ราชันเร้นลับ 1234 : ภาพฉายเสด็จเยือน

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

แสงสีขาวสว่างพุ่งทะลุกระจกกระทบร่างราชาหมอผีคารามัน

จากนั้นก็สว่างวาบพร้อมกับแผดเผาอันเดด ความมืด และมาร

ร่างคารามันกำลังถูกเปลวไฟลุกไหม้ ดูคล้ายกับกระดาษคนที่ติดไฟหลังจากเผลอยื่นเข้าไปใกล้เปลวเพลิง

แต่เมื่อครู่ คารามันใช้พลังของกระดาษคนจริงๆ แถมยังเป็นกระดาษที่สร้างโดยการอาบพระจันทร์สีแดง

พลังสำหรับเอาตัวรอด กระดาษคนจันทรา!

เมื่อกระดาษคนกลายเป็นขี้เถ้า ราชาหมอผีโบราณได้หายตัวไปโผล่บนยอดหอคอยพร้อมกับจดจ้องเอ็มลินไวท์ที่กำลังยืนใกล้กับหอระฆัง

ในเวลาเดียวกัน เมื่อกระจกตาคารามันสะท้อนภาพชารอนที่แต่งกายในชุดเดรสยาวซับซ้อนและหมวกอ่อน ร่างกายของมันพลันแข็งทื่อประหนึ่งควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้

ได้เห็นดังนั้น เอ็มลินไม่มัวรีรอ มันรีบลงมือประหนึ่งซักซ้อมมาเป็นพันรอบ เป้าหมายคือการหันเหเนตรสีขาวไปยังหน้าอกซ้ายของราชาหมอผีและปลดปล่อยพลัง ‘หอกเจิดจรัส’ ซึ่งอยู่ในขอบเขตสุริยัน

หากการโจมตีนี้ปะทะกับหัวใจของคารามันโดยตรง อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่ามันจะมิอาจหลบหนีได้ด้วย ‘จำแลงแสงจันทร์’ นอกจากนั้นพลังฟื้นฟูร่างกายตามธรรมชาติของแวมไพร์ก็คงไม่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว

แน่นอนว่านั่นอาจเป็นการสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ชารอนที่กำลังสิงร่างคารามัน แต่เธอเป็นคนยืนกรานเองว่า เธอยินดีเสี่ยงหากการเสียสละของตนช่วยให้ทุกสิ่งจบลงในพริบตา

ในการปรึกษากันคราวก่อน เอ็มลิน ชารอน และมาริคได้ลงความเห็นตรงกันว่าจะใช้แผนนี้

นั่นคือเหตุผลที่ชารอนไม่มัวเสียเวลาพันธนาการคารามันด้วยเสื้อผ้ามันเอง เมื่อเทียบกันแล้ว ศัตรูที่มีพลังจำแลงแสงจันทร์ย่อมหลบหนีจากภาวะถูกสิงร่างได้ยากกว่า และสำหรับคำถามที่ว่าคารามันจะอับอายไหมหากมันต้องต่อสู้ในสภาพเปลือยเปล่า คำตอบจากกระจกวิเศษระบุชัดเจนว่า ‘ไม่’

เมื่อพิจารณาทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน ทั้งสามตัดสินใจให้เอ็มลินไวท์เป็นผู้โจมตีเปิดฉาก เป้าหมายจะได้สิ้นเปลืองกระดาษคนจันทราและเปิดโอกาสให้ชารอนเข้าสิงร่างได้ง่าย

ลูกตาแก้วสีใสในมือเอ็มลินเริ่มควบแน่นละอองแสง จากนั้นก็สร้างหอกแสงที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่า ร่างกายคารามันซึ่งถูกสิงร่างในสภาพแข็งทื่อกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

รอยแยกปริแตกในจุดกึ่งกลางหน้าผากคารามัน ดูคล้ายกับด้านในมีดวงจันทร์สีแดงเลือดฝังอยู่

แสงจันทร์พวยพุ่งจากรอยแรกดังกล่าวประหนึ่งสายน้ำ ส่งผลให้ชารอนผมทองตาฟ้าถูกบีบให้สละร่างเหยื่ออย่างมิอาจเลี่ยง

การเคลื่อนไหวที่เคยเชื่องช้าและแข็งทื่อของคารามันเริ่มกลับเป็นปรกติ ภายใต้ความช่วยเหลือจากคืนจันทร์เต็มดวง คารามันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบ่อเลือดและพุ่งกระจายออกไปทุกทิศทาง

