ทวีปเป่ยชาง
บรรยากาศที่เฟื่องฟูไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เหลือเพียงร่องรอยสงครามถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน ทำให้ทั่วทั้งทวีปเต็มไปได้เหวกว้าง
ภัยพิบัติจากปีศาจบดขยี้ลงมาที่ทวีปเป่ยชางเช่นกัน
เผชิญกับภัยพิบัตินี้ กองทัพต่างๆ ของทวีปเป่ยชางก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ก่อตั้งพันธมิตรหลายแห่งเพื่อพุ่งเป้าไปในการต่อต้าน
ทว่าความหายนะในทวีปเป่ยชางรุนแรงมาก เนื่องจากเผ่าปีศาจทรงพลังมาก ดังนั้นกระทั่งขุมกำลังต่างๆ จะรวมตัวเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังมองในแง่ดีไม่ได้
และสำนักศึกษาเป่ยชางก็เป็นหนึ่งในศูนย์รวมพันธมิตรเหล่านั้น
ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง
ค่ายกลขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นปกคลุมทั้งสำนักศึกษา ในปราการที่เอิบอาบด้วยแสงหลิงทรงพลังทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย
ยามนี้เกิดความวุ่นวายภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ของทวีปที่สูญเสียดินแดนให้กับเผ่าปีศาจมารวมตัวกันที่นี่ แต่ยังรวมถึงสำนักศึกษายิ่งใหญ่อีกสี่แห่งที่มาด้วย…
นั่นเป็นเพราะภัยพิบัติได้กวาดล้างเขตแดนที่สำนักศึกษาใหญ่อีกสี่แห่งตั้งอยู่ และระหว่างสำนักศึกษาทั้งห้าได้เชื่อมโยงกันด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาทั้งหมดจึงมารวมตัวกันที่สำนักศึกษาเป่ยชาง
แต่ไม่คิดว่าไม่นานหลังจากที่พวกเขามา ทวีปเป่ยชางก็ถูกโจมตีเช่นกัน…
เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแออัด แต่ ณ จุดนี้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเล็กจ้อยนี้…
ที่มุมหนึ่งของสำนักมีทะเลสาบใสราวกับกระจก รอบๆ มีแท่นฝึกจำนวนมากตั้งวางเรียงรายอยู่ ถัดออกไปอีกก็คือเรือนพักจำนวนมาก
“ทุกคนในฐานะชุมนุมเทพธิดาลั่ว เราจะใช้เรือนพักของชุมนุมเป็นที่พักให้กับสหายสำนักทั้งสี่แห่ง แม้ว่าปกติเราจะเป็นคู่แข่งกัน แต่ในเวลานี้เราก็ต้องแสดงมารยาทของเจ้าบ้านที่ดีด้วย”
ที่ริมทะเลสาบเหล่าสมาชิกชุมนุมรวมตัวกันรอบก้อนหินขนาดใหญ่ สายตามองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหิน นางมีลักษณะโดดเด่นพร้อมกับผมเกล้าเป็นหางม้าและน้ำเสียงดังก้องด้วยพลังล้นเปี่ยม
เมื่อมองไปที่ศิษย์น้องที่อยู่รอบๆ หญิงสาวก็เผยรอยยิ้ม “นอกจากนี้อย่าลืมว่าใครคือผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่ว แม้ว่าพี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลีจะจบการศึกษาไปแล้ว เราก็จะทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วที่พวกเขาสร้างไว้อับอายไม่ได้!”
“พี่ใหญ่สุนเอ๋อพูดถูก!”
“ไม่ต้องห่วง ชุมนุมเทพธิดาลั่วไม่ขี้เหนียวหรอก เราจะเตรียมการสำหรับสหายสำนักศึกษาอื่นๆ เอง”
“เราต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องสำนักศึกษาของเรา!”
