัพตรงหน้า อิ๋งอู๋หม่านก็รีบถามว่า “ทุกคนคิดว่าขั้นต่อไปจะทำยังไงต่อ?”  เขาหวังว่าจะได้คำแนะนำที่มีประโยชน์

กลุ่มแม่ทัพกลับอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้น ใครก็มองออกทั้งนั้นว่าวางแผนพลาดแล้ว บางคนก็มีวิธีการอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าไม่สามารถนำวิธีการไปใช้งานจริงได้อย่างราบรื่น ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นแพะรับบาปแทนท่านโหวผู้นี้ก็ได้ แม่ทัพใหญ่ที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ท่านโหวผู้นี้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งได้อย่างราบรื่นเกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์ทำศึกอะไรเลย ชนะได้แต่แพ้ไม่เป็น มาตักตวงผลงานเฉพาะเรื่องที่มีโอกาสชนะเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น กระทำผิดหมู่ลงโทษยาก ดังนั้นแต่ละคนจึงทำท่าครุ่นคิดเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร

พวกสวะไร้ประโยชน์! อิ๋งอู๋หม่านไม่กล้าพูดออกมา แต่ในใจกลับด่าไปแล้ว

มีอยู่ข้อหนึ่งที่เขารู้ดี นั่นก็คือการล่วงเกินพวกแม่ทัพในเวลาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“อะไรนะ? ไม่ติดกับดัก กำลังปราบโจร? กำลังโจมตีตลาดมืด?”

ริมแม่น้ำ อ๋องสวรรค์อิ๋งที่กำลังถือคันเบ็ดหันมาถามอย่างงุนงง

จั่วเอ๋อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “สถานการณ์ที่ทางท่านโหวรายงานมาเป็นอย่างนี้ค่ะ”

“ทัพใหญ่รับมือยังไง?” อิ๋งจิ่วกวงถามเสียงต่ำ

จั่วเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ท่านโหวกำลังรอให้ท่านอ๋องตอบค่ะ”

ตู้ม! อิ๋งจิ่วกวงกระแทกคันเบ็ดลงในน้ำ พลันลุกขึ้นยืนแล้วถลึงตากล่าวว่า “สถานการณ์บนสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง แม่ทัพบัญชาการทัพอยู่ข้างนอก ควรจะเฝ้าสังเกตศัตรูแล้วพลิกแพลงตามสถานการณ์ เขารู้สถานการณ์ตรงนั้นชัดเจนกว่าข้า จังหวะได้เปรียบในสนามรบผ่านไปไวมาก เขาในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทัพก็ควรรีบตัดสินใจให้เด็ดขาด เขาไม่รู้จุดประสงค์ของการทำศึกครั้งนี้เชียวหรือ? ยังจะรอคำตอบจากข้าอีก หนิวโหย่วเต๋อโจมตีโครมๆ อยู่ทางนั้น เขาจะดูอยู่ข้างสนามจนตาแห้งเลยใช่มั้ย? งั้นข้าจะให้เขาไปทำไมล่ะ? แม่ทัพสังกัดเขามัวทำอะไรอยู่เป็นคนที่บัญชาการทัพมาหลายปีทั้งนั้น จะออกความคิดที่เข้าท่าสักอย่างไม่ได้เชียวหรือ?”

จั่วเอ๋อร์แอบถอนถอนใจ พูดในใจว่า เจ้าไม่ควรอยากให้คนตระกูลอิ๋งไปล้างความอัปยศอดสูให้ตระกูลอิ๋งตั้งแต่แรก ไม่ควรอยากสะสมผลงานและบารมีให้ท่านโหว ส่งคนไม่ประสีประสาไปบัญชาการกลุ่มแม่ทัพผู้ช่ำชอง เดิมทีก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว ท่านโหวเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เหมาะจะเรียนรู้การควบคุมสถานการณ์ภาพรวมในการประชุมราชสำนักมากกว่า ไม่เหมาะจะไปบัญชาการทัพทำศึก

“ท่านโหวมีบารมีสูงมาก บางทีบรรดาแม่ทัพอาจกำลังตั้งตารออยู่ค่ะ” จั่วเอ๋อร์ลองเตือน ที่จริงนางก็อยากพูดประโยคนี้ตั้งต่แรกแล้ว แต่พอนึกได้ว่าวางแผนไว้เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องที่รอไปเก็บผลงานเท่านั้น อิ๋งอู๋หม่านเป็นฝ่ายอาสาไปทำเอง นางจึงไม่สะดวกจะกล่าวล่วงเกิน

อิ๋งจิ่วกวงพลันหรี่ตาจ้องนาง ตระหนักได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดนางแล้ว เขากระตุกมุมปากอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างดุดันว่า “ถ่ายทอดคำสั่งทหารลงไป ตัดอิ๋งอู๋หม่านออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด ตั้งให้อ๋าวเฟยเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ถ้ามีใครไม่ยอมรับคำสั่งนี้ ก็ประหารก่อนแล้วรายงานทีหลังได้เลย…ควบคุมตัวอิ๋งอู๋หม่านไว้ตรงนั้น ถ้าเขาขัดขืน ประหาร!”

…………………………

[1] เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว ขาดเพียงลมบูรพา 万事俱备 只欠东风 อุปมาว่า เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว แต่ขาดเรื่องสำคัญไปหนึ่งเรื่อง

[2] กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล 瞒天过海 การอำพรางเป้าหมายที่แท้จริงของตน โดยมีเป้าหมายปลอมๆ หลอกเอาไว้