ร่างของมันกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งบนยอดแหลมถัดไปของวิหาร ตามติดมาด้านหลังโดยชารอน ส่วนหอกเจิดจรัสของเอ็มลินได้พุ่งใส่ตำแหน่งยืนเดิมของคารามันและทะลุผ่านไปจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ขนาดเล็กในระยะไกล

เมืองท่าสว่างไสวในทันที

ขณะเดียวกัน ไหล่ขวาของคารามันเริ่มพองขึ้นก่อนที่บางสิ่งจะพุ่งทะลุชุดคลุมสีดำขึ้นมา

วัตถุดังกล่าวคือตุ๊กตาเพศชายขนาดประมาณฝ่ามือ แต่งกายในชุดทักซิโด้สีดำขลิบแดงสลับทอง ดวงตากลวงโบ๋ทั้งสองข้าง

หุ่นกระบอกตัวดังกล่าวนั่งลงบนไหล่คารามันพลางยกสองมือขึ้นมากดอากาศประหนึ่งกำลังบรรเลงเครื่องดนตรีล่องหน

ร่างชารอนถูกผลักออกจากด้านหลังคารามันทันที ราวกับเป็นแม่เหล็กแรงสูงคนละขั้ว

เอ็มลินสัมผัสได้ว่าเสื้อผ้าของมันแน่นขึ้นคล้ายกับพยายามพันธนาการเจ้าของ

โบหูกระต่ายมีชีวิตชีวาขึ้นมาและบีบคอผีดูดเลือดหนุ่มแน่น

ตุ๊กตาตัวดังกล่าวคือสมบัติปิดผนึกระดับหนึ่งที่โรงเรียนกุหลาบมอบให้คารามัน ชื่อของมันคือ ‘แม่ทัพไร้รูม่านตา’ ถือกำเนิดจากลำดับสี่เส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ที่ได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต

เป็นวัตถุมีสัญญาณชีพ สามารถเข้าสิงวัตถุแฝงพลังวิญญาณและทำให้พวกมันมีชีวิตขึ้นมา แต่ผู้ใช้งานสมบัติปิดผนึกจะต้องคอยป้อนเลือดสดเป็นอาหาร ไม่อย่างนั้นดวงตาจะค่อยๆ งอกขึ้นมา

หากสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้มีอวัยวะสมบูรณ์ มันจะแปลงกายเป็นวิญญาณมารและไล่ล่าเจ้าของด้วยความรู้สึกเกลียดชังมนุษย์ทุกคน

ขณะเอ็มลินได้ยินเสียงกระดูกกำลังร่ำร้อง เนตรสีขาวในมือเริ่มทำการเผาผลาญพลังวิญญาณอีกครั้งก่อนจะสร้างแสงสว่างอันเจิดจ้า เปลี่ยนให้ทุกซอกมุมของดินแดนปราศจากความมืดหรือความชั่วร้าย

อิทธิพลจาก ‘แม่ทัพไร้รูม่านตา’ บนเสื้อผ้าเอ็มลินหยุดลงทันที

แต่ในเวลาเดียวกัน คารามันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์หลังจากพึมพำบางสิ่งเสร็จ มันเอื้อมแขนไปด้านหน้าและหยิบประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อนออกจากความว่างเปล่า

ประตูแห่งการอัญเชิญ!

ลำดับสามแห่งเส้นทางจันทรามีชื่อว่า ‘จอมอาคมอัญเชิญ’ !

ภายใต้ความช่วยเหลือจาก ‘พระจันทร์เต็มดวง’ กึ่งกลางหน้าผาก คารามันที่มีพลังเพียงราชาหมอผี สามารถข้ามขั้นไปใช้พลังอัญเชิญได้!

แต่นั่นก็ทำให้ออร่าของมันเปลี่ยนไป คารามันสูญเสียความเป็นเหตุเป็นผลไปหลายส่วน ความบ้าคลั่งในส่วนลึกของจิตใจยิ่งทวีความเข้มข้น

ประตูแห่งการอัญเชิญเปิดออกท่ามกลางเสียงเสียดสี

ฝ่ามือมนุษย์สองข้างพุ่งออกจากช่องว่างดังกล่าว ผิวพรรณขาดสีสันและความซับซ้อนจนดูคล้ายกับชุดของตุ๊กตาเกรดต่ำ

ด้านนอกเมืองฟาลเทค เหล่าสาวกและสมาชิกโรงเรียนกุหลาบที่เตรียมบุกโจมตีตามหลังกองทัพซอมบี้ กำลังหันมาฆ่ากันเองเนื่องจากสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเกือบทั้งหมด