เสียงของหญิงสาวดึงดูดใจสะท้อนในโสตประสาทของทุกคน ขณะที่ทุกคนยกกำปั้นขึ้นส่งเสียงโห่ร้อง
หญิงสาวที่ชื่อว่าสุนเอ๋อก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ไม่ไกลนักมีร่างเงากลุ่มหนึ่งยืนมองมาพลางเผยรอยยิ้มขณะมองดูฉากนี้
“สุนเอ๋อเติบโตขึ้นมาก ถ้ามู่เฉินและลั่วหลีเห็นภาพนี้พวกเขาจะต้องตกใจแน่ๆ เด็กสาวตัวเล็กขี้อายที่เดินตามหลังตอนนั้นได้กลายเป็นผู้นำชุมนุมเทพธิดาลั่วแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะมองไปที่เยี่ยสุนเอ๋อที่ทุกคนกำลังห้อมล้อม
“ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้สุนเอ๋อก้าวขึ้นสู่การเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว มิหนำซ้ำท่านอาจารย์ใหญ่ยังก่อตั้งหอค่ายกลเพื่อให้นางถ่ายทอดความรู้กับศิษย์คนอื่นๆ เกี่ยวกับศาสตร์นี้ คลื่นลูกใหม่เปี่ยมด้วยความหวัง ความสำเร็จนี้แข็งแกร่งกว่าเรามากในอดีต” ชายอีกคนถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าสองคนหยุดถอนหายใจเป็นตาแก่ได้แล้ว แต่ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเจ้าสองคนจะกลับมาที่สำนักในเวลาวิกฤตเช่นนี้” หญิงสาวสะคราญโฉมยิ้มกว้าง
ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตกใจเนื่องจากทั้งสองคนคือจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่น—เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทง
หลังจากจบการศึกษาทั้งสองก็ออกท่องยุทธภพ ตอนนี้พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซึ่งห่างจากขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ความสำเร็จดังกล่าวในวัยของพวกเขาถือว่าไม่ธรรมดา
“ในเมื่อเราเป็นศิษย์สำนักศึกษาเป่ยชาง ดังนั้นเราก็ต้องกลับมาช่วยตอนที่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตรายสิ” เสิ่นชังเสิงยิ้ม
หลี่เฉวียนทงพยักหน้ามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าก็ยิ้ม “ส่วนเจ้าตอนนี้ขึ้นเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักไปแล้วนะเยี่ยชิงหลิง”
“ข้าไม่ได้อยากท่องยุทธภพเหมือนพวกเจ้าทั้งสองคน การอยู่ในสำนักก็ดีมากสำหรับข้า” เยี่ยชิงหลิงยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทงก็พยักหน้าพลางพูดขึ้นช้าๆ “การใช้ชีวิตในสำนักก็ดี อย่างน้อยสามารถรักษาจิตใจบริสุทธิ์ของตัวเองไว้”
พวกเขาสองคนพูดด้วยท่าทางซับซ้อน ชัดว่าต่างมีประสบการณ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“โห้ อดีตสองจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่นกำลังปลงกับประสบการณ์เหรอเนี่ย”
ทันใดนั้นเสียงเย้าแหย่ก็ดังขึ้น กลุ่มคนที่ยืนอยู่กวาดสายตามองไปก็เห็นร่างเงาสองร่างกำลังเดินเข้ามา
คนหนึ่งสวมเสื้อสีม่วงกับกางเกงขายาว นางมีรูปร่างที่เพรียวบางพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น นางคลี่รอยยิ้มที่คุ้นเคยบนริมฝีปาก นางก็คือเวินชิงเฉวียน
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างก็งดงามไม่แพ้กัน นางก็คือรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงถังเชี่ยนเอ๋อ
“เวินชิงเฉวียน…” หลี่เฉวียนทงอึ้งไปเมื่อมองรอยยิ้มคุ้นเคย “เวลาแบบนี้เจ้าไม่ประจำที่ตระกูลเวิน มาทำอะไรที่นี่?”