หนึ่งในนั้นซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงคนทั่วไป งอหลังลงขณะที่ขนหมาป่าเริ่มผุดขึ้นเต็มตัว มุมปากทั้งสองข้างฉีกออกเพื่อรองรับเขี้ยว น้ำลายเหนียวยืดไหลลงพื้นตลอดเวลา ผิวหนังบางคนเปลี่ยนเป็นสีดำและแข็งประหนึ่งเหล็กกล้า บางคนสูญเสียหัวใจและทำได้เพียงทรุดลงไปกับพื้น แต่ไม่กี่วินาทีถัดมากลับยืนขึ้นได้ใหม่อย่างน่าฉงน ใครบางคนมีร่างกายจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นผี

การเสด็จเยือนของ ‘ออร่า’ เซียอาส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในขอบเขตเผชิญชะตากรรมที่น่าสังเวช บ้างก็กลายเป็นหมาป่าและซอมบี้

ในฐานะลำดับหนึ่ง เซียอาสามารถมอบพลังของตนให้สาวกได้ แต่นั่นจะมีข้อจำกัดด้านเวลา และยังไม่เป็นผลดีกับกลุ่มต่อต้านสักเท่าไร

ในอีกฟากหนึ่งของสมรภูมิ ในป้อมปราการของโลเอ็นที่ห่างออกไปราวสองกิโลเมตร แม้ทหารจะไม่ได้ยินหรือเห็นสิ่งใดเลย แต่ตามลำตัวพวกมันกลับมีตุ่มใสผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก ห้วงความคิดมีเพียงการปลดปล่อยอารมณ์และแรงกระหาย

ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกมันก็ทยอยกลายเป็นสัตว์ป่าไร้สติ ทั่วทั้งฐานทัพและเขตกำแพงชั้นในของเมืองฟาลเทคเต็มไปด้วยความโกลาหลจนยากจะพบมนุษย์ปรกติ

แต่ทันใดนั้น พวกมันได้ยินเสียงสวดมนต์

เป็นบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์และล่องลอย

บทสวดดังกล่าวดังมาจากวิหารของโบสถ์รัตติกาลภายในเมือง คล้ายกับพวกมันกำลังร้องประสานเสียงเพื่อสรรเสริญเทิดทูนเทพธิดา

ทหาร ชาวเมือง และแม่ทัพต่างพากับหมดสติหลับไปทีละคนสองคน ไม่ว่าจะบนถนน ภายในป้อม หรือในค่ายทหาร

พวกมันฝันถึงความมืดมิดอันสุขสงบ ฝันถึงดอกจันทราและวานิลลารัตติกาล ร่างกายเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งจนไม่ได้รับอิทธิพลจากความชั่ว

ภายในวิหารรัตติกาลประจำเมืองฟาลเทค อาวุโสใหญ่แห่งเหยี่ยวราตรี ดวงตาแห่งเทพธิดา อิลิยา พยายามอย่างหนักในการคงสภาพความฝันที่ปกคลุมทั่วเมือง ยากจะปลีกตัวออกไปช่วยศึกครึ่งเทพด้านนอกได้

ขณะเดียวกัน ไคลน์และไรเน็ตต์สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ คล้ายกับพวกมันก่อตัวเป็นบาเรียที่มองไม่เห็นและพยายามตีกรอบความเคลื่อนไหวของพวกตน

และภายในโคลนเลือดบนหน้าอกของราชาหมอผี เลือดเนื้อก้อนใหญ่ยุบพองเป็นเวลานานก่อนจะพุ่งพรวดออกมาโดยมีของเหลวเหนียวข้นสีดำปกคลุม สิ่งนี้คือร่างกายของเซียอาส่วนที่ต่อกับท่อนแขนซึ่งโผล่ออกมาในตอนแรก

มันย่างกรายไปบนสมรภูมิในสภาพที่เหมือนกับต้นไม้ยักษ์ชุบน้ำมันดิบ ทุกกิ่งก้านที่งอกออกมาล้วนกลายเป็นท่อนแขนใหม่ซึ่งมีวัตถุประหลาดผุดขึ้น

เหนือ ‘ลำต้น’ ขึ้นไปในจุดที่มีของเหลวสีดำเหนียวหนืด ดวงตาสีแดงเลือดกำลังกลอกไปมา หากเผลอสบตาเข้าจะทำให้เหยื่อสูญสิ้นสติและถูกสาปกลายเป็นกระต่าย แพะ และหมู

ท่อนแขนหลายสิบแขนงยืดยาวออกมาด้านหน้า บางผนึกท้องฟ้า บ้างเจาะลงไปในดิน บ้างคอยโอบล้อม และบ้างพยายามจับคว้าไคลน์กับไรเน็ตต์ไทน์เคอร์โดยตรง

ขณะเดียวกัน เทพหายนะเซียอาทำการคำรามเพื่อโจมตีเข้าใส่ดวงวิญญาณโดยตรง ส่งผลให้ทั้งสองสั่นระริกโดยพร้อมเพรียง ความรู้สึกเย็นวาบแล่นไปถึงท้ายทอย ฉากดังกล่าวทำให้พระจันทร์บนท้องฟ้าทวีความเข้มข้น นิมิตลางสังหรณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในหัวทันที

ตัวละครหลักเป็นมัมมี่ที่ถูกพันด้วยผ้าสีเหลือง มัมมี่ตัวดังกล่าวถูกกิ่งไม้จำนวนมากแทงกลางอากาศและค้างอยู่เช่นนั้นตลอดไป

ท้องของมัมมี่ป่องขึ้น และบางครั้งอวัยวะอื่นก็ป่องขึ้นราวกับเตรียมให้กำเนิดชีวิตใหม่

มัมมี่กำลังอ้าปากกว้างราวกับแหกปากตะโกนเป็นระยะ แม้ไคลน์จะไม่ได้ยินเสียง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดทางร่างกายจิตใจที่สั่นพ้อง ทำเอาอยากช่วยเหลือให้มัมมี่ตัวดังกล่าวรอดพ้นจากเคราะห์กรรม

เทพผู้ถูกล่าม!

เสียงคำรามของเทพหายนะเซียอาถูกประกอบขึ้นจากถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณอันเหนือจินตนาการมนุษย์ แก่นแท้คือการสวดวิงวอนถึงเทพผู้ถูกล่ามและได้รับการตอบสนอง!

ดูเหมือนว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายจะสร้างอิทธิพลต่อโลกไม่ได้มากนัก หากใครต้องการสวดวิงวอนถึงเธอและได้รับการตอบสนอง อย่างน้อยก็ต้องมีระดับเทวทูตและจัดพิธีกรรมเต็มรูปแบบขนานใหญ่ แน่นอนว่าการสร้างอิทธิพลโดยตรงผ่านเทพผู้ถูกล่ามนั้นไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับวิธีการข้างต้น

เทพผู้ถูกล่ามยังไม่ใช่เทพแท้จริง แต่เป็นราชาเทวทูตผู้ครอบครองเอกลักษณ์ของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์รวมถึงตะกอนพลังอีกลำดับหนึ่งอีกสองชุด และหลังจากให้กำเนิดเทพหายนะเซียอาก็เสียไปอีกหนึ่งชุด นั่นคือจุดเริ่มต้นของการถูกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกัดกร่อนจนต้องประสบเคราะห์กรรมแห่งการโดดเดี่ยว

ดังนั้นไม่ว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เธอก็ไม่สามารถสร้างอิทธิพลกับโลกได้มากนักเพราะติดตรงวิธีการที่ค่อนข้างอ้อมค้อม…แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับ กับดักที่อีกฝ่ายใช้จับไรเน็ตต์ไทน์เคอร์นับว่าหรูหรามากทีเดียว!

ในวินาทีที่ภาพฉายของเทพผู้ถูกล่ามปรากฏ ผืนดินทั้งหมดพลันถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม ไคลน์สัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณถูกตัดขาด จนตนไม่สามารถใช้พลังเทเลพอร์ตได้ชั่วคราว

ชายหนุ่มกระโจนเข้าไปในทะเลเพลิงทันที จากนั้นก็ฉวยโอกาสในจังหวะที่ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์กำลังรับมือเซียอา มันเหยียดแขนออกไปในความว่างเปล่าและพยายามจับคว้าในองศาที่ต่างกัน

ในที่สุดไคลน์ก็ดึงกล่องอัญมณีสีเงินทึบออกมาได้ โดยไม่มัวรีรอ มันเปิดชั้นกลางของกล่องทันที

กล่องวันวาน!

ชั้นที่สองของสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ชิ้นนี้มีพลังในการส่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีไปยังฉากที่บันทึกไว้ในกล่อง!

…………………