เวินชิงเฉวียนเผยรอยยิ้มตอบว่า “ตระกูลเวินมีผู้คนมากมาย ข้าอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร”
ขณะที่พูดนางและถังเชี่ยนเอ๋อก็มองไปที่เยี่ยชิงหลิงด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอขอบคุณชุมนุมเทพธิดาลั่วที่ช่วยจัดที่พักให้กับศิษย์สำนักศึกษาวั่นหวงด้วย”
เยี่ยชิงหลิงโบกมือตอบว่า “ภายใต้สถานการณ์นี้ พวกเราต้องรวมพลังกันถึงจะมีโอกาสรอดได้ การช่วยเหลือเจ้าก็เหมือนกับการช่วยสำนักศึกษาเป่ยชางด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ “ยังไม่แน่หรอกว่าจะมีโอกาสรอดหรือไม่ ตอนนี้มีเพียงท่านเป่ยหมิงเท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำพวกปีศาจยังแค่ล้อมเอาไว้ ไม่ได้เปิดการโจมตี ตราบใดที่พวกจอมปีศาจเคลื่อนไหว สถานการณ์ก็คงไม่ดีแน่”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาทราบว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด
“สุนเอ๋อกับพรรคพวกกำลังสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายขึ้น เราก็ได้แต่พยายามส่งเหล่าศิษย์น้องออกไปให้ได้มากที่สุด” เยี่ยชิงหลิงกล่าวเสียงอ่อน
เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พลังของสำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเดียวก็ไร้ประโยชน์
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหลี่เฉวียนทงก็พูดขึ้นว่า “ถ้ามู่เฉินกับลั่วหลีอยู่ที่นี่อาจมีโอกาสบ้าง…”
เมื่อได้ยินชื่อของทั้งสองคนทุกคนก็เงียบลง ชัดว่าแต่ละคนมีความทรงจำกับสองคนนี้มาก
“มีข่าวเกี่ยวกับลั่วหลี แต่สำหรับมู่เฉิน…เกือบห้าปีแล้วที่ข่าวของเขาเงียบหาย” เวินชิงเฉวียนมุ่นคิ้ว
เสิ่นชังเสิงพยักหน้า “เจ้านั่นทำให้เกิดความปั่นป่วนเป็นครั้งคราวเมื่อห้าปีก่อน แต่เขาก็หายตัวไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
“ตอนนี้ในมหาพันภพผู้คนคาดเดากันว่าเขากลัวเผ่าปีศาจเลยไปแอบซ่อนตัว”
“ไร้สาระ!” เวินชิงเฉวียนหัวร้อนขึ้น ตามนิสัยของมู่เฉินจะเป็นคนขี้ขลาดได้อย่างไร?
“มู่เฉินไม่ใช่คนขี้ขลาด ด้วยนิสัยของเขา ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใดก็ไม่มีทางกลัว ดังนั้นต้องมีเหตุผลที่เขาหายตัวไป” ถังเชี่ยนเอ๋อเอ่ยเสียงจริงจัง
หลี่เฉวียนทงถอนหายใจออกมา “ชื่อเสียงของมู่เฉินดังเป็นพลุแตกเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาตกเป็นเป้าของความอิจฉา ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนพยายามทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง”
ทุกคนทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ การหมิ่นประมาทเหล่านั้นกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาอย่างแท้จริง
“เขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอน”
เยี่ยชิงหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น เนื่องจากนางนึกถึงรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่ม
เขามีความเชื่อมั่นแน่วแน่ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใด เขาก็จะไม่มีวันถอยหนี เป็นเพราะความเชื่อมั่นที่ติดแน่นเป็นปรสิตนี้ ทำให้ผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่เคียงข้างเขาและเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วเฟื่องฟูไม่เสื่อมคลาย…
ดังนั้นนางเชื่อว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะประสบกับอะไรก็ตาม
สหายคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อไรที่เผยตัวก็จะเป็นจุดสนใจของทั้งมหาพันภพ
เยี่ยชิงหลิงหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ เหมือนเห็นอดีตตอนที่ชายหนุ่มมุ่งมั่นยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น
‘มู่เฉิน…’
‘ข้าหวังไม่ว่าเจ้าจะประสบกับอะไร เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้าเช่นเดิม’
หวือ หวือ!
ขณะที่พวกเขาระลึกถึงความทรงจำ เสียงเตือนเสียดหูก็ดังขึ้น ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล เห็นรัศมีปีศาจรุนแรงพล่านเข้ามาจากทิศทางนั้น
เผ่าปีศาจเริ่มโจมตีแล้ว